เมื่อหลินตงไห่ได้ยินคำพูดของเทียนหลางเขาก็ถึงกับขมวดคิ้วทันทีก่อนจะเอ่ยถามเทียนหลาง
“นายเล่นหมากล้อมเป็นหรือเปล่า ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้ามกับหลินตงไห่ และเริ่มเดินหมากกับเขา ทางด้านหลินเสวี่ยเธอนั้นรู้ได้ทันทีเลยว่าพ่อนั้นต้องการจะคุยอะไรบางอย่างกับเทียนหลาง เธอจึงรีบขอตัวออกไปทันที
ในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินหมากกันอยู่นั้นหลินตงไห่ก็ได้เอ่ยถามกับเทียนหลางว่า
“เธอขอให้ฉันอนุญาตให้เธอกับหลินเสวี่ยคบกัน แต่เท่าที่ฉันรู้มาเธอนั้นอาศัยอยู่กับนางแบบคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ? แล้วไหนจะมีคุณหนูซูหลินแห่งตระกูลหลี่อีก”
มือของเทียนหลางที่กำลังจับหมากอยู่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับอย่างใจเย็นว่า
“ทั้งสามคนได้คุยกันเรียบร้อยแล้วครับ แล้วก็ตกลงกันได้แล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรครับ”
หลินตงไห่ได้ยินแบบนั้นคิ้วของเขาก็ถึงกับม้วนเข้าหากันอย่างรวดเร็วก่อนจะมองไปที่ประตูห้องเล็กน้อยและถอนหายใจออกมา
“ถ้าหากว่าพวกเธอคุยกันเรียบร้อย งั้นฉันก็คงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยไม่ได้”
เทียนหลางเมื่อได้รับคำยืนยันจากหลินตงไห่แล้วเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขอบคุณ จากนั้นหลินตงไห่ก็พูดขึ้นอีกว่า
“แต่ถึงแม้ฉันจะไม่ขัด เธอก็อย่าได้ชะล่าใจเกินไปล่ะ”
เทียนหลางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามออกไปด้วยความสงสัย
“คุณหมายความว่ายังไงงั้นเหรอครับ ?”
“ในช่วงไม่กี่วันมานี้หลินเสวี่ยน่ะเริ่มจะมีผู้ชายมาตามจีบเธอ แล้วดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักใหญ่โตในโลกผู้บ่มเพาะด้วย”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิดเกี่ยวกับมันอีก เพราะถ้าหากเป็นลูกหลานของผู้มีอิทธิพลมันก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย แต่ถ้าหากผู้ชายเหล่านั้นเป็นเพียงศิษย์ของสำนักผู้บ่มเพาะแล้วล่ะก็การจัดการมันจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
เพราะแม้แต่สำนักอัคคีที่มีนิกายโบราณหนุนหลังอยู่เทียนหลางก็ยังเผามาแล้ว แล้วกะอีแค่สำนักใหญ่ทั่วไปทำไมเทียนหลางจะไม่กล้าทำอะไร
และถึงแม้ทางฝั่งนั้นจะกล้าต่อให้เทียนหลางให้เวลาพวกเขาอีกสักร้อยปีหรือพันปีพวกเขาก็คงไม่สามารถแม้แต่จะจับชายเสื้อของเทียนหลางได้อยู่ดี
ดังนั้นเทียนหลางจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
เมื่อหลินตงไห่เห็นท่าทีที่สงบของเทียนหลางเขาก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะถามออกไปด้วยความสงสัยว่า
“เธอไม่กังวลเลยงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า
“พวกเขาเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่มีอะไรจะต้องไปใส่ใจมากนัก”
เมื่อหลินตงไห่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเตือนกับเทียนหลางด้วยความหวังดีว่า
“ถึงเธอจะพูดอย่างงั้นแต่ก็ควรจะระวังเอาไว้หน่อย แม้ฉันจะไม่ได้รู้เรื่องของผู้บ่มเพาะมากนักแต่สำนักของพวกเขานั้นก็เป็นหนึ่งในสำนักที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประเทศจีน”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขอบคุณที่หลินตงไห่เป็นห่วงเขา
