เจ้าตะกละพูดได้
มีของ 2-3 อย่างในตัวเขาที่สามารถสื่อสารกับเขาผ่านทางโทรจิตได้
เจ้าตัวโคลนงี่เง่านั่นก็ตัวหนึ่ง ซึ่งคอยแต่จะหาซีนโดดเด่นให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็อยู่ในรังนางพญามด มีไอ้โหดซึ่งไม่ได้พูดอะไรมากนักนับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พวกเขาได้พบกับร่างกายท่อนบนของมันที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ อีกอย่าง ไอ้โหดก็ไม่กล้าปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณของมันออกมาหากเขาไม่อนุญาต ดังนั้นจึงไม่มีทางที่มันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอก
ส่วนเครื่องรางน้อย เขาเก็บมันไว้ในแหวนเก็บสมบัติ มันจึงไม่สามารถสื่อสารกับเขาผ่านทางโทรจิตได้ และก็ชัดเจนว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของหอกสวรรค์กระดูกมังกร
แต่จางเซวียนได้ยินชัด เสียงนั้นเหมือนกับเสียงของเด็กเล็กๆที่เจื้อยแจ้วและสดใส เขาไม่น่าจะคิดเอาเองเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้…
อะไรที่เข้าไปอยู่ในร่างของเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว?
จางเซวียนรีบตรวจสอบร่างกายของเขา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อไม่พบอะไรเลย เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงคำรามในใจ “แกเป็นใครน่ะ? หยุดล้อเล่นเสียที!”
“คุณหมายความว่าอะไรที่พูดว่าผมล้อเล่น? ผมคือน้ำเต้าน้อยไงล่ะ!” เสียงนั้นตอบอย่างร้อนใจ
“น้ำเต้าน้อย?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“ก็ใช่น่ะสิ! จะเป็นใครอื่นได้นอกจากผม?”
ทันทีที่พูดจบ น้ำเต้าที่นอนนิ่งอย่างเกียจคร้านอยู่ในจุดตันเถียนของจางเซวียนก็ส่ายก้นเบาๆ
“น้ำเต้าตงฉู่?” จางเซวียนถึงกับผงะ
เขารู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่อยู่ภายในร่างกายของเขา และรู้ด้วยว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดจิตใจของตัวเอง แต่มันเรื่องอะไรถึงทำตัวน่ารำคาญแบบนี้? อีกอย่าง…น้ำเต้าตงฉู่พูดได้ด้วยหรือ?
แถมยังเรียกตัวเองว่าน้ำเต้าน้อย…
ไม่รู้สึกแปลกๆบ้างหรือไงที่ตั้งชื่อให้ตัวเองเสียน่ารักขนาดนั้น?
“ใช่แล้ว! หลังจากได้ซึมซับพลังงานมากมายจากสายฟ้า ผมก็ปลุกตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ เร็วเข้า! เอาอุกกาบาตก้อนนั้นมาให้ผม ผมอยากกิน!” น้ำเต้าตงฉู่ยังคงส่ายก้นอย่างยินดีปรีดา
“แกอยากกินมัน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “รู้หรือเปล่าว่าอุกกาบาตนี้คืออะไร?”
เขาก็พอจะรู้อยู่ว่าน้ำเต้าตงฉู่คงไม่ใช่อะไรที่เรียบง่ายอย่างรูปร่างหน้าตาของมัน แต่ก็นึกไม่ถึงว่ามันจะพูดจาเจื้อยแจ้วได้ขนาดนี้ แถมเมื่อดูจากความร้อนรนในการอยากได้อุกกาบาต…มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร?
“ผมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ผมรู้ว่ามันกินได้!” น้ำเต้าตงฉู่ตอบ
“กินได้?” จางเซวียนหันกลับไปมองอุกกาบาตก้อนนั้นอีกครั้ง เขาใช้นิ้วแตะมัน แล้วหอสมุดเทียบฟ้าก็กระตุก หนังสือเล่มใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้น เขารีบพลิกดูเพื่ออ่านรายละเอียด “คริสตัลที่ตกลงมาสู่พื้นโลก เป็นวัตถุที่หลุดรอดมาจากรอยแยกของมิติกับเวลา สามารถใช้หลอมของล้ำค่าได้ มูลค่าไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด”
คริสตัลที่ตกลงมาสู่พื้นโลก? มูลค่าไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด? หมายความว่าอย่างไร? จางเซวียนขมวดคิ้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่หอสมุดเทียบฟ้าประเมินมูลค่าของล้ำค่าชิ้นหนึ่งอย่างคลุมเครือ
ที่ผ่านมา แค่เขาแตะวัตถุชิ้นไหน ก็จะได้รู้ประวัติศาสตร์ฉบับเต็มของวัตถุชิ้นนั้น แต่สำหรับอุกกาบาตก้อนนี้ คำอธิบายเกี่ยวกับมันที่หนังสือประมวลให้กลับคลุมเครืออย่างน่าประหลาด
มูลค่าไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด…ตกลงอุกกาบาตก้อนนี้มีค่าหรือไม่มีค่า?
