”เส้นทางแห่งเซียนที่แท้จริง ?”
หลินจินทงพึมพัมออกมาด้วยความไม่เข้าใจผสมกับความตื่นเต้น แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องการที่รู้บางอย่างเขาจึงเอ่ยถามออกไป
”เธอบอกว่าเส้นทางแห่งเซียนที่แท้จริง ? งั้นก็แสดงว่ามันมีหลายเส้นทางหน่ะสิใช่ไหม ?”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะพูด
”ใช่ มันก็เหมือนกับอาชีพของคนทั่วไปในยุคนี้เทคนิคการบ่มเพาะนั้นมีมากมายราวกับหมู่ดาว แต่ถึงอย่างงั้นพวกมันก็มักจะถูกแบ่งแย่งไปตามเส้นทางต่าง ๆ”
”แล้วเส้นทางเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ?”
หลินจินทงถาม เทียนหลางจึงได้พูดขึ้น
”เส้นทางนั้นก็มีไม่มากนักแต่ก็แล้วแต่คนนั้นจะเลือกเดินผู้คนรู้จักมันในนาม ‘เส้นทางแห่งเต๋า’ จากที่ผมนั้นรู้มานั้นเส้นทางถูกแบ่งออกเป็นสามเส้นทางใหญ่ ๆ ซึ่งมีที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือ เส้นทางแห่งเต๋าพิภพเป็นที่นิยมบ่มเพาะกันมากในเหล่าผู้บ่มเพาะ เพราะเส้นทางนั้นสั้นและสะดวกสบาย ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายไม่แพ้กันก็คือเต๋าแห่งมาร เป็นเทคนิคการบ่มเพาะของพวกลัทธิมารหรือปีศาจอะไรพวกนั้น
และเส้นทางสุดท้ายก็คือเต๋าสวรรค์เป็นเส้นทางที่น้อยคนนักจะรับรู้ได้ว่ามีมันอยู่ เพราะในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้นเทคนิคบ่มเพาะของเต๋าสวรรค์เป็นสิ่งหายาก เรียกได้ว่าผู้คนนับล้านต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมัน เส้นทางของมันเต็มไปด้วยความยากลำบากเรียกได้ยากพอ ๆ กับการปีนป่ายภูเขาสวรรค์ก็ว่าได้”
หลินจินทงพยักหน้าก่อนจะถาม
”แล้วเต๋าสวรรค์กับเต๋าพิภพ แตกต่างกันยังไง ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ลูบคางตัวเองเบา ๆ เพื่อหาวิธีอธิบายให้กับหลินจินทงฟังอย่างง่าย ๆ
”ถ้าหากให้เปรียบเทียบกันละก็เต๋าพิภพนั้นเหมือนกับลูกโป่งที่สามารถพองตัวได้อย่างไร้ขีดจำกัดแต่ข้างในนั้นกลวงโบ๋ แต่เต๋าสวรรค์นั้นเป็นเหมือนกับลูกเหล็กแม้เล็กแต่ก็อัดแน่นไปด้วยมวลภายใน”
”งั้นเธอจะบอกว่าเต๋าพิภพนั้นดูภายนอกเหมือนจะแข็งแกร่งแต่แท้จริงแล้วอ่อนแองั้นเหรอ ?”
หลินจินทงถาม
”ถูกต้อง”
เทียนหลางพูดต่อ
”อันที่จริงสิ่งที่พวกคุณกำลังบ่มเพาะนั้นก็เป็นหนึ่งในวิชานับล้านของเต๋าพิภพอะน่ะ”
”จริงงั้นเหรอ ?”
”ใช่ เพราะโลกนี้การบ่มเพาะล้าหลังมาก สิ่งที่พวกคุณเรียกว่าสุดยอดเทคนิคการบ่มเพาะนั้นสำหรับที่อื่นนั้นถือว่าเป็นเทคนิคที่ล้าหลังมากๆ ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่กว้างใหญ่”
หลินจินทงอึ้งเล็กน้อยกับความจริงที่เทียนหลางได้บอกกับเขา ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาเขาคิดมาตลอดว่าเขานั้นยืนอยู่เกือบจุดสูงสุดของโลกวรยุทธแล้วอีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็จะได้กลายเป็นเซียนตามที่เขาไขว่คว้ามาตลอดชีวิตของเขา
แต่เมื่อเขาได้รู้ความจริงที่ว่าตัวตนของเขานั้นเทียบได้กับมดตัวเล็ก ๆ ในโลกแห่งการบ่มเพาะเท่านั้นยังมีคนมากมายนับล้านที่แข็งแกร่งกว่าเขานับร้อยเท่า มันทำให้เขาหดหู่ใจไม่น้อย
หลินจินทงมองเทียนหลางอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
”หากฉันตอบตกลงเธอต้องการให้ฉันทำอะไร ?”
ที่หลินจินทงถามออกไปแบบนั้นเพราะเขารู้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี ๆ เทียนหลางมองหลินจินทงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณหรอก เพราะถ้าหากผมต้องการจริง ๆ ผมก็สามารถเอามันมาได้ไม่ยากนักแต่ช่างเรื่องนั้นเถอะมันอยู่กับคุณมากกว่าว่าต้องการเปลี่ยนเส้นทางที่คุณเดินมาตลอดชีวิตรึเปล่า ?”
”ได้ฉันตกลง”
หลินจินทงตอบตกลงโดยไม่ลังเลเพราะตลอดชีวิตเขาค้นหาวิธีการเป็นเซียนมาโดยตลอดดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงเขาจึงไม่ลังเลที่จะรับมัน เทียนหลางมองหลินจินทงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับพูดขึ้น
”หากคุณต้องการที่เดินในเส้นทางที่แตกต่างฉะนั้นคุณจะต้องเสียสละสิ่งหนึ่งเสียก่อน”
”เสียสละงั้นเหรอ ? ฉันต้องเสียสละอะไรหล่ะ ?”
