เทียนหลางมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าของฐานทัพทหารก่อนจะเดินเข้าไปเขาก็ถูกขวางไว้โดยทหารยามสองคน พวกเขามองเทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเข้มแข็ง
”หยุด นี่คือพื้นที่ของกองทัพพลเมืองไม่มีสิทธิเข้ามาที่นี้”
เทียนหลางตกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ผมเป็นคนของหน่วยหมาป่า”
ทหารทั้งสองคนได้ยินก็มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ถ้าอย่างงั้นโปรดโชว์บัตรเจ้าหน้าที่ด้วย”
”เอ่อ….”
เทียนหลางอ้ำอึ้งเล็กน้อยเพราะเขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเลขาไป๋ไม่ได้ให้อะไรที่ดูเหมือนบัตรหรือตราสัญลักษณ์ของเจ้าหน้าที่กับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาขบคิดอยู่สักพักก่อนจะโทรหาเลขาไป๋ ซึ่งเลขาไป๋ก็รับสายอย่างรวดเร็ว เทียนหลางบอกเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้กับเลขาไป๋เมื่อเขาได้ยินก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะบอกให้เทียนหลางยื่นโทรศัพให้กับนายทหารสองคนเมื่อทหารคนรับหนึ่งรับโทรศัพไปพร้อมพูดคุยอยู่กับเลขาไป๋อยู่สักพักก็ปล่อยเทียนหลางผ่านเข้าไป
เทียนหลางเดินมาจนถึงศูนย์บัญชาการของหน่วยหมาป่าก่อนจะเข้าไปและเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นทันทีโดยไม่แวะที่อื่น เมื่อเข้ามาเขาก็พบเห็นเลขาไป๋กับสมาชิกหน่วยหมาป่าอีก 6 คนกำลังนั่งคุยกันอยู่ซึ่งมีสองคนที่เขาเคยเห็นหน้าแล้วก็คือหยานเฉา กับถังถัง
เมื่อทุกคนเห็นเทียนหลางเข้ามาก็จ้องมองเขาตาเป็นมันต่างจากถังถังที่มองเทียนหลางด้วยสายตาเป็นประกาย เลขาไป๋เมื่อเห็นว่าเทียนหลางมาแล้วเขาก็กระแอมไอทีหนึ่งก่อนจะแนะนำตัวเทียนหลางกับสมาชิกคนอื่นๆ
”เอาละทุกคนฉันจะแนะนำเด็กหนุ่มคนนี้ให้รู้จัก เขาชื่อเทียนหลางจะมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยหมาป่าของเราและเขาจะเข้าร่วมภาระกิจนี้กับเราด้วย”
”สวัสดีครับ”
เทียนหลางกล่าวทักทายอย่างง่ายๆ ซึ่งคนอื่นก็ทักทายเขากลับอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ส่วนถังถังก็ได้แต่ยิ้มโบกมือให้เขาหยอยๆ ราวกับเจอเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน หลังจากนั้นเลขาไป๋ก็แนะนำสมาชิกคนอื่นๆ ให้กับเทียนหลางได้รู้จัก
คนแรกเป็นหัวหน้าของหน่วยหมาป่า ชื่อไป๋ตงหลินมองดูจากภาพนอกแล้วเขาดูจะเป็นผู้ชายที่ท่าทางสุภาพแต่จากคำแนะนำของเลขาไป๋บอกเอาไว้ว่าอย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาหลอกคุณได้เพราะไป๋ตงหลินนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งไม่ใช่น้อย เขามีความสามารถได้การเป็นผู้นำสูง และฉลาดเรื่องการวางแผนแม้เขาจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในหน่วยก็ตามแต่เพราะมันสมองอันชาญฉลาดของเขาทำให้ทุกคนต่างกลัวและเคารพในตัวของไป๋ตงหลิน
