ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น – บทที่ 1964 เหยียนซินหย่าเดือด + ตอนที่ 1965 นายต้องเรียกคุณน้า

บทที่ 1964 เหยียนซินหย่าเดือด + ตอนที่ 1965 นายต้องเรียกคุณน้า

ตอนที่ 1964 เหยียนซินหย่าเดือด

เรื่องเหตุผลใครต่างก็เข้าใจดีเพียงแต่พอเกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก จ้าวอิงหัวในตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะนั้น พอนึกถึงลูกสาวสุดที่รักให้คนลามกอย่างเหยียนหมิงซุ่นทั้งจูบทั้งร่วมหลับนอนด้วย อีกทั้งต่อจากนี้ไปจะไม่ใช่ลูกสาวของเขาเพียงคนเดียวอีกแล้ว…

จ้าวอิงหัวก็เหมือนโดนมีดแทงที่หัวใจทำเขาเจ็บจนอยากร้องไห้!

ทำไมผู้หญิงโตไปจะต้องแต่งงานด้วย?

ใช่ว่าเขาจะเลี้ยงลูกสาวไม่ไหวสักหน่อย ต่อให้เลี้ยงทั้งชีวิตก็ไม่มีปัญหา!

“ผมอายุก็ไม่น้อยแล้วก็กลัวเหงาเหมือนกัน ทำไมพวกเขาไม่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนผมบ้างล่ะ?” จ้าวอิงหัวเถียงคอเป็นเอ็นซึ่งล้วนแต่เป็นความในใจของเขาทั้งสิ้น เขาไปสัมมนางานต่างแดนตลอดทั้งปีเลยได้เจอลูกสาวตัวเองนับครั้งได้ เขาจึงตั้งตารอคอยจะได้ทานมื้อค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาไงล่ะ!

จ้าวเสวียหลินก็เข้ามาเสริมทัพด้วย “ผมไม่ได้เจอเหมยเหมยตั้งเกือบปีแล้ว ผมคิดถึงมากเลย”

“ไสหัวไปนู้นเลย!”

เหยียนซินหย่าคว้าหมอนข้างบนโซฟาทุ่มใส่ลูกชาย พอเห็นหมอนี่ทีไรก็โมโหทุกที เธอคุยกับเจ้าลูกคนนี้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไปฝึกที่ค่ายทหารสักสองสามปีก็เปลี่ยนไปทำงานราชการได้แล้ว หรือจะเปลี่ยนสายงานอื่นก็ได้ อย่าบอกว่าเธอไม่รักชาติเลย เธอเป็นคุณแม่ที่เห็นแก่ตัว ลูกชายลูกสาวมีความสำคัญเท่ากับชีวิตของเธอทั้งคู่

อีกอย่างเธอคิดว่าการทำงานสายอื่นก็สามารถแสดงความจงรักภักดีต่อชาติได้เช่นกัน อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์นักวิจัยต่าง ๆ ลูกชายของเธอเรียนดีจึงทำพวกเรื่องวิจัยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าหมอนี่ก็นะ ต่อหน้ารับปากดิบดีพอลับหลังเธอกลับไปสมัครทีมเซวี่ยอิงจนเพิ่งมาบอกเธอตอนจัดการเสร็จหมดแล้ว ทำเอาเธอโมโหแทบตาย

“ถ้าลูกเชื่อฟังแม่กลับมาทำงานที่ศูนย์วิจัยเมืองหลวง ลูกก็ได้เจอน้องสาวลูกทุกวันแล้ว ตอนนี้เป็นไงล่ะปีหนึ่งยังไม่ได้กลับมาสักหนเลย แม่จะรอดูว่าลูกจะไปหาภรรยาจากไหน? อยู่โสดไปตลอดชีวิตเถอะ!”

