ตอนที่ 307 องค์หญิงจวิ้นจู่ชิงหนิง?
ได้ยินคำพูดนี้ มู่หรงป๋อหัวเราะขึ้นมา มองไปทางสมุหนายกด้วยความชื่นชม บอกว่า “โชคดีที่มีเสนาบดีคอยเตือนอยู่ข้างกายข้า มิเช่นนั้นคงตัดสินใจผิดพลาดไปภายใต้ความโกรธเคือง”
สมุหนายกประสานมือยิ้ม กล่าวว่า “ได้แบ่งเบาภาระให้ท่านผู้ครองแคว้นถือเป็นเกียรติของกระหม่อมแล้ว”
ส่วนทางอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วที่กลั่นยาเซียนอยู่ในเวิ้งสวนท้อผ่านการฝึกฝนมาหนึ่งเดือนจึงชำนาญคุ้นเคยกับขั้นตอนการกลั่นยาเซียนและควบคุมเปลวไฟรวมถึงพลังวิญญาณได้
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ยาอายุวัฒนะที่มีไอพลังวิญญาณห้าสายมีเพียงครั้งนั้นในเรือนหลังจวนตระกูลเฟิ่งที่กลั่นสำเร็จ เพราะกังวลว่าหากล่อสายฟ้าออกมาจะเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง ที่เธอปรุงกลั่นช่วงหนึ่งเดือนนี้จึงเป็นพวกยาอายุวัฒนะระดับห้าลงไป
ส่วนยาสร้างฐานพลังที่พบกันปกติในแต่ละที่มีเพียงไอพลังวิญญาณสองสายหรือสามสาย ระดับสูงๆ ก็มีแต่นั่นเป็นของล้ำค่าธรรมดาจึงน้อยนักที่จะพบในสถานที่อย่างงานประมูล
ยาทิพย์ที่จำเป็นสำหรับยาสร้างฐานพลังก็ไม่ใช่ว่าจะหายากเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามยาทิพย์พวกนั้นล้วนค่อนข้างธรรมดา ทว่าการจะนำยาทิพย์เหล่านั้นมากลั่นปรุงเป็นยาสร้างฐานพลังกลับไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเพียงนั้น
เธอทดลองไปบ้างแล้วในหนึ่งเดือนนี้ จากยาทิพย์สำหรับยาสร้างฐานพลังห้าสิบชุดกลั่นปรุงสำเร็จเพียงสองเตาเท่านั้น หนำซ้ำยังเป็นยาที่มีเพียงลวดลายสามสาย
สำหรับเธอที่เตรียมจะสร้างรากฐานสมบูรณ์แบบยาลวดลายสามสายนั้นใช้ไม่ได้แน่นอน ลวดลายยิ่งน้อยพิษยายิ่งมากฤทธิ์ยาก็ไม่ค่อยแรง ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ต้องการจำต้องเป็นยาสร้างฐานพลังที่มีลายห้าสายขึ้นไป
เหลิ่งซวงที่เข้ามาจากด้านนอกเห็นนายท่านที่กลั่นปรุงยาอายุวัฒนะอยู่ในสวนลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่
เฟิ่งจิ่วนำยาห้ามเลือดที่ปรุงออกมาเก็บลงในขวด เอ่ยถามโดยไม่เงยหน้ามอง “ทำไม? มีเรื่องอะไร?” ระหว่างพูดก็นำยาทิพย์บนโต๊ะแยกประเภทเก็บกลับห้วงมิติ แล้วค่อยเก็บเตากลั่นยาขึ้นมา
“นายท่าน ในเมืองมีข่าวลือแว่วมาเจ้าค่ะ” เธอเดินเข้ามาบอก
“ข่าวอะไร? เกี่ยวกับข้ารึ?” เฟิ่งจิ่วถามพลางเงยหน้ามองเหลิ่งซวง หากไม่เกี่ยวกับเธอเดาว่าเหลิ่งซวงคงไม่มีท่าทางลังเล
“เกี่ยวกับนายท่านเจ้าค่ะ”
เหลิ่งซวงพูดจบก็ชะงักไปเล็กน้อยสักพัก บอกว่า “รัชทายาทแห่งแคว้นเหินเวหาส่งคนมายื่นหนังสือสมรสให้ผู้ครองแคว้น ระบุชื่อแซ่ว่าจะแต่งนายท่านเป็นพระชายารอง ผู้ครองแคว้นจึงถือวิสาสะตอบรับการหมั้นหมายนี้เอาเองโดยไม่รับอนุญาตจากนายท่านกับท่านผู้เฒ่าก่อนเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้ว “รัชทายาทแคว้นเหินเวหา? คล้ายว่าข้าจะไม่รู้จักคนเช่นนี้!”
