ปะทะกับสมาคมผู้หยั่งรู้
ผู้หยั่งรู้คือหนึ่งในอาชีพพิเศษที่มีมากมายหลายอาชีพในโลก แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัว จึงทำให้ได้การยอมรับอย่างสูงในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้แต่สภาปรมาจารย์ก็ไม่กล้าสร้างแรงกดดันให้กับพวกเขา
การที่ชายหนุ่มจะกล่าวหาสมาคมผู้หยั่งรู้ว่าร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับบังอาจกล่าวคำขอที่จะเข้าค้นสมาคมของพวกเขาด้วย…
เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้!
“ผมไม่ปฏิเสธว่าผมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเอ่ยปากต่อสมาคมของคุณแบบนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่กับทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ ยังเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นด้วย มันอาจเป็นความบังเอิญและความโชคร้าย แต่ร่องรอยของนักย่องเบากลุ่มนั้นมาหยุดอยู่ในอาณาเขตของสมาคมผู้หยั่งรู้ของคุณพอดี เมื่อมีความปลอดภัยของมวลมนุษย์เป็นเดิมพัน ผมก็เกรงว่าผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำแบบนี้ หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจความคิดของผม” จางเซวียนพูด
“เหล่าผู้หยั่งรู้มักหลีกเลี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับกิจธุระของโลกภายนอก ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าพวกคุณคงไม่อยากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น หากผมรายงานเรื่องนี้ไปยังสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่หรือสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่ คุณคงมีอะไรให้ต้องอธิบายอีกมาก นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่คุณปรารถนาหรอกนะ ใช่ไหม?”
“คุณข่มขู่ผมหรือ?” ผู้อาวุโสคำรามขณะกำหมัดแน่น
“ข่มขู่? ผมเป็นหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์นะ ผมไม่ลดตัวลงไปทำอะไรแบบนั้นหรอก อีกอย่าง ถ้ามีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยไปลักลอบเข้ามาในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้ เพื่อความปลอดภัยของมวลมนุษย์ ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครตั้งคำถามกับการตัดสินใจของผมที่จะขอเข้าค้นสมาคมของคุณ!” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เฮอะ! หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ช่างจองหองเสียจริง!”
ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสจะได้ตอบโต้ เสียงคำรามเย็นเยียบก็ดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้นชายชรา 2 คนก็เดินเข้ามาจากประตูด้านข้าง
เมื่อเห็นทั้งคู่ จางเซวียนหรี่ตาด้วยความหวาดระแวง
เขาต้องประหลาดใจที่ไม่อาจมองเห็นระดับวรยุทธของชายชราทั้งสอง
ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว การที่เขามองไม่เห็นวรยุทธของอีกฝ่ายก็แปลว่าทั้งคู่จะต้องมีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างน้อย
วรยุทธระดับเซียนขั้น 8 สูงสุดก็น่าจะเป็นขีดจำกัดสำหรับเมืองในระดับเมืองภูเขาเก็บเกี่ยว แล้วนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนมาปรากฏตัวพร้อมกันแบบนี้…
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเพียงแค่คาดเดา แต่การปรากฏตัวของชายชราทั้งคู่ทำให้เขาเชื่อว่าสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ
“ผมต้องขออภัยด้วยถ้าทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น ไม่ทราบว่าคุณทั้งสองเป็นใคร? ผมเพิ่งได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้นำสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองภูเขาเก็บเกี่ยว จึงต้องขอร้องคุณทั้งสองว่าอย่าขัดจังหวะบทสนทนาของเรา และรู้จักสงบปากสงบคำไว้บ้าง!” จางเซวียนตอบอย่างอาจหาญ
หากพวกเขาเป็นนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จากสมาคมอื่น จางเซวียนก็คงลังเลเล็กน้อยที่จะมีปัญหากับพวกเขา แต่ในเมื่อคนเหล่านี้เป็นผู้หยั่งรู้…
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือสั่งสอนบทเรียนให้คนพวกนั้น ยังไม่เรียกว่าเป็นการข่มขู่ด้วยซ้ำ!
“ผมคือรองประธานสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่, ฉีเจิน และผู้ที่อยู่ข้างผมคือผู้อาวุโสมั่วชิง!” ชายชราคนที่พูดขึ้นก่อนสะบัดแขนเสื้อและคำราม “ไม่มีทางที่จะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นตัวไหนอยู่ที่นี่ และไอ้ที่คุณเรียกว่าทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน ตอนนี้คุณพอใจหรือยัง?”
“โชคร้ายนะที่ผมไม่พอใจ” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอาสองมือไพล่หลัง เขาพูดต่ออย่างไม่ยี่หระ “เว้นเสียแต่คุณจะอนุญาตให้ผมตรวจค้นทั้งสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว ไม่อย่างนั้น วันนี้ผมก็จะไม่ไปจากที่นี่!”