เหยียนซินหย่ายิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ทีมเซวี่ยอิงมีแต่วีรบุรุษดี ๆทั้งนั้นแต่หากเธอมีลูกสาวจะไม่มีวันยกให้อย่างแน่นอน ภรรยาของวีรบุรุษลำบากเกินไป คนเป็นแม่ที่ไหนจะยอมให้ลูกสาวลำบากกัน?

เธอพอจะจินตนาการสถานการณ์ที่จ้าวเสวียหลินหาภรรยาไม่ได้ในอนาคตได้แล้ว!

เหยียนซินหย่าถลึงตาใส่จ้าวเสวียหลินที่ยู่คอทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมก่อนจะยกเท้าเตะจ้าวอิงหัวข้าง ๆอีกทีพร้อมด่า “คุณกับลูกชายคุณร่วมมือกันหลอกฉันสินะ? แล้วยังบอกว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้ด้วย สองพ่อลูกก็เลวกันทั้งคู่นั่นแหละ!”

จ้าวอิงหัวที่โดนด่าหน้าตาเฉยลูบน่องด้วยท่าทางน่าสงสารพลางเอ่ยเตือน “ที่รัก ตอนนี้เรากำลังคุยกันเรื่องลูกสาวกลับบ้าน เรื่องลูกชายไว้เราค่อยคุยกันทีหลังได้ไหม?”

ที่รัก คุณอย่านอกเรื่องได้ไหม?

จ้าวอิงหัวกลับไม่รู้ว่าผู้หญิงเป็นเพศที่นอกเรื่องเก่งที่สุดมาตั้งแต่เกิด จะทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน จะทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ!

“ตอนนี้ฉันอยากคุยเรื่องลูกชายนี่แหละ…” เหยียนซินหย่าคว้าหมอนอิงโยนใส่จ้าวอิงหัวอย่างคุกรุ่น หากหมอนี่ลงเรือลำเดียวกับเธอตั้งแต่แรกเพื่อคัดค้านไม่ให้ลูกชายเข้าทีมเซวี่ยอิง ตอนนี้เธอคงไม่ต้องมานั่งพะวงอยู่ทุกวันหรอก

จ้าวอิงหัวลูบจมูกปอย ๆอย่างจนใจแล้วตัดสินใจหุบปาก เวลาท่านภรรยาฉุนเฉียววิธีรับมือที่ดีที่สุดก็คือการเงียบ อย่าคิดจะใช้เหตุผลกับเพศหญิงเชียว

เพราะไม่มีทางคุยกันรู้เรื่องแน่นอน!

มีอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลก็คือการมอบจูบเฟรนซ์คิสแบบฝรั่งเศสเพื่อให้ท่านภรรยาไม่มีกะจิตกะใจด่าใครอีก แต่ตอนนี้เจ้าลูกชายน่ารำคาญอยู่บ้าน เขาก็ไม่ได้หน้าด้านพอจึงกระดากใจอยู่บ้าง!

“วันอากาศหนาว ๆ แบบนี้คุณใส่เสื้อแค่นี้คิดจะออกไปทำอะไร? คุณคิดว่าตัวเองเป็นหนุ่มอายุยี่สิบกว่าเหรอ? เดี๋ยวเป็นหวัดขึ้นมากว่าจะหายก็เสียเวลาอีกค่อนเดือน ไอจนฉันรำคาญ นั่งดูทีวีอยู่ตรงนี้ ใครก็ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น!”

เหยียนซินหย่าบิดหูลากจ้าวอิงหัวที่คิดจะออกจากบ้านกลับเข้ามา ยามสิงโตตัวเมียโมโหใครก็ไม่กล้าปริปาก ทำได้แต่นั่งอยู่บนโซฟาแต่โดยดี

บรรยากาศเงียบเหลือเพียงเสียงจากโทรทัศน์ เหยียนซินหย่าพึงพอใจอย่างมาก มันต้องให้ด่าแบบนี้สินะ!

…………………….

