เทียนหลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเชิญเฟิงหยวนเข้ามาในบ้านและพายังสวนของเขา เมื่อเฟิงหยวนได้เห็นสวนเธอก็พูดออกมาทันที
”ไม่คิดเลยว่าท่านจะแต่งสวนแบบสวนหน้าตำหนักมังกรแบบนี้ แม้มันจะเล็กไปหน่อยก็ตาม”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ทำไงได้พื้นที่มีจำกัด อนาคตรอให้ข้าซื้อเกาะสักเกาะหนึ่งก่อนเดียวข้าจะสร้างสวนสวรรค์ที่แท้จริงให้เจ้าเอง”
”นั่นก็ดีไม่น้อยนะ”
เฟิงหยวยยิ้มพร้อมกับเดินตามเทียนหลางไปที่ห้องหนังสือ เมื่อมาถึงเทียนหลางก็ชงชามาให้พร้อมกับเอ่ยถาม
”เจ้ามาถึงนานเท่าไหร่แล้ว ?”
”อืม… น่าจะประมาณแปดวันได้”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะถามอีกครั้ง
”แล้วได้ที่อยู่ของข้ามาได้ยังไงกันละ ?”
”ได้มาจากเฒ่าขาวนะ”
เฟิงหยวนตอบพร้อมกับยิ้มเบา ๆ ทางด้านเทียนหลางก็ถอนหายใจเบา ๆ ในตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าเฒ่าขาวจะเอาที่อยู่ของเขาไปป่าวประกาศให้ใครต่อใครได้ฟังแล้วบ้างเพราะไม่อย่างงั้นชีวิตของเขาอาจวุ่นวายยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ในขณะที่เทียนหลางกำลังคิดอยู่นั้นเฟิงหยวนก็ได้ถามขึ้น
”แล้วตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ ?”
”ตอนนี้ก็มีร้านอาหารกับร้านเครื่องประดับอยู่อย่างละร้านอะนะ”
”ดูเรียบง่ายจังนะ”
”แน่นอน”
ทั้งคู่พูดคุยพร้อมกับยิ้มให้กันก่อนที่เทียนหลางจะเอ่ยถามขึ้น
”แล้วทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงลงมาที่โลกนี้ละ แล้วยังไม่ได้เลือกวิธีเกิดใหม่อีกด้วย ?”
ด้วยกฏของสวรรคค์และโลกทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับสูงนั้นไม่สามารถลงมายังโลกเบื้องล่างหรือดินแดนระดับต่ำได้ มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะสามารถลงมาได้นั่นก็คือการเกิดใหม่ หรืออีกวิธีหนึ่งคือการทำลายการบ่มเพาะของตัวเองและให้คนส่งลงมายังดินแดนด้านล่าง ซึ่งเฟิงหยวนนั้นได้ใช้วิธีที่สองนั่นทำให้เทียนหลางรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับความกล้าหาญของนาง
เฟิงหยวนที่ได้ยินคำถามก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”เหตุผลที่ข้าลงมาที่โลกท่านก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะ ส่วนที่ข้านั้นไม่ได้เลือกที่จะเกิดใหม่เพราะข้ากลัวว่าท่านจะจำข้าไม่ได้”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ข้าไม่มีทางลืมเจ้าหรอกนะเฟิงหยวน แต่ข้าไม่สามารถแต่งงานกับเจ้าได้จริง ๆ”
ทันทีที่เฟิงหยวนได้ยินเธอก็แสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันทีก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสับสน
”ท่านไม่รักข้างั้นเหรอ ?!”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”แน่นอนข้ารักเจ้า แต่ข้าไม่สามารถแต่งงานกับเจ้าได้”
”ทำไม ? ตอนที่อยู่แดนสวรรค์ข้าคิดว่าที่ท่านไม่สามารถแต่งงานกับข้าได้เพราะด้วยหน้าที่ของท่าน แต่ตอนนี้เราสองคนลงมาอยู่ที่โลกมนุษย์แล้ว หาใช่จักรพรรดิสวรรค์ กับเทพธิดาสูงสุดอีกต่อไปทำไมท่านถึงไม่อาจแต่งงานกับข้าได้กัน ?”
เทียนหลางถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันขมขื่น
”เพราะบาปที่ข้าเคยทำเอาไว้กับเจ้า ทำให้ข้าไม่สามารถที่จะแต่งงานกับเจ้าได้”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
”บาป ? บาปอะไร ท่านทำสิ่งใดกับข้ากันถึงขนาดที่ท่านไม่อาจแต่งงานกับข้าได้ ?”
เทียนหลางหันหน้าหนีเฟิงหยวนเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่ถ้วยชาในมือก่อนจะพูดขึ้น
”ข้าเป็นคนฆ่าเฟิงเฉียนพี่ชายของเจ้า !”
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เทียนหลางยังเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดา ๆ ไม่ได้เก่งกาจอะไรเขานั้นมีพี่น้องอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเฟิงเฉียนพี่ชายของเฟิงหยวนเหตุผลที่ทั้งคู่สนิทกันนั้นเพราะมาจากดินแดนเดียวกันทั้งคู่ได้รู้จักกันผ่านการประลองสิบสามสำนักใหญ่ของดินแดน และหลังจากที่เฟิงเฉียนพ่ายแพ้ให้กับเทียนหลางทั้งคู่ก็เลยสนิทกันและสัญญาว่าจะไปดินแดนมรกตซึ่งเป็นดิแดนระดับกลางด้วยกัน
หลังจากการประลองสิบสามสำนักจบลงทั้งคู่ก็แยกย้ายกลับสำนักของตนและหลังจากนั้นสามปีเทียนหลางก็ออกจากสำนักและกลายเป็นผู้บ่มเพาะเร่ร่อนเพื่อหวังที่จะศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ เทียนหลางได้เข้าออกสำนักมากมายจนในที่สุดเทียนหลางก็ได้ไปอยู่ที่ดินแดนมรกต
หลังจากนั้นร้อยปีเทียนหลางก็พบกับเฟิงเฉียนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามาพร้อมกับเฟิงหยวนซึ่งเป็นน้องสาวของเขาทั้งสามเดินทางด้วยกันอยู่พักใหญ่จนเฟิงเฉียนได้พบกับพระรูปหนึ่ง และพระรูปนั้นได้เห็นพรสวรรค์ของเฟิงเฉียนจึงเอ่ยชักชวนเขาเข้าร่วมสำนักพุทธ ซึ่งเฟิงเฉียนก็ไม่ปฏิเสธและเดินทางไปกับพระรูปนั้น
ส่วนเฟิงหยวนและเทียนหลางได้เดินทางร่วมกันสักพักก่อนที่เฟิงหยวนจะได้เข้าร่วมกับสำนักร้อยคำภีร์บุปผาซึ่งเป็นสำนักของเหล่าสตรี นั่นจึงทำให้เทียนหลางไม่สามารถตามไปช่วยเหลือและสนับสนุนเฟิงหยวนได้ ผ่านไปไม่นานนักเทียนหลางก็ได้ข่าวของเฟิงเฉียนจากชาวบ้านในเมืองว่าตอนนี้มีพระที่เก่งกาจรูปหนึ่งออกปราบปรามเหล่าโจรและพวกลัทธิมาร
เทียนหลางจึงตัดสินใจจะไปเยี่ยมเยียนเฟิงเฉียนสักหน่อยหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน ในขณะที่เทียนหลางกำลังจะไปสำนักของเฟิงเฉียนเขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ขณะเดินทางไปที่สำนักเพราะปกติจากที่เทียนหลางรู้ว่าจากชาวบ้านว่าประตูสำนักแห่งนี้จะเปิดอยู่ตลอดเวลา แต่ในเวลากลับปิดสนิทไร้ซึ่งเสียงใด
เมื่อเทียนหลางเข้าไปด้านในก็พบกับศพพระมากมายอยู่ตลอดทางตั้งแต่ทางเข้าสำนักจนไปถึงตำหนักกลาง เมื่อเทียนหลางได้พบเจอกับผู้รอดชีวิตเขาจึงถามถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