คนต่อมาเป็นรองหัวหน้าหน่วยซึ่งเทียนหลางได้เคยเจอเขาแล้วซึ่งเขาก็คือหยานเฉา เขาเป็นที่แข็งแกร่งที่สุดในหน่วยความถนัดของเขาคือการต่อสู้ระยะประชิดทุกรูปแบบ เป็นคนที่มีความสุขุมรอบคอบและใส่ใจในรายละเอียดหากภาระกิจในไม่มีหัวหน้าไป๋ตงหลินไปด้วย หยานเฉานี่แหละคือคนที่จะนำทีมเพราะเขามีคุณสมบัติที่ครบถ้วน
คนต่อไปคือถังถังเลขาไป๋ไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากนักเพราะเธอพึ่งเข้าหน่วยมาได้ไม่นานถนัดการต่อสู้ระยะประชิด และศิลปะการต่อสู้กับการใช้ปืน
คนต่อไปก็คือหยาฟูฉิน ชายหนุ่มที่สวมแว่นหนาเตอะท่าทางสุภาพเรียบร้อยแลดูเป็นคนเก็บตัวหน่อยๆ แต่ภายใต้รูปลักษณ์แบบนี้ของเขากลับกลายเป็นหนึ่งในทหารที่เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรที่สุดในหน่วยคนหนึ่งและยังเป็นอัจฉริยะเรื่องเทคโนโลยีอีกด้วยหากคุณต้องการอุปกรณ์ไอเทคแล้วละก็หยาฟูฉินที่แหละที่จะช่วยคุณได้
ส่วนอีกคนหนึ่งคืออี้คงฉิน เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดกับใครแต่ถึงอย่างงั้นเขาก็เป็นสไนเปอร์ที่เก่งเอามากๆ เป็นหน่วยซุ่มยิงและกำลังพลเสริมที่ไว้ใจได้แถมยังเชี่ยวชาญภูมิประเทศทุกรูปแบบหากว่าคุณจะหนีจากสถานะการณ์วิกฤตแล้วละก็คุณสามารถสอบถามทางหนีกับอี้คงฉินได้เลย และเขาจะระวังหลังคุณให้อย่างดี
และคนสุดท้ายคือเฮ่าซุน เขาเป็นผู้ชายร่างใหญ่หน้าตาร่างกลัวเล็กน้อยแต่เลขาไป๋บอกว่าเขาเป็นคนที่ใจดีเอามากๆ ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของเขาทำให้เขาเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่มหากเป็นเรื่องแนวหน้าและการใช้พละกำลังแก้ปัญหาคุณสามารถไว้ใจเฮ่าซุนได้แน่นอน
อันที่จริงนั้นในหน่วยยังมีอีกคนหนึ่งชื่อเอมิลี่ แต่เธอนั้นติดงานอื่นอยู่จึงทำให้เข้าร่วมภาระกิจนี้ไม่ได้เมื่อเทียนหลางได้ยินชื่อเธอก็สงสัยเล็กน้อยก่อนจะหันไปถามกับเลขาไป๋
”เอมิลี่ ? เธอเป็นคนต่างชาติไม่ใช่เหรอ ?”
”ถูกต้อง”
”ไม่ใช่ว่าในกองทัพจะมีแต่คนจีนหรอกเหรอ ?”
”เอมิลี่เธอเป็นลูกครึ่ง จีนฝรั่งเศสหน่ะ”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิดถึงมันและมาฟังเลขาไป๋บอกรายละเอียดของภาระกิจ แต่ก่อนที่เลขาไป๋จะได้พูดถึงภาระกิจก็มีคนๆ หนึ่งพูดขึ้นมาก่อนนั่นก็คือหยาฟูฉินเขามองเทียนหลางก่อนจะพูดขึ้น
”เธอชื่อเทียนหลางสินะ ก่อนจะเข้าเรื่องฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้รึเปล่า ?”
”ได้สิครับ”
”เธอถนัดการต่อสู้รูปแบบไหน ? และมีสไตล์การต่อสู้แบบใด ?”
เมื่อได้ยินคำถามของหยาฟูฉินเทียนหลางก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจว่าเขานั้นเป็นผู้ซัพพอร์ตด้านอุปกรณ์ต่างๆ ของทีมมันจึงไม่แปลกที่เขาจะถามแบบนี้เพื่อก่อนจะเริ่มภาระกิจเขาจะได้ตัดเตรียมอุปกรณ์และการซัพพอร์ตด้านต่างๆ ได้ทันเวลาเทียนหลางขบคิดเล็กน้อยเพราะเขานั้นมีสไตล์การต่อสู้ไม่ชัดเจนและแน่นอนการต่อของเขาจะเอามาเทียบกับทหารเหล่านี้ไม่ได้ เพราะการต่อสู้ของเหล่าผู้บ่มเพาะขั้นสูงกับผู้ฝึกยุทธนั้นต่างกันคนละโลกเรียกได้ว่า เป็นโลกที่เหนือล้ำจินตนาการของผู้คนขึ้นไปอีกเขาจึงตอบกลับไปอย่างง่ายๆ
”หากจะให้เจาะจงละก็คงจะเป็นแนวๆ แทรกซึม ไล่ล่า ลอบสังหาร และปล้นละมั้ง”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของเทียนหลางทั้งห้องก็ต่างหันมามองเขาอย่างรวดเร็วไม่เว้นแม้แต่เลขาไป๋ด้วยเช่นกันเพราะก่อนหน้าที่ทุกเคยได้อ่านแฟ้มประวัติของเทียนหลางอย่างคร่าวๆ แล้วและสรุปได้ว่าเขาเป็นเพียงนักศึกษามหาลัยจิงไห่ปี 1 ธรรมดาๆ เท่านั้นซึ่งมันไม่ควรจะมีทักษะจำพวกนี้
แม้แต่ถังถังและหยานเฉาที่เคยเห็นทักษะส่วนหนึ่งของเทียนหลางมาแล้วด้วยเช่นกัน แม้ทั้งคู่จะเคยเห็นทักษะหนึ่งเล็กๆ ของเทียนหลางมาแล้วและคิดว่าเขานั้นน่าจะถนัดแนวลอบสังหาร หรือลอบเร้นมากที่สุดก็ยังตกใจเพราะไม่คิดว่าเทียนหลางจะมีความถนัดแบบอื่นอีกด้วย หยาฟูฉินเงียบไปสักพักก่อนจะอะไรบางอย่างลงในสมุดก่อนจะถามขึ้น
”และอาวุธที่เธอถนัดหล่ะ ?”
”อืม… กริด มีดสั้น ดาบสั้น กระบี่ และอาวุธระยะประชิดอื่นๆ”
”เธอนี่รอบด้านจังนะ”
หยาฟูฉินพูดขึ้นพร้อมกับจดมันลงบนสมุด เทียนหลางก็ได้แต่ยิ้มแต่ไม่ตอบกลับอะไรหลังจากนั้นอีกสักพักเลขาไป๋ก็พูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปยังจอมอนิเตอร์ตรงกลางห้อง
”เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างโอเคแล้วฉันจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เป้าหมายภาระกิจของเรานั้นคือเจ้าสิ่งนี้”
เมื่อพูดจบจอมอนิเตอร์ก็สว่างขึ้นพร้อมกับปรากฏภาพของตราหยกชิ้นหนึ่งที่ดูเหมือนมันจะเสียหายเพราะส่วนด้านบนนั้นได้หายไปดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามันถูกสลักเป็นรูปอะไรแน่ เลขาไป๋ชี้ไปที่ตราหยกพร้อมกับพูดขึ้น
”นี่คือตราหยกสมัยราชวงศ์ก่อนยุคโบราณเชื่อว่ามันอยู่ในยุคคาบเกี่ยวระหว่างยุคราชวงศ์เซี่ย”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ต่างฮือฮากันเล็กน้อยมีเพียงเทียนหลางคนเดียวนั้นที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ จากนั้นถังถังก็ได้ถามขึ้น
”มันคือตราหยกของราชวงศ์เซี่ยงั้นเหรอคะเลขาไป๋ ?”
เลขาไป๋ส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า
”ฉันมั่นใจว่าทุกคนต้องรู้ว่าในประเทศของเรามีหน่วยลับ ตระกูลเก่าแก่โบราณอยู่มากมายใช่ไหม ?”
ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงเพราะทุกคนนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธย่อมรู้เรื่องของตระกูลโบราณและสำนักกับนิกายโบราณที่มีอายุหลายร้อยหรือพันปีมาบ้างอย่างแน่นอน จากนั้นเลขาไป๋ก็พูดขึ้นต่อว่า
”ทางเราเชื่อว่านี่อาจจะเป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลหรือราชวงศ์โบราณสักราชวงศ์หนึ่งที่เคยหลบซ่อนอยู่ในเงามืดของยุคสมัยและคอยชักใยเรื่องต่างๆ อยู่อย่างลับๆ รวมทั้งคอยควบคุมราชวงศ์เซี่ยจากหลังม่านอีกด้วย และในบันทึกโบราณต่างๆ ที่พวกเราได้ค้นพบก็พบว่ามันมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ตระกูลหรือราชวงศ์ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับเทคนิคลับ หรือผู้ฝึกยุทธในสมัยโบราณและมีความเกี่ยวพันอันกว้างขวางกับเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์อื่นๆ จึงกล่าวได้ว่าตราหยกนี่เป็นสมบัติของประเทศเลยก็ได้”
ทุกคนได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อยและดูจะไม่แปลกใจเรื่องของผู้ฝึกยุทธหรือเทคนิคลับเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะทุกคนในหน่วยนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธก็เป็นได้ หลังจากบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตราหยกในรูปอยู่อีกครู่หนึ่งเลขาไป๋ก็ได้เข้ารายละเอียดของภาระกิจ
”ภาระกิจก็คือการชิงตราหยกอันนี้กลับมา”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ถึงกับแสดงสีหน้าสงสัยออกมาจนหัวหน้าหน่วยไป๋ตงหลินพูดขึ้น
”เลขาไป๋ หากภาระกิจเป็นเพียงแค่การชิงตราหยกอันเดียวทำไมถึงกับต้องให้หน่วยหมาป่าไปทำภาระกิจนี้ด้วยหล่ะ ? ทั้งที่ให้หน่วยลับอื่นไปเองก็น่าจะได้เหมือนกัน”
เลขาไป๋ที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”นั่นก็ถูกของเธอแต่ปัญหาติดอยู่ที่คนที่มีมันอยู่ในตอนนี้นะสิ”
”คนที่มีมัน ?”
ทุกคนสงสัยขึ้นมาทันทีเลขาไป๋พยักหน้าก่อนจะขึ้นภาพของชายคนหนึ่งขึ้นมาเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 40-50 ปีหน้าตาธรรมดาแต่แฝงไปด้วยความหยิ่งพยองเล็กน้อยถ้าดูจากรูปลักษณ์ภาพนอกเลขาไป๋อธิบายเพิ่มเติม
”เขาชื่อ อเล็กซานเดอร์ ฮาคาติ เป็นหนึ่งในพ่อค้าอาวุธที่ทางรัฐบาลโลกต้องการตัวที่สุดและเป็นคนที่อันตรายมากๆ เขาสามารถจัดหาทุกอย่างให้กับเธอได้แม้แต่หัวรบนิวเคลียของเพียงเธอมีเงินพอจะจ่าย นอกจากนี้เขายังเป็นพ่อค้ายาตัวเอ้และเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียอาชญากรข้ามชาติที่ชื่อว่า คาฟาเซีย อีกด้วย”
”เมื่อประมาณสองเดือนก่อนดาวเทียมของเราได้พบว่าเขานั้นได้เข้าร่วมงานประมูลแห่งหนึ่งใน เยอรมันและได้ประมูลตราหยกดังกล่าวไปพร้อมกับพลูโตเนียมจำนวนครึ่งตันซึ่งมากพอจะสร้างหัวรบนิวเคลียได้เป็นโหล ก่อนหน้านั้นทางรัฐบาลได้ออกคำสั่งให้กับหน่วยลับที่ 7 ออกไปแทรกซึมและจับตาดู ฮาคาติแล้วแต่ไม่กี่วันต่อมาพวกเขาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทางเราเชื่อว่าพวกเขาถูกจับได้และถูกจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้วดังนั้นหน้าที่นี้จึงตกมาอยู่ที่หน่วยของเรา”
เมื่อได้ฟังแบบนั้นไป๋ตงหลินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”แล้วสรุปภาระกิจหลักของเราคืออะไรกันครับ ?”
”ภาระกิจของเรามี 3 ส่วนคือ 1. การค้นตราหยกและนำกลับคืนมา 2. คือการทำลายพลูโตเนียมทั้งหมดหากเป็นไปได้ให้ทำลายกลุ่มคาฟาเซียและสังหารฮาคาติซะ และภาระกิจสุดท้าย”
เลขาไป๋ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
”หากเป็นไปได้พาหน่วยลับที่ 7 กลับมาหากพวกเขาตายฉันก็อยากจะได้หลักฐานที่ชัดเจน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนในหน่วยก็ต่างแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา จากนั้นไป๋ตงหลินก็ถามขึ้น
”แล้วที่อยู่ปัจจุบันของฮาคาติล่ะครับ ?”
เลขาไป๋พยักหน้าพร้อมกับขึ้นภาพบนจอซึ่งเป็นป่าสนรกทึบที่ไหนสักแห่งและใจกลางป่านั้นได้มีปราสาทหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
”จากข้อมูลล่าสุดที่หน่วยลับที่ 7 ส่งมาเขากบดานอยู่ที่ป่าสนในประเทศโลกที่สามที่ชื่อว่า คาซานัวร์ ล้อมรอบด้วยกลุ่มทหารติดอาวุธจำนวนมากส่วนข้อมูลเชิงลึกนั้นพวกเราไม่มีข้อมูลเลยดังนั้นถือว่านี่เป็นภาระกิจที่อันตรายอย่างมาก แต่ฉันเชื่อมือพวกเธอ”
ทุกคนพยักหน้าก่อนจะทำความเคารพแบบทหารก่อนที่เลขาไป๋จะกล่าวประกาศจบการประชุมและเดินออกจากห้องไป ตามด้วยหยาฟูฉินที่ออกไปเพื่อเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม หลังจากนั้นไป๋ตงหลินก็เดินเข้ามาหาเทียนหลางพร้อมกับพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือออมา
”เข้าหน่วยวันแรกก็โดนภาระกิจหนักเลยสินะน้องชาย”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับจับมือไป๋ตงหลิน
”แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยครับ งานยิ่งอันตราย ค่าตอบแทนก็ยิ่งมาก”
เมื่อไป๋ตงหลินได้ยินก็หัวเราะออกมาก่อนจะขอตัวออกไปเตรียมตัว หลังจากนั้นทุกคนในหน่วยก็เข้ามาพุดคุยกับเทียนหลางก่อนจะออกไปทำธุระของตัวเองเหลือเพียงเขากับถังถังเท่านั้น เธอเดินมาด้านหน้าเทียนหลางพร้อมกับยิ้ม เขามองเธอเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม
”คุณมีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ ?”
ถังถังมองเทียนหลางอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
”ช่วยสอนเทคนิคการต่อสู้ให้ฉันหน่อยสิ !!”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ต่อสู้ ?”
ถังถังพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คอของตัวเองและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมีความสุข
”ใช่ แบบที่นายเคยทำกันฉันเมื่อวันก่อนหน่ะ”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ทำเอาถังถังตกใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”นายหัวเราะอะไรงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
”ฉันหัวเราะที่เธอที่เข้าใจผิดหน่ะ”
”เข้าใจผิด ? เข้าใจผิดอะไร ?”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นอีกครั้ง
”นั่นไม่ใช่เรียกว่าเทคนิคการต่อสู้”
”ไม่ใช่เทคนิคการต่อสู้ ? แล้วมันเรียกว่าอะไรหล่ะ ?”
ถังถังถามด้วยความสงสัย เทียนหลางก็พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอีกครั้ง
”เทคนิคที่ผมใช้หน่ะมันคือเทคนิคแห่งการสังหาร เทคนิคต่อสู้หน่ะมีไว้สำหรับเด็กๆ ตีกันเท่านั้นมันใช้ฆ่าใครไม่ได้หรอกขอให้คุณเข้าใจมันเสียใหม่ด้วยนะ”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินออกจากห้องประชุมปล่อยให้ถังถังขบคิดอยู่กับคำพูดของเทียนหลางอยู่สักพัก เมื่อเธอรู้สึกตัวก็เห็นว่าเทียนหลางออกไปจากห้องแล้วเธอรีบวิ่งตามเขาไปพร้อมกับตะโกนไล่หลังเขาไปด้วย
”เดี๋ยวก่อนซี้ ~ ที่บอกว่ามันใช้ฆ่าใครไม่ได้หน่ะช่วยอธิบายหน่อยซี้ ~”