ตอนที่ 1965 นายต้องเรียกคุณน้า

มีเสียงกุกกักดังขึ้นจากหน้าประตูเรียกให้จ้าวเสวียหลินหูกระดิกร้องขึ้นอย่างดีใจแล้วพุ่งตัวออกไปเปิดประตูก่อนที่ตัวขนนุ่มปุกปุยตัวหนึ่งจะปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ซึ่งเป็นเหมยเหมยที่กำลังสวมหมวกขนสีขาวนั่นเอง

“สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่ชาย!”

เหมยเหมยตะโกนอย่างมีความสุขแล้วกระโจนใส่จ้าวเสวียหลินเหมือนตอนสมัยเด็ก ๆ เกาะหนึบเป็นปลาหมึก เหยียนหมิงซุ่นตาเข้มขึ้นเล็กน้อยพยายามหักห้ามใจที่ต้องการจะเข้าไปกระชากภรรยาตัวเองเอาไว้ด้วยการสูดหายใจติดต่อกันหลายครั้ง สีหน้าเรียบนิ่งแต่สายตากลับทรยศเขา

จ้าวเสวียหลินโอบกอดน้องสาวตัวเองแนบแน่นด้วยใบหน้ายิ้มร่า “สวัสดีปีใหม่ ทำไมเธอไม่หนักขึ้นเลยสักนิด ไม่ได้ทานข้าวดี ๆเลยใช่ไหม?”

ประโยคนั้นเอ่ยต่อเหมยเหมยแต่สายตากลับมองไปยังเหยียนหมิงซุ่นด้วยความไม่เป็นมิตร

“พี่หมิงซุ่นทำกับข้าวอร่อย ๆให้หนูทานทุกวัน เดือนที่แล้วหนูอ้วนตั้งห้าสิบโลเลยนะกว่าจะลดลงมาได้ ตอนนี้กำลังดีเลย” เหมยเหมยผละออกแล้วยิ้มตาหยีกล่าว ไม่รู้สึกถึงสายตาที่ปะทะฟาดฟันระหว่างผู้ชายสองคนตรงหน้าสักนิด

“ลดอะไรกัน ผู้หญิงต้องอวบอ้วนหน่อยสิถึงจะสวย เหยียนหมิงซุ่นนายว่างั้นไหม?” จ้าวเสวียหลินคิดถึงแก้มกลมสมัยเด็ก ๆของเหมยเหมยเหลือเกิน เวลาหยิกแล้วรู้สึกดีมาก

แต่ตอนนี้ไม่มีแก้มอีกแล้วจนเขาทำใจหยิกแก้มที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกนั่นไม่ได้

ประโยคนี้ถูกใจเหยียนหมิงซุ่นมาก เขาจึงพูดเชิงเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ “ใช่ เหมยเหมยต้องทานให้เยอะ ๆหน่อย ห้าสิบโลกำลังดีเลย”

เหมยเหมยมองค้อนใส่พวกเขาแวบหนึ่งก่อนจะเข้าบ้านไปอย่างคร้านจะต่อปากต่อคำกับพวกเขาอีก

“พ่อคะ แม่คะ สวัสดีปีใหม่ ขออั่งเปาหน่อย!”

เหมยเหมยแบมือขออั่งเปาด้วยใบหน้ายิ้มซุกซน

จ้าวอิงหัวมีความสุขจนยิ้มแก้มแทบปริพลางยื่นมือล้วงอั่งเปาที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้า ขณะที่ปากก็บ่นอุบไปด้วย “มื้อส่งท้ายปีเก่ายังไม่กลับมาทานด้วยกันเลย แล้วยังมีหน้ามาขออั่งเปากับพ่ออีก เหอะ!”

ปากก็ว่าไปอย่างนั้นแต่ไม่ได้ลดความเร็วในการให้อั่งเปาเลยสักนิด ซองแดงนูนที่ดูก็รู้ว่าใส่ซองไม่น้อย เหมยเหมยรับไว้อย่างดีใจแล้วพูดเสียงออดอ้อน “หนูก็กลับมาแล้วนี่ไงคะ พ่อ เดี๋ยวหนูต้มเกี๊ยวให้นะ คุณย่าพี่หมิงซุ่นห่อเกี๊ยวให้เยอะเลย ไส้เนื้อผักจี้ไฉ่หมดเลยด้วยนะ พ่อ ของโปรดพ่อเลยใช่ไหมล่ะ!”