“คุณ…”
นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะพูดแบบนั้นทั้งที่เขาเปิดเผยตัวตนในฐานะรองประธานสมาคมผู้หยั่งรู้ สำนักงานใหญ่แล้ว ฉีเจินหรี่ตาอย่างโกรธเกรี้ยว เขาเงื้อมือขึ้น ดูเหมือนเตรียมพร้อมจะปล่อยการโจมตี แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
ดูเหมือนกับว่าจะมีใครบางคนส่งโทรจิตหาเขา ครู่ต่อมา ฉีเจินก็ระงับความโกรธไว้และสะบัดแขนเสื้ออย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง “เอาเถอะ คุณตรวจค้นที่นี่ก็ได้ แต่ผมให้เวลาคุณแค่ 3 นาทีเท่านั้นนะ เมื่อหมดเวลา 3 นาที ไม่ว่าคุณจะพบสิ่งที่คุณกำลังตามหาอยู่หรือไม่ ผมก็ต้องขอให้คุณกลับไป เรายังมีพิธีการสำคัญที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น ถ้าเราพลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำนายล่ะก็ ต่อให้ปูชนียสถานนักปราชญ์ของคุณก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาไม่ได้!”
“สามนาที? ตามนั้น!” จางเซวียนพยักหน้ารับ
เขาหยิบหนังสือเทียบฟ้าออกมาและสั่งการในใจ “ไอ้โหด ตรวจสอบพื้นที่นี้ให้ทั่ว ดูซิว่าแกรู้สึกได้ถึงร่างกายท่อนบนของแกหรือไม่!”
“ได้เลย” ไอ้โหดตอบ เพียงครู่เดียวหลังจากที่มันสำรวจพื้นที่โดยรอบ หนังสือเทียบฟ้าก็สั่นสะท้านขณะมีเสียงอุทานอย่างตื่นเต้นลอดมา “นายท่าน ที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ มีรังสีของความปั่นป่วนวุ่นวาย ราวกับมีบางอย่างที่อันตรายมากอยู่ข้างใน!”
“อันตรายมาก?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
การที่ไอ้โหดให้คำจำกัดความพื้นที่โดยรอบว่า ‘อันตรายมาก’ จะเป็นอะไรที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้?
“เอ๊ะ? ความรู้สึกนั้นหายไปแล้ว ผมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า สัญชาตญาณของผมดูจะสูญเสียความไวไปหลังจากที่ระดับวรยุทธของผมตกฮวบ” ไอ้โหดตั้งข้อสังเกต
มันแน่ใจว่าก่อนหน้านี้มันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ความรู้สึกนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา ถึงจะยังคงสงสัย แต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ว่าตัวเองอาจเข้าใจผิด ร่างกายของมันยังไม่สมบูรณ์ จึงมีโอกาสที่ประสาทสัมผัสจะรับรู้บางอย่างผิดพลาดไปบ้าง
“ฉันเข้าใจแล้ว แกอย่าไปสนใจรังสีวุ่นวายนั่น ตอนนี้ตรวจสอบเสียก่อนว่าร่างกายท่อนบนของแกอยู่ที่นี่หรือเปล่า!” จางเซวียนสั่งการ
เมื่อครู่นี้หลัวลั่วชิงก็เพิ่งเตือนเขา มาตอนนี้ไอ้โหดก็พูดแบบเดียวกัน
เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนหวั่นวิตกเล็กน้อย
แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ถอยไม่ได้ เจ้าตัวการน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาไป เขาจึงไม่อาจพลาดโอกาสครั้งนี้ แถมร่างกายท่อนบนของไอ้โหดก็มีความสำคัญต่อเขามากด้วย
“รับทราบ” ไอ้โหดตอบ มันรีบสลัดความคิดวกวนในหัวสมองออกไปและสำรวจตรวจสอบพื้นที่นั้นอีกครั้ง ต่อมามันก็อุทาน “นายท่าน ผมรู้แล้วร่างกายท่อนบนของผมอยู่ที่นี่จริงๆ แต่ว่า…”
“แต่อะไร?” จางเซวียนกำลังดีใจที่รู้ว่ามาถูกที่ แต่คำพูดนี้ทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นอีก
การที่สมาคมผู้หยั่งรู้รวมหัวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพื่อขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุย…พวกนั้นอยากได้อะไร?
“มีรังสีประหลาดล้อมรอบร่างกายท่อนบนของผม ก่อนหน้านี้รูปปั้นนักปราชญ์ขุยกดข่มอำนาจของร่างกายท่อนบนของผมไว้ ผมจึงรับรู้มันได้ไม่เต็มที่ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงร่างกายท่อนบนของผมอย่างชัดเจน รู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันอาจทำลายรูปปั้นแล้ว” ไอ้โหดตอบ
“ทำลายรูปปั้น? ดูเหมือนพวกมันจะขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยมาเพื่อร่างกายท่อนบนของไอ้โหดจริงๆ…” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
ถ้าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการคาดเดา ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายหลักของเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มนี้คือร่างกายท่อนบนของไอ้โหด
อีกอย่าง ก็ดูจะบังเอิญมากไปที่รองประธานสมาคมและผู้อาวุโสของสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่มาเยือนสมาคมสาขาที่ห่างไกลพร้อมๆกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ เท่าที่เห็น…มีความเป็นไปได้ที่เหล่าผู้หยั่งรู้ระดับสูงจำนวนหนึ่งจะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!
แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังต้องการการตรวจสอบและยืนยัน แต่คาดเดาสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า
“แล้วตอนนี้ร่างกายท่อนบนของแกอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม
“อยู่หลังห้องนี้” ไอ้โหดตอบ
“เข้าใจละ” จางเซวียนพยักหน้าขณะหันไปมอง
ที่ด้านหลังของห้องนั้นมีประตูขนาดใหญ่สีดำสนิท เขาพยายามใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบว่ามีอะไรอยู่ด้านหลังประตู แต่ดูเหมือนจะมีปราการบางอย่างปิดกั้นเอาไว้ ไม่ให้ใครหรือวิธีการใดๆเข้าไปตรวจสอบได้
จางเซวียนเดินตรงไปที่ประตูเพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ในตอนนั้นเอง เสียงของฉีเจินก็ดังขึ้น “หมดเวลา 3 นาทีแล้ว หัวหน้าปูชนียสถานจาง ผมต้องขอให้คุณกลับไปเดี๋ยวนี้!”
“กลับไป?” จางเซวียนคำราม “ผมเพิ่งแน่ใจเดี๋ยวนี้เองว่าทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานที่หายไปนั้นอยู่หลังประตูบานนี้ แต่ดูเหมือนคุณจะรีบร้อนไล่ผมเหลือเกิน ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าเจตนาของคุณคืออะไร!”
ม่านตาของฉีเจินหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็รีบปกปิดมันไว้ด้วยเสียงคำราม “คุณพูดว่าคุณแน่ใจว่าทรัพย์สมบัติที่หายไปของคุณอยู่หลังประตูบานนี้ แน่ใจได้อย่างไร?”
“ก็เหมือนกับความสามารถของสมาคมผู้หยั่งรู้ของคุณในการเปิดเผยข้อมูลสำคัญผ่านคำทำนายนั่นแหละ ปูชนียสถานของเราก็มีวิธีการของตัวเองในการแกะรอยหาทรัพย์สมบัติ ถ้าผมหาตำแหน่งของทรัพย์สมบัติของเราที่ถูกขโมยไปไม่ได้ ผมควรจะเป็นหัวหน้าปูชนียสถานหรือ?” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“หัวหน้าปูชนียสถานจาง ผมเข้าใจว่าคุณร้อนใจอยากจะตามหาทรัพย์สมบัติของปูชนียสถานนักปราชญ์ของคุณ แต่ไอ้การกล่าวหาซี้ซั้วอย่างที่คุณทำน่ะไม่ทำให้คุณได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ สมาคมผู้หยั่งรู้ของเรามีพิธีการสำคัญที่จะต้องดำเนินการในตอนนี้ และเราก็ไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับคุณ ผมขอให้คุณกลับไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้น จะมากล่าวหาว่าผมหยาบคายไม่ได้!” ฉีเจินพูดพร้อมกับโบกมืออย่างวางมาด
“หยาบคาย? คุณตั้งใจจะโจมตีผมหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างข่มขู่
ใครจะไปคิดว่าสมาคมผู้หยั่งรู้จะเก่งกล้าขนาดนี้? การที่พวกเขาจะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อขโมยรูปปั้นนักปราชญ์ขุยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับกล้าข่มขู่เขาซึ่งเป็นถึงหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ด้วย!
“พวกเราไม่อยากให้เรื่องลุกลามไปถึงจุดนั้นหรอก แต่คุณก็จุ้นจ้านไม่หยุด ผมเกรงว่าผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้กำลัง!” ฉีเจินตอบขณะรังสีแผดกล้าระเบิดออกจากร่างของเขา พุ่งขึ้นสู่สวรรค์
เขาเป็นนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติ!
ถึงเขาจะยังอ่อนด้อยหากเปรียบเทียบกับเซียนดาบชิง แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็มากเกินพอที่จะรับมือกับนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดอย่างจางเซวียน
เห็นฉีเจินกำลังจะปล่อยการโจมตี มือของจางเซวียนเลื่อนไปที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรซึ่งรัดอยู่รอบเอวของเขา พร้อมตอบโต้ทันทีหากอีกฝ่ายใช้ความรุนแรง แต่แล้วการระเบิดของรังสีนั้นก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งขณะที่หลังคารูปกระดองเต่าเปิดออก
ร่างหนึ่งพุ่งลงมาจากหลังคาที่เปิดออกนั้น
“หวู่เฉิน?”
ผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กชายวัยรุ่นที่ติดตามหลัวลั่วชิง, หวู่เฉิน!
อีกฝ่ายบอกว่าตัวเขามีเรื่องที่จะต้องไปจัดการหลังจากที่ทั้งสามออกจากอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิวที่ภูเขาห้วยขาว แล้วทำไมจู่ๆถึงมาปรากฏตัวที่นี่?