เธอแปลกใจนิดหน่อย ถามอีกว่า “ปฏิกิริยาพ่อข้าล่ะ?”
“หลังได้ยินข่าวนายท่านรีบไปราชวังเพื่อจะพบผู้ครองแคว้นตั้งแต่คราแรก แต่ผ่านเข้าไปไม่ได้แม้แต่ประตู ตอนหลังที่ผู้ครองแคว้นส่งสมุหนายกมาประกาศราชโอการในจวนจึงถูกนายท่านโยนออกมาเจ้าค่ะ”
“นี่เหมือนเป็นการแสดงออกตามประสาพ่อข้า” เธอหัวเราะเบาๆ อย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“แต่เพราะราชโองการประกาศไม่สำเร็จผู้ครองแคว้นจึงส่งราชโองการแจ้งไปทั่วแคว้นแสงสุริยันว่าจะแต่งตั้งนายท่านเป็นองค์หญิงจวิ้นจู่[1] นาม ชิงหนิง เป็นพระชายารององค์รัชทายาทแคว้นเหินเวหาเจ้าค่ะ”
“องค์หญิงจวิ้นจู่ชิงหนิง?” เฟิ่งจิ่วหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “มู่หรงป๋อคนนี้มั่นใจว่าข้าจะยอมทำตามการจัดเตรียมของเขาถึงเพียงนี้เชียว? ทำเรื่องเสียมากมายเช่นนี้ ถึงเวลาหากกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสีหน้าคงดูไม่ได้”
เห็นท่าทางนางไม่ใส่ใจนักเหลิ่งซวงจึงถาม “นายท่าน ต้องกลับจวนไปจัดการหรือไม่เจ้าคะ?”
“ช่วงนี้ข้าต้องฝึกบำเพ็ญเรื่องนี้ตอนนี้ปล่อยไปก่อน ตัวข้าไม่กลับไปคาดว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้” เธอเอ่ยอย่างไม่แยแส ก่อนจะหยิบยาอายุวัฒนะที่เพิ่งปรุงเสร็จยื่นให้เหลิ่งซวง
“นี่คือยาหยุดเลือดเจ้าเก็บไว้ กินแล้วรักษาอาการเลือดออกภายใน บีบให้แตกจะใช้รักษาแผลภายนอกได้”
……………………………………………
[1] องค์หญิงจวิ้นจู่ ตำแหน่งองค์หญิงที่สืบสายเลือดทางบิดากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 3
ตอนที่ 308 คลื่นใต้น้ำแห่งจิตสังหาร!
“ภายในหนึ่งเดือนต่อไปข้าจะไปเก็บตัวฝึกบำเพ็ญ เจ้าต้องคอยสังเกตสถานการณ์ในบ้านให้มากหน่อย หากเป็นเรื่องไม่สำคัญอย่าได้รบกวนข้า” เธอกำชับไว้ถึงจะเดินไปยังเรือนที่พำนักอยู่
หลังเหลิ่งซวงขานรับก็ไม่ได้ตามไป แต่เก็บกวาดข้าวของในเรือนยานี้พักหนึ่งถึงจะหันตัวจากไป
หลังเฟิ่งจิ่วที่กลับมาถึงเรือนอาบน้ำก็แวบตัวเข้าไปในห้วงมิติ
วรยุทธ์พลังเร้นลับเธอถึงแค่ระดับปรมาจารย์นักรบ จึงวางแผนว่าจะพัฒนาวรยุทธ์ถึงระดับยอดปรมาจารย์พลังเร้นลับขั้นสูงสุดภายในครึ่งเดือน พลังวิญญาณอันคละคลุ้งในห้วงมิตินี้จะช่วยเธอในการฝึกบำเพ็ญ ซ้ำยังมียาน้ำที่สามารถช่วยยกระดับพลังอยู่อีก
ยิ่งไปกว่านั้น เวลาสามวันด้านนอกเทียบเท่ากับหนึ่งวันด้านใน ความแตกต่างของเวลาจะยิ่งเป็นข้อได้เปรียบในการฝึกบำเพ็ญ ด้วยเหตุนี้เธอจึงมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถบรรลุถึงระดับยอดปรมาจารย์พลังเร้นลับขั้นสูงสุดได้ภายในครึ่งเดือนนี้
เธอมองหงส์ไฟน้อยที่หลับสนิทยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาก่อนจะหาที่นั่งลงขัดสมาธิแล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญ…
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนต่างสงสัยที่ช่วงนี้จวนตระกูลเฟิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร และน้อยนักที่จะเห็นคุณหนูใหญ่ออกมาข้างนอก พอสอบถามถึงรู้ว่าที่แท้คุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งไม่อยู่จวน ส่วนผู้เฒ่าเฟิ่งก็อยู่ในช่วงเก็บตัว
เดิมนึกว่าเรื่องราวจะสงบเงียบต่อไปเช่นนี้จนกว่าคุณหนูใหญ่จะกลับมา ผู้เฒ่าเฟิ่งออกจากการเก็บตัว หรือสมเด็จองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหินเวหาคนนั้นมาเยือนด้วยตนเองถึงจะทำลายความสงบนี้ได้ กลับไม่คิดว่าจิตสังหารจะกำลังเอ่อล้นอยู่ภายใต้ความเงียบสงบเช่นนี้…
“เหล่าไป๋ พวกเราเดินสักรอบแล้วค่อยกลับจวนเถอะ! อาศัยที่ชิงเกอไม่อยู่บ้านข้าจะสั่งคนเพิ่มอาหารให้เจ้าเป็นยังไง?”