พระรูปนั้นก็ได้บอกกับเทียนหลางว่าเฟิงเฉียนไปผู้ทำทั้งหมดนี้ เมื่อเทียนหลางถามอีกว่าเพราะอะไรพระรูปนั้นก็เล่าออกมาทั้งหมดว่า ตั้งแต่ที่เฟิงเฉียนเข้ามาเขาก็ถูกจับตาจากพระอาวุโสและด้วยพรสวรรค์ของเขาทำให้เขาได้กลายมาเป็นศิษย์ส่วนตัวของเจ้าอาวาส
จากนั้นเจ้าอาวาสก็ได้ให้เทคนิดบ่มเพาะหนึ่งกับเขาซึ่งนั่นคือ หัวใจแห่งพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นเทคนิคบ่มเพาะของเต๋าสวรรค์อย่างหนึ่งในเส้นทางแห่งพุทธแต่เพราะเทคนิดนี้เป็นเทคนิคโบราณที่ถูกเก็บไว้มาหลายพันปีจึงทำให้บางส่วนของคำภีร์นั้นหายไปหรือก็คือเทคนิคนี้นั้นไม่สมบูรณ์
เดินทีนั้นเจ้าอาวาสอยากจะเก็บเทคนิคนี้ไว้ใช้กับตัวเอง แต่เพราะเขารู้ว่ามันไม่สมบูรณ์จึงทำให้เขาเอาเฟิงเฉียนมาเป็นหนูทดลองเพื่อหาจุดที่ขาดหายไปของมัน หลังจากที่เฟิงเฉียนบ่มเพาะไปได้ระยะหนึ่งตัวเขาก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นพลังของเฟิงเฉียนเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดและดูเหมือนจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย และยิ่งเฟิงเฉียนบ่มเพาะมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
จนมาถึงในช่วงที่เฟิงเฉียนต้องก้าวเข้าสู่ขั้นที่เก้าของเทคนิคนี้ เฟิงเฉียนต้องเจอกับบททดสอบของหัวใจแห่งพระพุทธองค์ ไม่มีใครรู้ว่าหากผิดพลาดจะเกิดอะไรขึ้นหลายคนที่เป็นเพื่อนของเฟิงเฉียนต้องการที่จะให้เขาหยุด แต่เฟิงเฉียนนั้นกลับดื้อดึงฝืนเข้าสู่บททดสอบ
ไม่มีใครรู้ว่าหัวใจแห่งพระพุทธองค์มอบบททดสอบอะไรให้กับเฟิงเฉียน แต่ที่แน่ ๆ เขานั้นพ่ายแพ้แก่มันและเมื่อเฟิงเฉียนล้มเหลวจากบททดสอบและกลับมาด้วยสภาพปกติทุกคนก็ต่างโล่งใจ
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าคนที่กลับมานั่นหาใช่เฟิงเฉียนที่ทุกคนรู้จักอีกต่อไปแล้ว ไม่กี่วันต่อมาเฟิงเฉียนก็ได้แสดงท่าทีแปลก ๆ ออกมาทั้งการที่ลักลอบออกไปจากสำนักตอนกลางคืนและกลับมาด้วยเลือดท่วมตัว หรือการที่เขาหายตัวไปจากสำนักนานหลายวันและกลับมาพร้อมกับสมบัติมากมาย หลายคนคิดว่าเฟิงเฉียนอาจออกไปปราบโจรหรือลัทธิมารและได้กอบโกยทรัพยากรของพวกนั้นมา
แต่ความจริงก็คือเฟิงเฉียนนั้นออกไปปล้นมาจากผู้บ่มเพาะคนอื่นและสำนักต่าง ๆ อีกทั้งยังออกไปไล่ล่าเหล่าผู้บ่มเพาะจากนิกายใหญ่อีกด้วย