ดูเหมือนคราวนี้หอสมุดเทียบฟ้าจะไว้ใจไม่ได้เสียอีกแล้ว…จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ
ตั้งแต่เขาสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดและได้มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ หอสมุดเทียบฟ้าก็ดูจะไม่ใช่เพื่อนร่วมทางที่เชื่อใจได้อย่างแต่ก่อน
ไม่สามารถระบุประวัติศาสตร์ของหินเพียงก้อนเดียวได้…ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเชื่อถือมันเพียงอย่างเดียวไม่ได้
เราคงต้องหาโอกาสไปเยือนสมาคมผู้หยั่งรู้…จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง
เขากำลังคิดว่าควรจะมอบคริสตัลที่ตกลงมาก้อนนี้ให้น้ำเต้าตงฉู่หรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจปฏิเสธ
“แกบอกว่าแกคือน้ำเต้าตงฉู่ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าน้ำเต้าตงฉู่จะกลืนกินอะไรแบบนี้ได้ แกเป็นใครกัน?” จางเซวียนคาดคั้น
ถ้าอีกฝ่ายเป็นน้ำเต้าตงฉู่แบบธรรมดาทั่วไป เขาก็คงจะพอเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้กับการที่มันมานอนนิ่งอยู่ในจุดตันเถียนของเขา แต่เมื่อได้รู้แล้วว่ามันมีชีวิตจิตใจมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป จนถึงขั้นที่พูดจาเจื้อยแจ้วแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกกังวลกับการที่มีมันมานอนนิ่งอยู่ในจุดตันเถียน
ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาจะทำร้ายเขา เขาคงลำบากแน่
“ผมจะเป็นอะไรอื่นได้ถ้าไม่ใช่น้ำเต้าตงฉู่? วางใจเถอะน่ะ ผมยอมรับคุณเป็นเจ้านายแล้วก่อนจะเข้าสู่จุดตันเถียนของคุณ เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ผมจะทำร้ายคุณโดยเด็ดขาด ผมยังมีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า ยังมีน้ำเต้าสวยๆอีกมากมายให้ผมได้เข้าหา เพราะฉะนั้นคงโง่เง่าเต็มทีหากผมจะรนหาที่ตาย!” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างอาจหาญ
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ก็ยังไม่เข้าท่าอยู่ดี ฉันยังรู้สึกไม่ปลอดภัยที่มีแกอยู่ในร่างกายของฉัน ทำไมเราไม่แลกเปลี่ยนกันล่ะ? ฉันจะมอบคริสตัลก้อนนี้ให้แก แต่แกก็ต้องออกจากจุดตันเถียนของฉันและมาอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ”
“ผมจะหลับลึกไประยะหนึ่งหลังจากกลืนกินคริสตัลก้อนนั้น เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะรบกวนคุณ…” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างเกียจคร้าน
ดูเหมือนมันจะพอใจกับสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้ และไม่เต็มใจจะย้ายออก
จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำนั้น
เขาไม่อยากยอมรับ แต่เรื่องจริงก็คือเขาจนปัญญากับน้ำเต้าลูกนี้ น้ำเต้าตงฉู่เข้าสู่จุดตันเถียนของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต และเขาก็พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะขับมันออกมา ครั้งล่าสุดที่เขาพยายามก็เพิ่งไม่นานมานี้หลังจากที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล
ตราบใดที่น้ำเต้าตงฉู่ยังอยู่ในจุดตันเถียนของเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีระเบิดเวลาอยู่ในร่างกาย ถึงอีกฝ่ายจะยืนยันว่ามันจะไม่สร้างความยุ่งยากใดๆ แต่ใครจะไปแน่ใจได้ว่าถึงที่สุดแล้วมันจะรักษาสัญญาของมันหรือเปล่า?
ถึงอย่างไร การนำมันออกมาก็ย่อมดีกว่า
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะหารือกัน แกจำศีลในแหวนเก็บสมบัติของฉันก็ได้ หรือไม่ก็อย่าพูดเรื่องคริสตัลก้อนนั้นอีก!” จางเซวียนพูดขณะปิดฝากล่องหยก
“ฮื่อออ! อย่างนั้นก็ได้…” เมื่อมีอาหารเป็นเดิมพัน น้ำเต้าตงฉู่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยินยอม มันตัวสั่นเล็กน้อย และยังไม่ทันที่จางเซวียนจะรู้ตัว มันก็หายวับจากจุดตันเถียนของเขาและมาปรากฏในแหวนเก็บสมบัติ
“เฮ้ย…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ
จุดตันเถียนอยู่ในร่างกายของเขา เป็นพื้นที่ที่ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ส่วนแหวนเก็บสมบัตินั้นเป็นมิติลี้ลับที่แยกออกมา ซึ่งจะไม่มีใครอื่นเข้าไปได้หากปราศจากการยินยอมจากเจ้าของ แต่น้ำเต้าตงฉู่กลับเข้าไปอยู่ในนั้นได้โดยไม่ต้องรอคอยการอนุญาตใดๆ
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าน้ำเต้าตงฉู่เหนือชั้นกว่าเขาในเรื่องการควบคุมมิติ!
ไอ้น้ำเต้าตงฉู่นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่?
เอาเถอะ จะเป็นตัวอะไรก็ช่าง ถ้ามันวุ่นวายล่ะก็ เราจะขว้างหนังสือเทียบฟ้าใส่มัน! จางเซวียนคำรามในใจ
โชคดีที่หลังจากหลัวชวนฉิงได้ศึกษาศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายจากเขาแล้ว ความสำนึกในบุญคุณของอีกฝ่ายก็ทำให้เกิดหน้าหนังสือสีทองหน้าใหม่ขึ้น ในเมื่อหน้าหนังสือสีทองสามารถเอาชนะได้แม้แต่กับไอ้โหด การควบคุมน้ำเต้าเพียงลูกหนึ่งก็คงไม่ยากเกินไป
ถ้าเขาขว้างหนังสือเทียบฟ้าใส่น้ำเต้าตงฉู่ เจ้าดื้อด้านนั่นก็คงแหลกเป็นชิ้นๆ
เมื่อมีไม้ตายอยู่กับตัว จางเซวียนก็รู้สึกปลอดภัยขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็นำน้ำเต้าตงฉู่ออกจากจุดตันเถียนของเขาได้แล้ว สำหรับตอนนี้ จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
เขาหันไปยิ้มให้หลัวกั้นเจิน “ผมนำอุกกาบาตก้อนนี้ไปได้ไหม?”
“เหล่าบรรพบุรุษของเราได้ศึกษาอุกกาบาตก้อนนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็ระบุไม่ได้ว่ามันคืออะไร คุณนำมันไปได้เลยหากคุณต้องการ” หลัวกั้นเจินพยักหน้า
“ขอบคุณ” เมื่อได้ยินว่าเขานำมันไปได้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นเขาก็นำกล่องหยกใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ
เมื่อเห็นกล่องหยกเข้ามาอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ น้ำเต้าตงฉู่รีบพุ่งเข้าใส่ด้วยความตื่นเต้น ร่างของมันบิดเบี้ยวเล็กน้อย แล้วคริสตัลที่ตกลงมาสู่พื้นโลกซึ่งอยู่ในกล่องก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างกลืนกินมันไปจนหมด
จากนั้นก็เหมือนกับที่มันพูดไว้ น้ำเต้าตงฉู่เข้าสู่การหลับลึก ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เห็นอีกฝ่ายเงียบปากไปได้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก ครู่ต่อมา เขาก็ได้แต่กุมขมับด้วยความปวดใจ “น้ำเต้าพูดได้…”
เมื่อมาคิดดู เขามีของประหลาดอยู่กับตัวมากมาย…เครื่องรางพูดได้…น้ำเต้าพูดได้…หอกพูดได้ โชคดีเหลือเกินที่ทรัพย์สมบัติเบ็ดเตล็ดอื่นๆในแหวนเก็บสมบัติของเขาพูดไม่ได้ ถ้าพวกมันพูดได้ เขาคงต้องช็อกตายแน่
จางเซวียนเลิกสนใจเรื่องน้ำเต้าตงฉู่ หันมากวาดสายตาดูขุมสมบัติต่อไป ไม่ช้าก็พบกับทรัพยากรบางส่วนที่น่าพอใจ
มีทั้งน้ำทิพย์ที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ยาเม็ดอันล้ำค่า และสมุนไพรชนิดพิเศษ
พูดได้เลยว่าตระกูลหลัวร่ำรวยอย่างน่าทึ่ง ปริมาณทรัพย์สมบัติที่พวกเขามีในขุมสมบัตินั้นสามารถทำให้นักรบทุกคนอ้าปากค้างได้
หลังจากหยิบข้าวของมา 2-3 ชิ้นสำหรับช่วยเหลือเขาในการฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนก็ออกจากขุมสมบัติ
ถึงอย่างไร ของล้ำค่าเหล่านี้ก็ถูกสั่งสมเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆด้วยน้ำพักน้ำแรงของเหล่าบรรพบุรุษแห่งตระกูลหลัว คงจะเป็นเรื่องชั่วร้ายเกินไปหากเขาจะฉกฉวยมาทั้งหมด
แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ได้ของดีมา 2-3 อย่าง
ถ้าจะพูดกันให้เห็นภาพ หากข้าวของที่เขาได้จากเซียนดาบชิงก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งหน่วย ข้าวของที่เขาได้รับครั้งนี้ก็มีมูลค่าอย่างน้อย 10 หน่วยเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว หลัวกั้นเจินคงโยนเขาออกไปนอกเมืองสวรรค์บังแล้ว
จางเซวียนเก็บข้าวของเหล่านั้นอย่างระมัดระวังและบอกหลัวกั้นเจินว่า “ผมตั้งใจจะออกเดินทางเพื่อไปตามหาแรงบันดาลใจในการฝ่าด่านวรยุทธ หากเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลัวในระหว่างนี้ ส่งข้อความหาผมได้เลย แล้วผมจะรีบกลับมา!”