”การบ่มเพาะของคุณ คุณต้องทำลายการบ่มเพาะของคุณและเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น”
”ว่าไงนะ !!”
หลินจินทงตกใจกับคำพูดของเทียนหลาง เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นงั้นเหรอ ? แล้วที่ข้าฝึกมากว่าครึ่งชีวิตหล่ะ ?
”จะให้ฉันเสียการบ่มเพาะที่สั่งสมมากว่า 40 ปีงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้า
”ถูกต้อง แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะผู้ที่บ่มเพาะด้วยเส้นทางแห่งเต๋าสวรรค์นั้นจะมีอายุมากกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปมาก ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะไม่มีเวลาเพียงพอในการบ่มเพาะหรอกนะ”
”มีชีวิตยืนยาวกว่างั้นเหรอ ? แล้วถ้าบ่มเพาะไปถึงจุดสูงสุดแล้วจะกลายเป็นอมตะตามที่ตำนานบอกรึเปล่า ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะเอ่ยขึ้น
”อมตะงั้นเหรอ ? สงสัยคุณคงจะอ่านนิยายหรือนิทานมากเกินไปแล้ว ความอมตะไม่มีอยู่จริงหรอกนะครับมีแต่การยืดอายุเท่านั้น”
หลินจินทงที่ได้ยินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาเคยคิดว่าจะได้มีชีวิตอมตะอยู่ไปตลอดกาลและได้เห็นยุคต่าง ๆ สิ้นสุดและเริ่มด้วยตาของตัวเองแต่ดูเหมือนเขาคงจะต้องผิดหวังเสียแล้ว
”แล้วฉันจะมีอายุได้นานสุดเท่าไหร่หล่ะ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินเขาก็เคาะคางตัวเองเบา ๆ แสดงท่าที่ครุ่นคิดเพราะตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจมากนักเพราะตัวเขาเองก็มีอายุเพียงแค่หมื่นห้าพันปีเท่านั้นเอง แล้วตาแก่นั่นก็อายุเพียงแค่สี่หมื่นกว่าปีเท่านั้นดังนั้นเขาจึงไม่รู้ขีดจำกัดอายุที่แน่ชัด
”ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะ แต่ถ้าหากคุณแข็งแกร่งพอก็สามารถมีอายุได้นานกว่าหมื่นปีเลยแหละ”
หลินจินทงตกใจเป็นอย่างมากหมื่นปี ? นั่นไม่เรียกว่าเป็นอมตะอีกเหรอ ในตอนแรกเขาคิดว่าจะมีอายุไม่กี่ร้อยหรือแค่พันปีเท่านั้นแต่ไม่คิดว่าจะสามารถอยู่ได้จนถึงหมื่นปีแบบนี้
ในขณะที่หลินจินทงกำลังจะถามต่อขบวนรถก็ได้หยุดลงจนทำให้เขาเกิดความสงสัย แต่เมื่อมองออกไปด้านนอกก็พบว่าตอนนี้เป็นตอนกลางคืนแล้วเขาจึงคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่พวกเขาจะหยุดพักกันได้แล้ว
ทั้งสามคนลงมาจากรถและเริ่มกางเต็นท์ หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วทุกคนก็เริ่มนำของที่ซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาเตรียมอาหารเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับทุกคน
เทียนหลางเดินมาหาหลินจินทงพร้อมกับเอ่ยถาม
”คุณคิดว่าเราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะไปถึงที่นั่น ?”
”จากที่ฉันไปคุยกับพวกผู้อาวุโสคนอื่นของสำนักก่อนหน้านี้ พวกเราคาดว่าอีกสองวันน่าจะไปถึงที่หมาย”
เทียนหลางพยักหน้าพร้อมกับตักซุปเข้าปากหลังจากที่กินไปได้สองสามคำเทียนหลางก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็เอ่ยถามกับหลินจินทง
”พวกเรามีคนมาเพิ่มงั้นเหรอ ?”
หลินจินทงที่ได้ยินคำถามของเทียนหลางก็ถามกลับด้วยความแปลกใจ
”ไม่หนิ ทำไมงั้นเหรอ ?”
”ผมรู้สึกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้ อีกไม่นานก็คงตามทันพวกเราแล้วผมคิดว่าเป็นกำลังเสริมจากสำนักอื่นซะอีก”
เมื่อหลินจินทงได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะลุกขึ้นและวิ่งออกไปเพื่อแจ้งข่าว ไม่นานนักก็มีคนจากสำนักอื่น ๆ มากมายวิ่งตรงมาทางเทียนหลางก่อนจะพุ่งผ่านไปและเริ่มเข้าปะทะกับผู้มาใหม่
เทียนหลางรู้สึกสงสัยเล็กน้อยก่อนจะหันไปถามลูกศิษย์คนหนึ่งจากสำนักวารีพิสุทธิ์
”เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ?”
”ดูเหมือนคนจากสมาคมเงาจะตามพวกเรามา”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะคิดถึงเรื่องของสมาคมเงา
‘พวกมันเป็นใครกันนะ ดูเหมือนจะตามพวกเราออกมาตั้งแต่ก่อนออกจากเมืองแล้ว ไม่สิคงตามมาตั้งแต่พวกเราลงจากเครื่องด้วยซ้ำ’
เฮ้อ ~
เทียนหลางถอนหายใจก่อนจะมองท้องฟ้ายามค่ำคืน
‘ดูเหมือนตัววุ่นวายจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง แต่จากที่ดูแล้วเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นอีกหลังจากนี้’