เหยียนซินหย่าสังเกตเห็นถุงขนาดใหญ่สองถุงในมือเหยียนหมิงซุ่น พอเปิดออกมาก็พบว่าเป็นกับข้าวมากมายเลยอดตำหนิไม่ได้ “ทำไมพวกเธอเอากับข้าวกลับมาเยอะแยะขนาดนี้ คุณย่าเกรงใจกันเกินไปแล้ว เหมยเหมย คราวหลังจะให้คุณย่าลำบากแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ รู้ไหม?”

เหมยเหมยแอบแลบลิ้นน้อย ๆ “คุณย่าบอกว่าแม่ทำงานหนักไม่มีเวลาทำกับข้าวเลยเตรียมมาให้เยอะขนาดนี้ค่ะ”

เหยียนหมิงซุ่นเองก็ยิ้มกล่าว “คุณย่าผมสุขภาพแข็งแรงดี ไม่ให้ท่านทำงานท่านจะไม่พอใจได้ครับ แม่อย่าว่าเหมยเหมยเลย เธอไม่รู้อะไรด้วย”

พอเหยียนซินหย่าได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มร่าในใจ พ่อแม่ของเหยียนหมิงซุ่นไม่ใช่คนดีทั้งคู่ ตอนแรกเธอยังเป็นห่วงกลัวลูกสาวแต่งเข้าบ้านนั้นแล้วจะถูกรังแกข่มเหง ตอนนี้กลับไม่รู้สึกห่วงสักนิดเดียว สองสามีภรรยาคู่นั้นไม่ได้อยู่เมืองหลวง อีกทั้งคนเฒ่าคนแก่ตระกูลเหยียนยังรู้จักแยกแยะมีเหตุผลคงไม่ปล่อยให้เหมยเหมยโดนรังแกแหง

จ้าวเสวียหลินสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วแคะหูด้วยความสงสัย “เหยียนหมิงซุ่นนายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า นายเรียกแม่ได้ไงต้องเรียกว่าคุณน้าสิ!”

น้องสาวโดนเจ้าหมอนี่แย่งไปแล้ว หรือว่าเขาจะเสียแม่ไปด้วยอีกคนกันนะ?

เหยียนหมิงซุ่นช่วยเหยียนซินหย่าเก็บของใส่ตู้เย็น ไม่ต้องรอให้เขาตอบโต้คุณแม่ยายก็เอ่ยปากก่อน “ก็ต้องเรียกแม่สิ เรียกคุณน้าอะไรกัน? ไปเป็นทหารแล้วโง่ลงเหรอ?”

จ้าวเสวียหลินกล้ำกลืนความโกรธไว้แล้วหดตัวกลับไปนั่งที่โซฟาเช่นเดิม ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ หรือว่าช่วงที่เขาไม่ได้กลับบ้านจะเกิดเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้ขึ้นนะ?

…………………….

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

จุดจบที่ความตาย กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นบันดาลให้เธอได้ย้อนกลับไปในปี 1985

เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างตัวเองวัย 12 ปี!

เมื่อได้รับชีวิตที่เหมือนได้เกิดใหม่คราวนี้ เธอจึงตัดสินใจลิขิตชะตาด้วยสองเป้าหมาย…

หนึ่ง… มีชีวิตอย่างอิสรเสรี ไม่สนใจสายตาใคร และไม่รับความรักอันน้อยนิดที่ญาติมิตรมีให้

สอง… แก้แค้น สิ่งที่พี่สาวกับอดีตคนรักติดค้างไว้ เธอจะต้องเอาคืนให้หมดในชาตินี้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท