ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น – บทที่ 2415 คนที่ไม่มีลายนิ้วมือ + ตอนที่ 2416 สองคนที่ไม่ได้เรื่อง

บทที่ 2415 คนที่ไม่มีลายนิ้วมือ + ตอนที่ 2416 สองคนที่ไม่ได้เรื่อง

ตอนที่ 2415 คนที่ไม่มีลายนิ้วมือ

เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วแน่น เรื่องแบบนี้เขาพอจะรู้มาบ้าง เรียกได้ว่าฮวาเซี่ยเป็นดินแดนไร้มลทินเพียงแห่งเดียวในโลกเพราะมีระบบที่เข้มงวดและห้ามพกพาปืนโดยเด็ดขาด เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายได้มากพอสมควรแล้ว

แต่ประเทศอื่นไม่ได้สวยงามขนาดนี้

เรื่องที่สีอันน่าเล่าเขาเคยได้ยินมาแล้วทั้งนั้น เช่น เกมเข่นฆ่ากันที่โด่งดังเป็นพิเศษในประเทศ R ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเกมที่โด่งดังที่สุดด้วย

คนรวยจากทั่วโลกที่ว่างไม่มีอะไรทำจนรู้สึกเบื่อ ในเมื่อสาวงามหรือการพนันล้วนผ่านมาหมดแล้ว พวกเขาจึงต้องการแสวงหาเกมที่กระตุ้นอารมณ์มากกว่านี้ บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสนุกเท่ากับการล่าเหยื่อแบบนี้แล้ว

ดังนั้นจึงมีคนคิดค้นเกมฆ่ามนุษย์ขึ้นมา

เป้าหมายของการล่าถูกแทนที่ด้วยมนุษย์ ส่วนใหญ่เป็นคนจนที่หมดหวัง หากรอดไปได้ก็จะได้รับเงินก้อนโต แต่เมื่อชายมือเปล่าต้องเผชิญกับกลุ่มคนรวยที่ทั้งชั่วร้ายและมีอาวุธ อัตราการอยู่รอดจึงเป็นศูนย์เท่านั้น

เกมนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในแวดวงผู้มั่งคั่งในกลุ่มยุโรปและอเมริกา เพราะพวกเขาสามารถฆ่าคนเพื่อความสนุกสนานโดยไม่ต้องรับผิดทางกฎหมายใด ๆ

“ตอนนี้สวีหล่างอยู่ที่ไหน?” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยถาม

เขาจำเป็นต้องจัดการเนื้อร้ายนี้ออกไปให้ได้ ในถิ่นของเขาจะมีคนเลวแบบนี้อยู่ไม่ได้เด็ดขาด

“ฉันไม่รู้ เขาเป็นคนระวังตัวมาก ไม่เคยมีใครรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน ฉันไม่เจอเขามาครึ่งเดือนแล้ว” สีอันน่าส่ายศีรษะ เธอคิดอยู่สักพักแล้วก็ตะโกนขึ้นว่า “แต่เขาจะต้องยังอยู่ที่เมืองหลวงแน่ ๆ สวีหล่างไม่ค่อยออกนอกประเทศ เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินเขาบอกว่า เขาเกลียดการออกนอกประเทศมากที่สุดเพราะว่าลายนิ้วมือของเขาไม่ชัด ฉะนั้นการบันทึกลายนิ้วมือจึงเป็นเรื่องยุ่งยากเขาจึงรำคาญมาก”

“ลายนิ้วมือจะไม่ชัดได้อย่างไรกัน หรือว่ามือของเขาเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนงั้นเหรอ?” เหมยเหมยถามขึ้น

“ไม่ใช่หรอก เมื่อก่อนฉันก็เคยถามเขาแต่สวีหล่างดูท่าจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ แค่ครู่เดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วฉันเลยไม่กล้าถามเขาอีก” ตอนนี้สีอันน่านึกขึ้นมาก็ยังรู้สึกผวาอยู่เลย

