หลังวางสายจากเลขาไป๋เรียบร้อยแล้วเทียนหลางก็กลับมาวุ่นวายกับแกงตรงหน้าต่อ หลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารอยู่พักใหญ่เขาก็ยกมันทั้งหมดไปที่เรือนมังกรของเขาในขณะที่กำลังจะก้าวออกจากห้องครัวแม่ของเทียนหลางก็ผ่านมาเห็นพอดีเธอจึงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
”น่าแปลกนะเนี่ยที่ลูกทำอาหาร”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาแห้งๆก่อนจะอธิบายสั้นๆ
”พอดีเฟิงหยวนเขาอยากทานอาหารฝีมือผมน่ะครับ”
”งั้นเหรอ ~”
แม่ของเทียนหลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขานั้นไม่ได้เชื่อในคำพูดของลูกชายตัวเองก่อนจะลูบคางตัวเองเบาๆและเอ่ยขึ้นมา
”ลูกไปทำอะไรให้เฟิงหยวนไม่พอใจมางั้นเหรอ ?”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
”แม่รู้ได้ยังไง ?”
เมื่อแม่ของเทียนหลางได้เห็นเขาตกใจเธอก็หัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
”ก็พ่อของลูกทำแบบนี้ทุกครั้งที่เขาทำอะไรบางอย่างผิดพลาด และเขาก็มักจะทำอาหารมาขอโทษและง้อแม่อยู่เสมอ”
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของแม่เทียนหลางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะมองไปที่พ่อของเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องนั่งเล่น และกำลังนั่งใช้เท้าหนีบไม้ขนไก่เล่นกับเจ้าขาวอยู่
จากนั้นแม่ของเขาก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า
”แล้วสรุปลูกไปทำอะไรให้หนูเฟิงหยวนโมโหมาหล่ะ ?”
”ก็นิดหน่อยนะครับ”
”แล้วเรื่องมหาลัยเป็นยังไงบ้าง ?”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ
”เรียบร้อยดีครับแม่ ทางมหาลัยนั้นตอบรับมาเรียบร้อยแล้วสัปดาห์หน้ามหาลัยก็จะเปิดแล้วครับ”
”แล้วลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือยัง ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ลูบคางเบาๆก่อนจะนึกถึงสิ่งจำเป็นที่เขาจะต้องเตรียมเพื่อไปเรียน ก่อนจะพยักหน้าเบาเพื่อบอกแม่ของเขาว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วแต่อันที่จริงคือเทียนหลางนั้นไม่รู้เลยว่าเขานั้นจะต้องเตรียมอะไรบ้าง
หลังจากคิดอยู่สักพักเทียนหลางก็กะจะโทรไปถามหลินเสวียทีหลังเอาก็ได้
หลังจากพูดคุยกับแม่อยู่อีกเล็กน้อยเทียนหลางก็ยกอาหารไปให้เฟิงหยวนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เมื่อเฟิงหยวนเห็นเทียนหลางยกอาหารมาตรงหน้าเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
”นี่คุณกะจะทำอาหารให้ฉันทานเพื่อลดหย่อนโทษงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆพร้อมกับวางอาหารเย็นตรงหน้าของเธอ ก่อนจะเล่าเรื่องงานชุมนุมของกองทัพให้กับเฟิงหยวนฟังคร่าวๆระหว่างทานอาหารไปด้วยกันเฟิงหยวนที่ได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”คุณมีแผนในอนาคตแล้วงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ลูบคางตัวเองเบาๆก่อนจะถามกลับ
”แผนในอนาคต ? จำเป็นด้วยเหรอ ?”
เฟิงหยวนถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะพูดขึ้น
”จำเป็นสิ คุณก็รู้ว่าเราไม่สามารถอยู่โลกใบนี้ได้ตลอดไป เมื่อใดที่กฏเกณฑ์ของโลกใบนี้กีดกันเรา เราก็จำเป็นจะต้องจากไป”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทียนหลางก็วางตะเกียบลงพร้อมกับเริ่มคิดมันอย่างจริงจัง
”เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคิดกันทีหลังแล้วกัน เอาเข้าจริงๆผมไม่อยากกลับไปที่แดนสวรรค์หรือไปดินแดนอื่นๆหรอกนะ”
เฟิงหยวนที่ได้ยินความคิดของเทียนหลางเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”ทำไมหล่ะ ?”
เทียนหลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
”ผมเบื่อน่ะสิคุณก็รู้เราวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้มานานเกินไปแล้ว เอาเข้าจริงผมอยากใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายๆเสียมากกว่า ไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับโลกของการบ่มเพาะอีกแล้ว”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินคำตอบของเทียนหลางเธอก็พยักหน้าเห็นด้วยเพราะตัวเธอเองก็อยู่ในโลกของการบ่มเพาะมาอย่างยาวนานและพบเจออะไรมากมายจนถึงขั้นรู้สึกชินชากับมันไปเสียแล้วเธอจึงรู้สึกว่าอยู่อย่างสงบนั้นก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เลวร้ายอะไรดังนั้นเธอจึงพยักหน้าเห็นด้วย
ก่อนจะแสดงความคิดเห็น
”ทำไมไม่ไปที่ดินแดนนิรันดิ์หล่ะ ที่นั่นถูกแยกออกจากกฏเกณฑ์ต่างๆ ดังนั้นเราน่าจะพาพ่อแม่ของคุณและก็คนอื่นไปด้วยได้”
เทียนหลางที่ได้รับความเห็นของเฟิงหยวนก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดขึ้น
”ตอนแรกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่การที่จะไปอยู่ที่นั่นคงไม่สามารถทำได้ในตอนนี้แม้ดินแดนนิรันดิ์จะถูกแยกเป็นเอกเทศจากดินแดนอื่นๆแต่มันก็ยังมีกฏของมันอยู่”
”นั่นสินะ”
เทียนหลางที่เห็นเฟิงหยวนถอนหายใจเขาก็ยิ้มขึ้นก่อนจะพูดปลอบใจ
”คุณอย่าคิดมากเลย อีกอย่างเราไม่ได้จะจากโลกนี้ไปในวันพรุ่งนี้เสียหน่อยเรายังมีเวลาอีกมาก แล้วอีกอย่างผมยังติดใจเรื่องที่ตาแก่ไท่ฟูบอกอยู่อีกด้วย”
”ที่ท่านพ่อบอกว่าอสูรหนีออกมาจากดินแดนของพวกมันนะเหรอ ?”
เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับอธิบาย
”แม้พวกอสูรจะมีอยู่ทุกโลกและทุกดินแดนก็ตามแต่พวกมันก็ไม่สามารถจะออกจากโลกหรือดินแดนนั้นๆได้นอกจากพวกที่มีระดับมากกว่าเซียนหยั่งรู้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะมีพลังมากก็ตามแต่เพราะกฏเกณฑ์บางอย่างที่ขวางพวกมันเอาไว้ทำให้พวกมันไม่สามารถออกมาได้ แต่ก็มีอสูรหลายตนเช่นกันที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ”
เขาจิบน้ำเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
”ยกตัวอย่างเช่น ธิดาปีศาจเหม่ยหยวนที่อยู่ขั้นอวตารเทพนางสามารถเข้าออกดินแดนระดับสูงมากมายได้โดยไม่ถูกกฏเหล่านั้นขัดขวาง แต่จากที่ตาแก่ไท่ฟูและเทาน้อยบอกว่ามีพวกอสูรมากมายที่อยู่ในระดับกษัตริย์หรือจักรพรรดิได้ออกมาจากโลกของพวกมันด้วยวิธีการบางอย่างและเริ่มเข้าสู่ดินแดนชั้นล่าง แม้พวกมันจะถูกกฏบังคับให้เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่หนึ่ง แต่ด้วยความรู้ของพวกมันไม่ยากนักที่พวกมันจะได้ปกคลองดินแดนชั้นล่าง”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย
”ขึ้นอยู่กับเวลาสินะ”
เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนยันคำพูดของเฟิงหยวน ก่อนที่เขาจะเงียบไปเล็กน้อยและพูดขึ้น
”บางทีพวกมันอาจจะมายังโลกนี้ด้วยก็ได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเฟิงหยวนก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เทียนหลางที่ได้เห็นก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า
”คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก แม้พวกมันจะมาที่นี้จริงแต่การบ่มเพาะของพวกมันก็จะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น แล้วทรัพยากรในโลกนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆและส่วนใหญ่ก็คงถูกพวกสำนักหรือพรรคของโลกนี้เก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี กว่าพวกมันจะฟื้นฟูการบ่มเพาะมาถึงขั้นต่อกรกับพวกเราได้ก็คงจะอีกนานพอดู”
เฟิงหยวนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เทียนหลางถึงกับต้องตกตะลึง
”คุณคิดว่าอนาคตของเราจะเป็นยังไงต่อจากนี้”
เทียนหลางมองเฟิงหยวนเล็กน้อยพร้อมกับขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้น
”ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้หรอกนะที่รัก แม้แต่เทพพยากรณ์ก็มิอาจจะล่วงรู้อนาคตที่แน่นอนได้ ว่าแต่ทำไมคุณถึงถามมันขึ้นมาหล่ะ ?”
เทียนหลางถามออกไปด้วยสีหน้างุนงง เฟิงหยวนวางถ้วยชาลงก่อนจะพูดขึ้น
”คุณรู้สินะว่าชีวิตนั้นไม่แน่นอน”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าหงึกๆเห็นด้วย จากนั้นเฟิงหยวนก็พูดต่อด้วยใบหน้าจริงจัง
”เรื่องนี้ฉันคิดมาได้สักพักหนึ่งแล้วหลังจากที่มาเจอคุณที่โลกนี้”
เทียนหลางมองใบหน้าอันงดงามที่จริงจังของเฟิงหยวนพร้อมกับตั้งตารอคำพูดของเธออย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นเฟิงหยวนก็พูดออกมาด้วยใบหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก
”เทียนหลาง”
”คะ ครับ”
”ฉันอยากมีลูก”
”อะห๊ะ !”