ในตอนนี้เทียนหลางก็ได้รู้แล้วผลจากการที่พ่ายแพ้บททดสอบคืออะไรสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับเหล่านิกายพุทธมาตลอดนับหมื่นปีก็คือนิกายของเหล่ามารและบททดสอบของหัวใจแห่งพระพุทธองค์นั้นก็คือการกำจัดมารในตัวเองออกไป และดูแน่นอนว่าเฟิงเฉียนพ่ายแพ้ให้แก่มารในใจของตนและถูกมารนั้นเข้าสิงแต่ด้วยเทคนิคบ่มเพาะที่ขัดแย้งกับเส้นทางของเหล่ามารจึงทำให้เหล่ามารในตัวนั้นคลุ้มคลั้งและเริ่มอ่อนแออย่างช้า ๆ และสิ่งที่จะทำให้มันกลับแข็งแกร่งอีกครั้งก็คือการรวบรวมวิญญาณนั่นคือเหตุผลที่เฟิงเฉียนนั้นหายหน้าไปจากสำนักและกลับมาพร้อมกับสมบัติและคราบเลือดอยู่บ่อยครั้ง
เทียนหลางจึงตัดสินใจจะไปหยุดเฟิงเฉียนด้วยตัวเองเพราะเขารู้ดีว่าในตอนนี้มีน้อยคนนักที่จะสามารถหยุดเฟิงเฉียนได้ และคนเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะว่างเสียด้วย หลังจากนั้นที่เทียนหลางถามที่อยู่ของเฟิงเฉียนเขาก็ได้รู้ว่าเฟิงเฉียนอยู่ที่ตำหนักเจ้าอาวาส ระหว่างเทียนหลางพบศพพระมากมายนับพันในตอนนี้เขาไม่จิตนาการได้เลยว่าเฟิงเฉียนฆ่าคนไปมากเท่าไหร่แล้ว
เมื่อเทียนหลางมาถึงตำหนักเจ้าอาวาสเขาก็เห็นเฟิงเฉียนกับเจ้าอาวาสกำลังต่อสู้กันอยู่ แต่ดูเหมือนเจ้าอาวาสจะอ่อนแอกว่าเฟิงเฉียนไม่น้อย จนในที่สุดเจ้าอาวาสก็ตายลงคามือเฟิงเฉียน
เมื่อเทียนหลางมองไปที่เฟิงเฉียนเขาก็ต้องตกใจไม่น้อยเพราะระดับการบ่มเพาะของเฟิงเฉียนในตอนนี้เทียบเท่าระดับเซียนสวรรค์เทียบเท่ากับเขา แต่พลังความชั่วร้ายนั้นหนาแน่นสะจนเทียนหลางถึงกับตัวสั่น
ในการต่อสู้เทียบหลางนั้นต้องใช้ทุกอย่างเพื่อที่จะล้มเฟิงเฉียนลง การต่อสู้ของเขากับเฟิงเฉียนดำเนินไปกว่าสองวันและเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดเฟิงเฉียนก็ตายลงภายใต้มือของเทียนหลาง
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดเทียนหลางก็ฝังศพของเฟิงเฉียนไว้ที่หุบเขาดอกท้อก่อนจะจากมา หลังจากนั้นอีกสี่ร้อยปีเทียนหลางก็ได้เจอเฟิงหยวนอีกครั้งที่ดินแดนพฤกษาสวรรค์ ในขณะนั้นเฟิงหยวนกำลังพบเจอกับอันตรายและเทียนหลางก็ได้เข้ามาช่วยเอาไว้ หลังจากที่เฟิงหยวนรู้ว่าคนที่ช่วยนางเป็นเทียนหลางนางก็จัดสินใจเดินทางร่วมกับเทียนหลางมาโดยตลอด แม้เฟิงหยวนจะถามถึงพี่ชายของเธอแต่เทียนหลางก็ได้แต่บอกว่าเขานั้นตายแล้วด้วยฝีมือของพวกลัทธิมารลัทธิหนึ่ง
ด้วยความรู้สึกผิดที่เทียนหลางได้พรากครอบครัวคนสุดท้ายของนางไปและการโกหกคำโต เทียนหลางจึงทำทุกวิธีทางเพื่อช่วยเหลือเฟิงหยวนแม้แต่กระทั้งเป็นศัตรูกับสี่นิกายโบราณ จนเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่มีสองในสี่นิกายโบราณล่มสลาย และในที่สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ก็ได้บรรลุสู่ความเป็นเทพและมาอยู่ที่ดินแดนสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้นเทียนหลางก็ยังคงดูแลเฟิงหยวนอยู่ตลอดเวลา
แม้เทียนหลางจะรู้ว่าเฟิงหยวนนั้นรักเขามากเพียงใดแต่ด้วยความรู้สึกผิดที่ตัวเขาเป็นคนฆ่าพี่ชายของนางและยังโกหกเรื่องของเขามานานหลายพันปีทำให้เทียนหลางไม่กล้าที่จะตอบตกลงที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ยิ่งนานวันเข้าจากความรู้สึกผิดก็กลายเป็นตราบาปจนในที่สุดเทียนหลางก็ไม่อาจที่จะทนได้และตัดสินใจไปเกิดใหม่เพื่อหลบหนีตราบาปในใจของเขา
แม้นี่จะเป็นวิธีที่เห็นแก่ตัวแต่เทียนหลางก็ไม่กล้าที่บอกนางออกไปจนวินาทีสุดท้ายที่ได้อยู่ร่วมกัน แต่ในตอนนี้นางถึงกลับสละการบ่มเพาะนับหมื่นปีเพื่อลงมาอยู่กับเขามันทำให้เทียนหลางรู้สึกละอายและได้บอกความจริงออกไป
หลังจากพูดทุกอย่างออกมาจนหมดเทียนหลางก็ถอนหายใจออกมาช้า ๆ และมองเฟิงหยวนด้วยแววตาที่อ่อนแรง เขามองเฟิงหยวนอยู่สักพักก่อนจะลุกออกจากห้องหนังสือไปเพื่อให้เฟิงหยวนได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดและปรับความรู้สึกของตัวเอง
เมื่อเทียนหลางออกมาที่สวนเขาก็มองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ภายในสระน้ำพร้อมกับทำใจยอมรับทุกอย่างที่กำลังจะตามมาแม้กระทั้งการที่ถูกเฟิงหยวนแก้แค้นด้วย
ในขณะที่เทียนหลางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเฟิงหยวนก็เดินออกมาจากตำหนักและเข้ามากอดที่ด้านหลังของเขาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
”ข้ารอมานานกว่าหมื่นปีที่ท่านจะพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง”
เมื่อเทียนหลางได้ยินเขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะหันมาพูดกับเฟิงหยวน
”เจ้ารู้ ?”
เฟิงหยวนพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับพูดขึ้น
”ใช่ ข้ารู้หลังจากที่ท่านพี่ตายได้ไม่นานท่านอาจารย์ก็ได้มาบอกข่าวนั้นกับข้า และเมื่อข้ารู้ว่าท่านเป็นคนจบชีวิตของท่านพี่ ข้าก็อยากจะขอบคุณท่านมาโดยตลอด ท่านอาจารย์ได้บอกว่าผู้ที่ถูกมารสิงสู่จะทำแต่เรื่องร้ายแรงทั้งปล้น ฆ่า ข่มขืน หรือแม้แต่สร้างข่ายกลวิญญาณเพื่อที่จะทำให้ตัวเองนั้นได้สะสมวิญญาณได้เป็นจำนวนมากในเวลาอันสั้น เมื่อข้ารู้เรื่องพวกนี้ข้าก็ไม่อาจที่จะโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของท่านได้ และข้ามั่นใจว่าท่านพี่ก็คงอยากจะขอบคุณท่านเช่นกัน”
เฟิงหยวนเงียบไปสักพักก่อนจะกอดเทียนหลางแน่นขึ้น
”ข้ารู้มาตลอดว่าท่านปกปิดเรื่องนี้ไว้กับข้า แต่ข้าไม่รู้เลยว่าท่านต้องทุกข์ระทมแค่ไหนกับความรู้สึกผิดนี้ ท่านอย่างได้กังวลมันอีกต่อไปข้าไม่ได้เกลียดหรือโทษท่านแต่อย่างใด”
เมื่อเทียนหลางที่ได้ยินเฟิงหยวนพูดแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา ความรู้ในตอนนี้เหมือนเขาได้ถูกปลดออกจากโซ่ตรวนที่คอยรัดเขามาตลอดหมื่นปีได้สำเร็จเทียนหลางจ้องมองท้องฟ้าอยู่สักพักก่อนจะปล่อยให้เฟิงหยวนกอดเขาอยู่นั้นเป็นเวลานาน