สวีหล่างดูเป็นคนเคร่งขรึมปกติน้อยครั้งนักที่เขาจะโมโห เขาเคยโกรธแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวตอนที่เธอถามเรื่องลายนิ้วมือของสวีหล่างจนเธอตกใจไม่น้อย

“ไม่เคยได้รับบาดเจ็บ แต่ลายนิ้วมือกลับไม่ชัด น่าแปลกจริง ๆ…หรือจะเป็นมาแต่กำเนิด?” เหมยเหมยพึมพำกับตัวเอง

เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเย็นชา “ไม่มีทางที่จะเป็นมาแต่กำเนิด”

เขาพอจะเดาความจริงได้บ้างแต่ต้องการหลักฐานมากกว่านี้

“สวีหล่างเป็นชื่อจริง?”

“ฉันไม่รู้ ฉันไม่เคยเห็นบัตรประชาชนของเขา เขาเป็นคนบอกฉันว่าเขาชื่อสวีหล่าง” สีอันน่าตอบ

“เขาว่ายน้ำเก่งมากใช่ไหม?” เหยียนหมิงซุ่นถามอีกครั้ง

“ใช่ สวีหล่างว่ายน้ำเก่งมากเหมือนปลาเลย ฉันยังไม่เคยเจอใครว่ายน้ำได้เร็วกว่าเขาแล้ว”

เหยียนหมิงซุ่นพอจะคาดเดาคร่าว ๆได้ในใจ จากนั้นเขาก็ให้ลูกน้องพาสีอันน่าออกไป

“พี่รู้ได้อย่างไรว่าสวีหล่างว่ายน้ำเก่งมาก?” เหมยเหมยถามด้วยความสงสัย คนที่ลายนิ้วมือไม่ชัดจะต้องว่ายน้ำเก่งทุกคนเหรอ?

เหยียนหมิงซุ่นยิ้มแล้วอธิบายว่า “ทุกคนเกิดมาต้องมีลายนิ้วมือกันทั้งนั้น หากสวีหล่างไม่เคยได้รับบาดเจ็บ ถ้าเช่นนั้นการที่ลายนิ้วมือของเขาไม่ชัดก็เป็นไปได้มากว่าเกิดจากการแช่น้ำนาน พี่เองก็เพิ่งรู้โดยบังเอิญนี่แหละว่านักกีฬาว่ายน้ำจะมีลายนิ้วมือไม่ชัดเท่าไรนัก ถ้าพี่เดาไม่ผิดสวีหล่างน่าจะเป็นนามแฝง และเมื่อก่อนเขาน่าจะเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำมาก่อน”

แล้วเขายังรู้สึกด้วยว่า เมื่อก่อนสวีหล่างน่าจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่มีชื่อเสียงมากหรือแม้กระทั่งเคยได้รับรางวัลด้วยซ้ำ

เหยียนหมิงซุ่นนำภาพเหมือนสวีหล่างที่วาดโดยสีอันน่าให้กับลูกน้อง แล้วสั่งให้พวกเขาไปสืบหาประวัติของสวีหล่างโดยเน้นนักกีฬาว่ายน้ำที่ออกจากทีมประจำจังหวัดหรือทีมชาติไปแล้ว

เพียงแต่ว่านักกีฬาว่ายน้ำที่ออกจากวงการไปแล้วในประเทศมีเยอะมาก ดังนั้นคงใช้เวลาไม่น้อยในการหาข้อมูล

วันที่สองที่เล่อเล่อกลับมาเหมยเหมยคิดจะพาเจ้าตัวน้อยไปนอนอาบแดดที่ลานกว้าง แต่เธอก็ไม่กล้าพาเล่อเล่อออกจากบ้าน ในเมื่อยังจับตัวสวีหล่างไม่ได้ เธออยู่ในบ้านน่าจะสบายใจกว่า

เพียงแต่มีใครบางคนที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลามาก่อความรำคาญถึงบ้าน

……………………………………….