ระหว่างทางบนเขาเฟิ่งเซียวในชุดลำลองนั่งขี่อยู่บนหลังเหล่าไป๋กำลังพามันไปเดินรอบๆ นี่เป็นเรื่องที่หมู่นี้เขาต้องมาทำทุกวัน นั่นคือการช่วยลูกสาวฝึกเหล่าไป๋ให้ดีๆ เสียหน่อยเพื่อลดไขมันบนตัวมัน
“ฮี้!”
พอได้ยินว่าจะเพิ่มอาหารเหล่าไป๋ก็แสดงท่าทีดีอกดีใจผิดปกติ หางม้าล้วนกวัดแกว่งขึ้นมาแม้แต่สะโพกยังขยับส่ายตาม คล้ายกำลังบอกเขาว่า ‘ความคิดนี้ไม่เลวเลย มันชอบ’
“ฮ่าๆๆ! เอาล่ะ เจ้าอย่าดิ้นสิ ข้าจะได้ไม่ตกลงไป”
เฟิ่งเซียวหัวเราะร่า สองขากระทุ้งบริเวณท้องเหล่าไป๋พร้อมลูบๆ หัวมันบอกว่า “ที่จริงหลายวันที่ผ่านมานี้เจ้าก็แข็งแรงขึ้นไม่น้อย แต่ถึงเป็นเช่นนี้จะเกียจคร้านไม่ได้ ต้องรู้ไว้ว่าทุกเรื่องล้วนสำคัญที่ความพากเพียร”
“ฮี้!”
เหล่าไป๋พ่นลมสองทางออกจากจมูก กระทืบกีบม้าเดินนวยนายไปข้างหน้า
ทันใดนั้น ต้นไม้สองข้างทางภูเขาก็ขยับเองโดยไม่มีลม ใบไม้เขียวชอุ่มส่งเสียงซ่าๆ ทำให้เหล่าไป๋ที่เดิมเคยเดินไปข้างหน้าหยุดฝีเท้าลงมองไปรอบๆ ด้าน ส่งเสียงร้องหันตัวเดินกลับไป
เฟิ่งเซียวรู้สึกไม่ค่อยถูกต้องเช่นกัน ใบหน้าที่เคยมีความผ่อนคลายยามนี้เคร่งขรึมขึ้น แววตาดุดันกวาดมองรอบด้าน พูดเสียงเข้มว่า “สหายมาจากทางไหนกัน? ไม่มีอะไรอันตรายหรอกออกมาให้เห็นเถอะ”
พอเขาเปล่งเสียงไปรอบๆ ก็เงียบลง ราวกับว่าแม้แต่สายลมยังนิ่งเงียบตาม ทว่าเวลาต่อมาลูกศรคมดอกหนึ่งกลับยิงออกมาจากแมกไม้ที่อุดมสมบูรณ์พร้อมกับไอสังหารที่มีความโหดเหี้ยมมุ่งมายังเฟิ่งเซียวที่ขี่อยู่บนหลังเหล่าไป๋
“ฟิ้ว!”
ดวงตาพยัคฆ์ของเฟิ่งเซียวหรี่ลง ร่างกายแวบหลบลูกศรคมนั้นออกไปด้านหลัง ทว่าดอกที่สองที่สามกลับมาไล่เลี่ยกันพร้อมกับไอสังหารที่น่าสะพรึง
“ฟิ้ว! ฟิ้วๆ!”
“แกร๊ง! ชิ้ง!”
เฟิ่งเซียวหยิบดาบใหญ่ออกมาขวางไว้ทันที เมื่อคบดาบกับลูกศรคมชนกัน เพียงรู้สึกว่าแรงที่ผ่านเข้ามาจากบนลูกศรนั้นสะเทือนเสียจนขากรรไกรระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เขาชาไปเล็กน้อย ขณะกำลังกวาดลูกศรลงลูกศรอีกดอกหนึ่งกลับยิ่งมาตรงแขนที่ถือดาบไว้…
………………………