“ขอบคุณที่เตือนนะครับ แน่นอนว่าผมไม่อยากจะยุ่งอะไรกับพวกเขามากนักแต่ถ้าหากพวกเขาพยายามจะเล่นอะไรตลกๆแล้วล่ะก็…”
เทียนหลางเงียบลงพร้อมกับยิ้ม เมื่อหลินตงไห่เห็นรอยยิ้มของเทียนหลางเขาก็ถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที รอยยิ้มของเทียนหลางนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่าหากสำนักเหล่านั้นล้ำเส้นเมื่อไหร่ตัวเขาก็พร้อมที่จะลบสำนักเหล่านั้นทิ้งภายในทันที
หลินตงไห่ที่สรุปได้แบบนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะบอกกับเทียนหลางว่า
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เธอเถอะ ฉันและพ่อจะไม่เข้าไปยุ่งอะไรทั้งนั้น”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากที่พูดคุยกันอีกสักพักเทียนหลางก็ขอตัวกลับ ซึ่งก่อนกลับเทียนหลางก็ได้มอบเม็ดยาบางอย่างให้กับหลินตงไห่และบอกว่ามันจะช่วยเหลือเขาในการบ่มเพาะและฟื้นตัว
———————————————————————————————————————————
ณ ค่ำคืนอันเงียบสงบที่สวนด้านหลังบ้านของเทียนหลาง ในตอนนี้เทียนหลางกำลังนั่งอยู่ที่ศาลากลางน้ำพร้อมกับจ้องมองท้องฟ้าดำมืดที่ไร้ซึ่งเมฆหมอกใดๆ มีเพียงดวงดาวและดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องสว่าง
“ช่างเป็นค่ำคืนที่หาได้ยากนักในยุคปัจจุบันเช่นนี้”
เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาก่อนจะขยับนิ้วมือของเขาและเริ่มเล่นกู่เจิงที่อยู่ตรงหน้า เสียงอันไพเราะของกู่เจิงวิญญาณนั้นดังไปทั่วหมู่บ้านเทียเฮอและบริเวณย่านชนชั้นสูง
คนที่สรรจรผ่านไปมาหรือคนที่ยังไม่นอนหลับเมื่อได้ยินบทเพลงกู่เจิงที่เทียนหลางได้บรรเลงออกมาก็เริ่มมีอาการเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะจื่อคังชายวัยกลางคนนักธุรกิจที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่อยู่บ้านไม่ไกลนักและเขายังก็เป็นเพื่อนใหม่คนนึงของพ่อเทียนหลางอีกด้วยพวกเขาทั้งสองมักจะมานั่งเล่นหมากและพูดคุยด้วยกันอยู่บ่อยๆ
เนื่องด้วยจื่อคังนั้นมีอาชีพเป็นเจ้าของกิจการดังนั้นเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดทั้งวันและเมื่อตกดึกเขาก็ยังจะต้องมานั่งเคลียเอกสารที่บริษัทของเขาอีกด้วย จึงมักจะทำให้เขานั้นนอนดึกอยู่บ่อยๆ
ในขณะที่เขากำลังอ่อนล้ากับการทำงานมาตลอดทั้งวัน ทันใดนั้นเขาก็ยินเสียงของคนกำลังเล่นกู่เจิงอยู่แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่ถึงกระนั้นเขากลับรู้สึกความอ่อนล้าสะสมจากการทำงานหนักตลอดทั้งวันนั้นค่อยๆสลายหายไป ร่างกายของเขากลับรู้สึกเบาขึ้น ดวงตาที่พร่ามัวกลับกลายเป็นเด่นชัด
จื่อคังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมากและเชื่อว่าเหตุใดการณ์แปลกประหลาดนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเสียงเพลงอันน่าหลงใหลนั้นอย่างแน่นอน
และแน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นไปทั่วบริเวณรอบๆหมู่บ้านเทียเฮอ และชุมชนชั้นสูงข้างเคียงโดยมีบ้านของเทียนหลางเป็นจุดศูนย์กลาง