ตอนที่ 2416 สองคนที่ไม่ได้เรื่อง

แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็คือป้าสะใภ้ใหญ่โม่และพี่สะใภ้ของเธอซึ่งก็คือแม่ของหวงจื้อกวงนั่นเอง ส่วนคุณลุงใหญ่โม่ไม่ได้มาด้วย

ไม่ว่าจะเป็นป้าสะใภ้ใหญ่โม่หรือแม่ของหวงจื้อกวงต่างก็ทำให้เธอไม่สบายใจทั้งนั้น

แต่เห็นแก่คุณลุงใหญ่โม เหมยเหมยจึงยิ้มต้อนรับเชิญพวกเธอเข้ามาในบ้าน

“ทำไมลุงใหญ่โม่ถึงไม่มาด้วยละคะ?” เหมยเหมยถามด้วยรอยยิ้มแล้วให้ป้าฟางไปชงชามาให้

ป้าสะใภ้ใหญ่โม่แสดงสีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แววตาหลุกหลิก “เขายุ่ง ๆน่ะ ฮ่า ๆ…”

“ใช่ ๆ ยุ่ง ๆอยู่เลยจ้ะ…” แม่ของหวงจื้อกวงรีบเสริมตามทันที สีหน้าก็ดูผิดปกติเช่นกัน

เหมยเหมยมุ่นคิ้วเล็กน้อย ดูท่าคุณลุงใหญ่โม่จะไม่รู้ถึงการมาของสองคนนี้!

เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนักเพราะผู้หญิงไม่ได้เรื่องสองคนมาโผล่ถึงบ้าน จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่

เล่อเล่อถูกเสียงของป้าสองคนนี้ปลุกจนตื่น ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ เหมยเหมยจึงเข้าไปอุ้มเธอมาอยู่ในอ้อมอก มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยไว้ เจ้าตัวน้อยเบิกตาโตจ้องไปที่หญิงสูงวัยสองคนตรงหน้า

ทำไมถึงหน้าตาไม่เหมือนแม่ของเธอเลยล่ะ?

ไม่เหมือนคุณยายด้วย น่าเกลียดมาก!

เล่อเล่อที่ตั้งเรื่องหน้าตาไว้ในเกณฑ์สูง เพียงแวบด้วยก็หมดความสนใจในตัวสองคนนี้แล้วดูดมืออ้วน ๆอย่างเบื่อหน่าย วัยทารกไม่มีอะไรสนุกเลย!

ป้าสะใภ้ใหญ่โม่และพี่สะใภ้เพิ่งเห็นเล่อเล่อเป็นครั้งแรกจึงตกใจกับความอวบอ้วนของเจ้าตัวน้อยมาก

พระเจ้า ไหนบอกว่าอายุยังไม่ครบร้อยวันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้ดูแข็งแรงกว่าเด็กอายุหกเดือนอีกนะ

พอมองเนื้ออวบอ้วนตรงขา หน้าท้องและแขนที่ย้อยจนจะถึงพื้น…เหอะ…คนมีเงินกินดีอยู่ดีเกินไปก็เป็นแบบนี้แหละ เจ้าเด็กน้อยตัวใหญ่บึกบึนขนาดนี้ วันหลังโตขึ้นจะขายออกไหมนะ?

“สุขภาพของหวงจื้อกวงเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ป้าสองคนนี้เข้ามาก็เอาแต่ยิ้มแหย ๆแล้วก็ไม่บอกสักทีว่ามาทำไม เหมยเหมยทนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน

“แผลเริ่มสมานกันแล้ว หมอบอกว่าอีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” ป้าสะใภ้ใหญ่โม่พูดไปยิ้มไป

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ กลับไปก็ให้พี่ซิวหย่วนจัดงานเบา ๆให้ ค่อย ๆฟื้นฟูร่างกายไป”

เหมยเหมยคาดว่าเหตุที่พวกเขามาเยือนที่นี่น่าจะเป็นเพราะเรื่องงานของหวงจื้อกวง ในเมื่อไตหายไปข้างหนึ่งก็คงทำงานหนัก ๆไม่ได้อีก เมื่อก่อนหวงจื้อกวงเป็นหัวหน้าฝ่ายผลิต ถึงแม้งานจะไม่ได้หนักมากแต่ก็ไม่ได้เบา เห็นแก่ที่เป็นญาติกันเลยพอช่วยดูแลกันได้

“คราวที่แล้วซิวหย่วนก็พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน บอกให้จื้อกวงไปดูแลโกดัง” ป้าสะใภ้ใหญ่โม่พูดขึ้น

เหมยเหมยเลิกคิ้ว โม่ซิวหย่วนคิดเหมือนเธอ แม้ว่างานโกดังจะดูจุกจิกแต่ไม่ใช่งานหนักอะไร หวงจื้อกวงทำได้อย่างแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้นก็โอเคเลย มีพี่ซิวหย่วนคอยดูแลไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” เหมยเหมยพูดอย่างสุภาพ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ บรรยากาศจึงเริ่มอึดอัดขึ้นมา

โชคดีที่ได้ป้าฟางยกน้ำชามาให้จึงทำให้บรรยากาศเริ่มดีขึ้นมาหน่อย

“ใบชาพวกนี้เป็นของที่คุณยายส่งมาให้ทั้งนั้น บอกว่าเป็นใบชาก่อนช่วงเทศกาลเชงเม้งที่พวกเขาพาป้าสะใภ้ทั้งสามคนไปเก็บด้วยตัวเอง กลิ่นหอมสดชื่นมากเลยค่ะ” เหมยเหมยไม่ได้ดื่ม เธอต้องให้นม ดังนั้นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดจึงเป็นน้ำเปล่า

ป้าสะใภ้ใหญ่โม่ยิ้มอย่างสุภาพ แล้วเอาสองมือถือประคองถ้วยชาขึ้นมาจิบ เธอรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน

จริง ๆแล้ววันนี้เธอไม่ได้อยากมาด้วยเลย แต่เธอทนคำรบเร้าของพี่สะใภ้ไม่ไหวจึงต้องมาที่นี่อย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าถ้าเหมยเหมยได้ฟังความคิดของพี่สะใภ้แล้วจะโกรธหรือเปล่า?

เพราะแม้แต่ตัวเธอเองยังคิดว่ามันไร้สาระมากเกินไปเลย!

แต่สิ่งที่พี่สะใภ้พูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หลานชายไม่มีไตแล้ว อีกทั้งไตเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ชาย เมื่อหายไปข้างหนึ่งก็เท่ากับชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้จื้อกวงเป็นแบบนี้แล้วต่อให้มีเงินก็ยากที่จะหาภรรยาได้!

ใครจะยอมให้หญิงสาวดี ๆมาอยู่กับคนแบบนี้กันเล่า!

ถ้าเป็นเธอก็คงไม่ยอมเช่นกัน!

……………………………

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

จุดจบที่ความตาย กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นบันดาลให้เธอได้ย้อนกลับไปในปี 1985

เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างตัวเองวัย 12 ปี!

เมื่อได้รับชีวิตที่เหมือนได้เกิดใหม่คราวนี้ เธอจึงตัดสินใจลิขิตชะตาด้วยสองเป้าหมาย…

หนึ่ง… มีชีวิตอย่างอิสรเสรี ไม่สนใจสายตาใคร และไม่รับความรักอันน้อยนิดที่ญาติมิตรมีให้

สอง… แก้แค้น สิ่งที่พี่สาวกับอดีตคนรักติดค้างไว้ เธอจะต้องเอาคืนให้หมดในชาตินี้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท