การปรากฏของเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน
คนกลุ่มแรกที่จางเซวียนเห็นคือหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉิน ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียด
ฝั่งตรงข้ามคือชายหนุ่ม 4 คนที่แผ่รังสีที่ประกอบด้วยเจตนาสังหารโหดเหี้ยมออกมา แม้จะยังไม่ได้เคลื่อนไหว รังสีของพวกเขาก็อบอวลไปทั่วทั้งห้อง ราวกับจะประกาศศักดาให้อีกฝ่ายรับรู้
พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นทั้ง 4 ตัวที่กลุ่มของจางเซวียนติดตามมา
เมื่ออยู่ในระยะใกล้ ในที่สุดจางเซวียนก็ได้เห็นรูปลักษณ์ชัดๆของอีกฝ่าย พวกมันสวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกทรงสูง และมีหนวดเคราขึ้นครึ้มที่ปลายคาง
“เจ้าพวกนี้คือตัวการที่ลักพาตัวจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และหยวนเทา…” จางเซวียนหรี่ตาอย่างดุร้ายขณะค่อยๆเลื่อนมือไปที่เอวของเขา เตรียมพร้อมจะเปิดการโจมตี
“ผู้เข้าท้าทายคนสุดท้ายผ่านการทดสอบแล้ว”
ในตอนนั้นเอง เสียงเรียบเฉยก็ดังขึ้นกลางอากาศ แหวกทะลุความตึงเครียดอันหนักอึ้งนั้น รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับฝูงชน
“ในเมื่อพวกคุณผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวทิ้งไว้ที่นี่”
ฟึ่บ!
ทันทีที่สิ้นสุดคำพูดนั้น ลำแสงเจิดจ้าก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องขณะที่แผ่นหินแผ่นหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ ที่ใจกลางแผ่นหินนั้นมีเครื่องรางชิ้นหนึ่งซึ่งมีขนาดราวฝ่ามือ
มีตัวอักษรโบราณจารึกไว้บนเครื่องราง แม้มันจะดูเหมือนไม่มีอำนาจพิเศษใดๆ แต่หากใครพยายามจะใช้สติสัมปชัญญะเข้าเพ่งดูภายในเครื่องราง ก็จะรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงหัวใจ
นั่นคือเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานหรือเปล่า? จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว ขณะรีบหันไปมองหลัวลั่วชิง
เครื่องรางลำดับแรกคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขามาที่นี่ ในเมื่อมันปรากฏแล้ว ก็ดูเหมือนว่าคงจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องรักษาเครื่องรางไว้ ยังต้องจับตัวเจ้า 4 คนนั่นและบังคับให้มันเปิดเผยที่อยู่ของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆด้วย
“ในที่สุดมันก็ปรากฏ!”
ชายหนุ่มทั้ง 4 ระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวเมื่อได้เห็นเครื่องรางลำดับแรก นัยน์ตาของพวกมันเป็นประกายลุกโชน
จางเซวียนไม่ใส่ใจพวกนั้น เขามองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆและตั้งคำถาม “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ในเมื่อตัวเขาต้องเผชิญกับอันตรายมากมายในการทดสอบ ก็เป็นไปได้ว่าหลัวลั่วชิงคงจะพบปัญหาอยู่ไม่น้อย
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เป็นอะไร” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าขณะชำเลืองมองเข็มขัดที่อยู่รอบเอวของจางเซวียน “ดูเหมือนคุณจะได้อะไรมากโขอยู่นะจากการทดสอบครั้งนี้!”
นึกไม่ถึงว่าเธอจะสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วขนาดนั้น จางเซวียนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน “ฮ่าฮ่า ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ!”
จริงๆเลยนะ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสักอย่างที่เขาทำแล้วจะหลุดรอดจากสายตาของเธอไปได้!
“หอกสวรรค์กระดูกมังกรนั้นทรงพลังมาก ด้วยระดับความแข็งแกร่งของคุณในตอนนี้ คุณไม่อาจดึงพละกำลังของมันออกมาได้แม้แต่หนึ่งในร้อยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น เพียงเท่านั้นก็เกินพอแล้ว” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับยิ้มให้
“อือ” จางเซวียนพยักหน้า
เขากำลังจะพูดต่อ ก็พอดีกับที่เสียงของรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นดังขึ้นอีกครั้ง
“ผมรู้ว่าพวกคุณทั้งสองฝ่ายปรารถนาเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ควรตัดสินโดยใช้พละกำลัง ใช้ทุกวิถีทางที่คุณมีอยู่เท่าที่จะทำได้ ใครก็ตามที่เป็นผู้ชนะจะได้เป็นเจ้าของคนใหม่ของเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานชิ้นนี้!” รูปปั้นเด็กชายหัวเราะเบาๆขณะจับจ้องทั้งสองกลุ่ม
“ในเมื่อผู้อาวุโสพูดแบบนี้ พวกเราก็จะไม่รั้งรอละนะ”
ชายหนุ่มหน้าตาฉลาดเฉลียวซึ่งเป็นหนึ่งในชายทั้งสี่พุ่งเข้าใส่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานทันที ตั้งใจจะคว้ามันไปให้ได้
วิ้ง!
แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะเอื้อมถึงเครื่องราง ก็พลันกระทบกับบางอย่างที่แข็งกระด้าง ไม่ว่าจะพุ่งเข้าใส่ด้วยพละกำลังหนักหน่วงแค่ไหน ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปสัมผัสเครื่องรางได้
มันเป็นปราการที่แบ่งแยกมิติเอาไว้
“คุณอยากได้เครื่องรางหรือ? ถามผมหรือยัง?” หวู่เฉินคำรามเยาะขณะที่พุ่งเข้าใส่
ไม่เหมือนกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น เป้าหมายของหวู่เฉินไม่ใช่เครื่องราง พลังทำลายล้างในฝ่ามือของเขาพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดที่ยืนอยู่ตรงข้าม
“บังอาจ!”
เห็นหวู่เฉินจงใจโจมตีพรรคพวกคนหนึ่งของตัวเอง ชายหนุ่มที่ดูบอบบางกระโจนเข้ามาพร้อมกับคำรามก้อง พิณโบราณตัวหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา เขาสะบัดปลายนิ้วและบรรเลงพิณอย่างสง่างาม เสียงดนตรีที่มีอานุภาพกรีดแทงระเบิดออกมา
ตริ๊งงงงง!
“มันคือของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนจริงๆด้วย!” จางเซวียนหรี่ตา
พิณตัวนี้ไม่ใช่ของล้ำค่าที่ทรงพลังที่สุดของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน แต่เขาก็เป็นผู้ขัดเกลามันด้วยตัวเอง แม้แต่การดีดมันอย่างแผ่วเบาที่สุดก็สามารถเปล่งเสียงอันสง่างามออกมา ราวกับมีกองกำลังของนักรบจำนวนหลายพันพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลดละ
สำหรับของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้ได้จนถึงวันนี้ ต่อให้เป็นชิ้นที่เรียบง่ายที่สุด ก็เป็นเครื่องมือที่ไม่อาจประมาทประสิทธิภาพของมันได้
“เฮ่ย!”
เมื่อเจอเข้ากับการตอบโต้ของชายหนุ่มท่าทางบอบบาง หวู่เฉินถอนการโจมตีกลับและปล่อยพละกำลังเข้าปะทะกับบทเพลงบรรเลงปีศาจนั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คลื่นความสั่นสะเทือนก็แผ่ออกไปโดยรอบ
จากการปะทะ จางเซวียนบอกได้ว่าทั้งชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดและชายหนุ่มท่าทางบอบบางล้วนมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เทียบชั้นกับปรมาจารย์หยางได้! ทั้งสองสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
ไม่น่าแปลกใจที่คนพวกนี้จะจับตัวจ้าวหย่ากับพรรคพวกไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยพละกำลังที่พวกมันมี ประกอบกับของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนที่มีอยู่ในครอบครอง ก็ย่อมก่อให้เกิดอำนาจที่ยากจะต้านทาน
“ลั่วชิง ผมขอมอบหมายหน้าที่ให้คุณยับยั้งใครก็ตามที่พยายามจะฉกฉวยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ถ้าเป็นไปได้ พยายามคว้ามันไว้เองนะ ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของหวู่เฉินกับผม!” จางเซวียนสั่งการ
เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็แตะหยดเลือดในฝ่ามือ แล้วคลื่นพลังงานมหาศาลก็ระเบิดออกจากร่างของเขา!
