เมื่อซูหลินและหลินเสวี่ยได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าตกใจออกมาก่อนจะก้มหน้าหนีอย่างรวดเร็ว ทางด้านตู่เชิงก็ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกช้อนในมือถึงกับหล่นใส่จานข้าว
จากนั้นเทียนหลางก็พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“เป็นอะไรไป ? พวกเธอไม่อยากย้ายมางั้นเหรอ ?”
ทั้งคู่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าก่อนที่ซูหลินจะพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเขินอายว่า
“มะ… มันไม่ใช่อย่างงั้นหรอก แต่ว่าใครจะดูแลคุณปู่ของฉันกันล่ะ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้นว่า
“อย่าห่วงเลยตาแก่นั่นไม่ตายง่ายๆหรอกน่า”
ซูหลินได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าปู่ของเธอนั้นแข็งแรงขนาดไหน เรียกได้ว่าแข็งแรงยิ่งกว่าหนุ่มๆในปัจจุบันนี้เสียอีก
หลังจากคิดอยู่สักพักซูหลินก็เอ่ยกับเทียนหลางว่า
“ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะหันไปทางหลินเสวี่ยที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่อย่างหนักเขาจึงยื่นหน้าไปถามพร้อมกับยิ้มว่า
“แล้วเธอล่ะ ?”
“ฉันเองก็ขอคิดดูก่อนเหมือนกัน”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะชวนทั้งคู่ทานข้าวต่อ แต่ดูเหมือนว่าข้ามื้อนี้ค่อนข้างจะทานลำบากเล็กน้อย หลังจากทานมื้อเที่ยงกันเสร็จ ตู่เชิงก็แยกไปเรียนที่คลาสของตนเอง
ส่วนซูหลินและหลินเสวี่ยก็มีงานที่คณะจึงได้ขอตัวออกไปก่อน ตอนนี้ก็เหลือเพียงเทียนหลางเท่านั้น ซึ่งคาบบ่ายนั้นเขาไม่มีเรียน เทียนหลางจึงกลับบ้านไปพักผ่อน
ในจังหวะที่เทียนหลางกำลังจะเดินไปเอารถอยู่นั้นเขาก็ได้เห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงรถของเขาพร้อมกับแอ๊กท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน
เทียนหลางที่เห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้านั้นดูน่าสนใจดีจึงได้ยืนฟังอยู่ห่างๆ
นักศึกษาชายคนหนึ่งที่กำลังยืนเก๊กท่าอยู่กับรถของเทียนหลางก็ได้เอ่ยกับเพื่อนเขาอย่างภูมิใจว่า
“นี่ รถคันเนี้ยอะนะ ราคาของมันมากกว่าสิบล้านอีกนะจะบอกให้”
เมื่อเพื่อนของเขาได้ยืนก็ถึงกับร้องโหออกมาพร้อมกันก่อนจะเข้ามาถาม
“นี่แสดงว่าแกเป็นพวกนายน้อยรุ่นที่สองจริงๆนะสิ กวนหมิง”
“แน่นอนสิเพื่อน !”
นักศึกษาที่ชื่อกวนหมิงพูดออกมาอย่างมั่นใจ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับนักศึกษาหญิงที่กำลังยืนเล่นโทรศัพอยู่ข้างๆว่า
“เป็นยังไงล่ะลี่เฟย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเป็นนายน้อยรุ่นที่สองจริงๆ ทีนี้เธอจะเชื่อฉันได้หรือยัง ?”
ลี่เฟยที่ได้ยินแบบนั้นก็หันมองไปยังกวนหมิงเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นายจะเป็นรุ่นสองหรือรุ่นสามแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันกันล่ะห๊ะ กวนหมิง ?”
กวนหมิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับลี่เฟยว่า
“มันก็แสดงว่าฉันจะสามารถดูแลเธอได้ยังไงล่ะ ลี่เฟย เธอเองก็รู้ว่าฉันนั้นชอบเธอมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ทำไมเธอถึงไม่ตอบรับรักฉันสักทีล่ะ”
ลี่เฟยที่กำลังเล่นโทรศัพอยู่นั้นเมื่อได้ยินคำพูดของกวนหมิงเธอก็มองไปที่เขาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า
“นี่กวนหมิง ฉันไม่ได้สนว่านายจะเป็นพวกนายน้อยรุ่นที่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ถ้านายชอบฉันจริงๆนายก็ควรจะแสดงตัวตนจริงๆของนายออกมาซี้ ไม่ใช่จะมาโอ้อวดอะไรแบบนี้มันไม่ได้ทำให้นายดูเท่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย”
ลี่เฟยพูดแทงใจดำของกวนหมิงอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะดึงแขนเพื่อนสาวของเธอออกมา และเดินหนีกลุ่มของ
กวนหมิงไปทันที
ระหว่างทางลี่เฟยและเพื่อนก็ได้เดินผ่านเทียนหลางที่กำลังนั่งอยู่ตรงม้านั่งใกล้ๆ เธอมองมาที่เทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะเลิกสนใจ
เทียนหลางลุกขึ้นก่อนจะส่ายหัวเบาๆ ความรักของหญิงสาวสมัยนี้ช่างเป็นอะไรที่วุ่นวายเกินกว่าเขาจะเข้าใจ เขาเดินตรงมายังกลุ่มของกวนหมิงที่กำลังคุยกันอยู่
เมื่อกวนหมิงเห็นเทียนหลางเดินตรงหน้าก็มองเขาด้วยความสงสัย แต่เนื่องจากเมื่อครู่เขาพึ่งจะโดยสาวสลัดรักไปทำให้เขาอารมณ์เสียเป็นอย่างมากจึงตะโกนใส่เทียนหลางไปว่า
“นายมีปัญหาอะไร !!”
ลี่เฟยที่กำลังเดินอยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของกวนหมิงก็หันกลับมาทันทีก่อนจะขมวดคิ้วและจ้องมองการกระทำของเทียนหลาง
เทียนหลางเดินตรงมายังกลุ่มของกวนหมิงก่อนจะพูดขึ้นเบาๆว่า
“ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เพียงแต่พวกนายกำลังยืนเกะกะรถฉันอยู่”
กวนหมิงและพวกเมื่อได้ยินแบบนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาก่อนที่กวนหมิงจะท้วงว่า
“นี่แกพูดอะไร นี่มันรถของฉันนะเว้ย !”
เทียนหลางถอนหายใจก่อนจะหยิบกุญแจรถออกมาและกดไปที่กุญแจเพื่อเปิดประตู
ปิ๊บๆ
เสียงสัญญาณดังขึ้นก่อนที่เทียนหลางจะเดินไปที่ประตูรถและเข้าไปนั่งด้านใน ทางด้านพวกของกวนหมิงก็ถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เทียนหลางเลื่อนกระจกลงมาก่อนจะเอ่ยกับพวกเขาว่า
“พวกนายถอยไปไหนมันขวางทาง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นพวกกวนหมิงก็ถึงกับถอยห่างออกจากรถของเทียนหลางทันที ก่อนที่เทียนหลางจะถอยรถและขับออกจากมหาลัยไป