ในเมื่อเจ้าตัวการที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรั้งรออีก เขาจะต้องเค้นให้พวกมันเปิดปากบอกที่อยู่ของจ้าวหย่ากับพรรคพวกออกมาให้ได้
“ได้สิ” รู้ดีว่าสภาวะของจางเซวียนในตอนนี้พร้อมจะรับมือกับชายทั้ง 4 แล้ว หลัวลั่วชิงพยักหน้าก่อนจะพุ่งเข้าใส่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน
“เฮ่ ผมจะปล่อยให้คุณเอาเครื่องรางไปง่ายๆแบบนั้นได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มผิวคล้ำคำรามลั่นขณะพุ่งเข้าใส่ หมายจะขัดขวางหลัวลั่วชิง แต่ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่พุ่งเข้าใส่ บีบให้เขาต้องล่าถอย พริบตาต่อมา ก็เห็นจางเซวียนมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น
“เข้าใจตรงกันเสียก่อน คู่ต่อสู้ของแกคือฉัน!”
ชายผิวคล้ำประหลาดใจกับการโผล่พรวดเข้ามาของจางเซวียน และรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคงจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ง่ายๆ จึงหันไปคำรามใส่ชายคนสุดท้ายในกลุ่ม “มัวชักช้าอะไรอยู่ล่ะ? ยับยั้งเธอไว้!”
ชายหนุ่มคนสุดท้ายหายจากอาการจังงังแล้วรีบพยักหน้า “ได้สิ!”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้าตัวหลัวลั่วชิง
ชายหนุ่มคนสุดท้ายมีรูปร่างสูงที่สุดในบรรดาทั้ง 4 คน และออกจะเผละผละเล็กน้อย ดูสภาพแล้วไม่น่าประทับใจนัก แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เขาสำแดงออกมาก็เหนือชั้นกว่าธรรมดา ไม่ได้ด้อยกว่าอีก 3 คนที่เหลือเลย
คลื่นความสั่นสะเทือนอันทรงพลังถูกปล่อยออกจากฝ่ามือของชายหนุ่มคนสุดท้าย พละกำลังนั้นมีอานุภาพทำลายล้างเทียบเท่ากับสายฟ้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าพยายามให้เหนื่อยเปล่าเลย! แกสองคนน่ะเป็นของฉัน!”
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มคนสุดท้ายจะได้ทำอะไร เสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นแรงกดดันอันดุเดือดก็ถาโถมเข้าใส่ สลายพละกำลังที่มีอยู่ในมือของเขาจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มทั้ง 4 หันมาจ้องจางเซวียนซึ่งถือหอกสีดำสนิทไว้ในมือด้วยความประหลาดใจ หอกนั้นแผ่รังสีอันสง่างามและเยือกเย็นออกมา
รู้ดีว่าจางเซวียนมีพละกำลังเหนือกว่าที่พวกมันจะรับมือด้วยทีละคน ชายผิวคล้ำตะโกนอย่างร้อนรน “พวกเราร่วมมือกันเถอะ!”
ฟึ่บ!
จากนั้น ชายผิวคล้ำกับชายหนุ่มคนสุดท้ายก็ชักดาบออกมาและปล่อยกระแสดาบฉี 2 สายออกมาพร้อมกัน พื้นที่โดยรอบส่งเสียงโหยหวนจากแรงกรีดของกระแสดาบฉีนั้น ดูเหมือนกระแสดาบฉีจะฉีกจางเซวียนเป็นชิ้นๆได้หากมันเข้าปะทะเขา
“ขอฉันแสดงให้พวกแกเห็นหน่อยเถอะว่าแกยั่วโมโหใคร ตอนที่บังอาจลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของฉันไป!”
จางเซวียนสะบัดข้อมือ เสียงเหมือนมังกรคำรามดังออกมาจากหอกของเขาขณะที่มันพุ่งเข้าใส่
ครืนนนน!
เกิดรูสีดำขึ้นเมื่อกระแสดาบฉีกับหอกปะทะกัน ทำให้ห้องนั้นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
แม้มิติลี้ลับที่พวกเขาอยู่จะมีความมั่นคงแข็งแรงเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นมิติเสมือนจริง ไม่อาจต้านทานพละกำลังอันน่าสะพรึงระดับนี้ได้
พลั่ก! พลั่ก!
ทั้งชายผิวคล้ำและชายหนุ่มคนสุดท้ายต่างหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึงขณะถูกสอยกระเด็นไป ราวกับถูกทุบด้วยค้อนอย่างจัง ทั้งคู่กระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง เกิดรูขนาดใหญ่ขณะที่เลือดซึมออกจากมุมปาก
เพียงแค่การกวัดแกว่งหอกครั้งเดียว จางเซวียนก็สลายการโจมตีจากนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานถึง 2 คนได้สำเร็จ
เป็นครั้งแรกที่ประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงและหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้สำแดงอานุภาพให้โลกเห็น!