เตะก้นจางเซวียน!
“คุณจะออกเดินทางหรือ?” หลัวกั้นเจินแทบสำลัก
เพระเห็นว่าหลัวเทียนหยาคนนี้มาจากครอบครัวสาขาและไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตระกูลจาง เขาถึงยอมให้อีกฝ่ายนำทรัพย์สมบัติไปมากมายในคราวเดียว ซึ่งเหตุผลที่เขาทำอย่างนั้นก็แสนจะเรียบง่าย คือเขาอยากนำพาหลัวเทียนหยาเข้าสู่นาวาขนาดใหญ่ที่ชื่อตระกูลหลัว และโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายเต็มใจรับตำแหน่งกัปตันเรือ
แต่หมอนี่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกจากขุมสมบัติเลย ก็คิดเรื่องจะออกเดินทางแล้ว…
คุณมันใจจืดใจดำ! จะทำตัวไร้หัวใจกว่านี้อีกได้ไหม!
ผมรู้ว่าคุณไม่คาดหวังตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว แต่คุณจะมาโยนทิ้งโยนขว้างราวกับเป็นเศษผงแบบนี้ไม่ได้!
“ท่านหัวหน้า ได้โปรดรอก่อนเถอะ เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหลัวมีเรื่องจะปรึกษา และพวกเขาคอยคุณอยู่ หากเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว คุณจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้นตามต้องการ!” หลัวกั้นเจินถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“เรื่องอะไร?” จางเซวียนถาม
“ท่านหัวหน้า ผมเชื่อว่าคุณคงได้ยินแล้วว่าตระกูลจางได้ปฏิเสธการหมั้นหมายกับเราต่อหน้าสาธารณชนมากมาย!” หลัวกั้นเจินตอบ
“อือ! จางเซวียนพยักหน้า
ในฐานะตัวการ เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
“ตระกูลหลัวเป็นตระกูลนักปราชญ์ที่ใหญ่โตเป็นอันดับ 2 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ และมีเกียรติสูงส่งมาตลอด แต่เรากลับถูกเหยียดหยามต่อหน้ากลุ่มอำนาจมากมายของทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำให้ชื่อเสียงของเราป่นปี้ไม่มีชิ้นดี! เพราะพวกเราอ่อนแอกว่าตระกูลจาง เราจึงถอดใจจากเรื่องนี้แล้ว…แต่ท่านหัวหน้า คุณคือผู้ที่เอาชนะได้แม้แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์…” ถึงตอนนี้ หลัวกั้นเจินนัยน์ตาเบิกโพลง
ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้ ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าทุกคนในระดับเดียวกัน แน่นอนว่าความปราดเปรื่องของอีกฝ่ายย่อมเหนือกว่าที่เขาจะจินตนาการ
“ดังนั้น…เหล่าผู้อาวุโสจึงได้เสนอให้คุณดำเนินการล้างแค้นตระกูลจางที่มาเหยียดหยามพวกเรา! เราจะเรียกคืนศักดิ์ศรีของตระกูลหลัว และทำให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเราไม่ใช่กลุ่มอำนาจที่ใครจะมาเหยียดหยามได้!”
“คุณต้องการล้างแค้นตระกูลจาง?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความพรั่นพรึง
“ใช่! หัวหน้าตระกูลจาง, จางเซวียน เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ขั้นต้น และเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้เมื่อ 3 วันก่อนนี่เอง ต่อให้เขาจะปราดเปรื่องแค่ไหน เวลา 3 วันก็คงไม่เพียงพอให้ขัดเกลาวรยุทธได้หรอก ไม่มีทางที่เขาจะเทียบชั้นกับคุณได้เลย! ท่านหัวหน้า ในเมื่อคุณเอาชนะได้แม้แต่หนานกงหยวนเฟิง การจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าจางเซวียนนั่น…สำหรับคุณแล้วคงง่ายดายยิ่งกว่าเดินเล่นชมสวน!”
หลัวกั้นเจินพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
“เป้าหมายของเหล่าผู้อาวุโสก็คือให้คุณเข้าท้าทายตระกูลจางและสั่งสอนบทเรียนที่เขาจะไม่มีวันลืม ทำให้เขาลงไปคลานหาฟันของตัวเองที่ร่วงอยู่กับพื้น! เมื่อเราล้างแค้นจากการที่ถูกเหยียดหยามแล้ว เราก็จะเรียกคืนชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับมา และรุ่งเรืองขึ้นได้อีกครั้ง!”
ถึงอย่างไร เหตุผลที่ตระกูลจางกล้าทำตัวหยิ่งผยองก็เพราะจางเซวียนเป็นทั้งหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ เป็นศิษย์พี่ของปรมาจารย์หยาง ทั้งยังเป็นอาจารย์ของกลุ่มอำนาจชั้นนำอีกมากมาย
แต่ในการดวลอย่างชอบธรรม ตำแหน่งเหล่านั้นล้วนไม่มีประโยชน์กับเขา ขอแค่หัวหน้าหลัวเทียนหยาสำแดงความเหนือชั้นออกมาต่อหน้าจางเซวียน ก็จะไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะตระกูลหลัวของพวกเขาอีก!
ในเมื่อตระกูลจางกล้าทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาเพื่อเสริมอำนาจให้ตัวเอง พวกนั้นก็จะมากล่าวหาพวกเขาไม่ได้หากว่าเขาทำแบบเดียวกัน!
“ผม…” จางเซวียนแทบจะทึ้งผมตัวเองด้วยความร้อนใจ
นี่มันนรกอะไร…เหตุการณ์ถึงพลิกผันขนาดนี้?
ก็จริงแหละ พอเข้าใจได้อยู่เรื่องที่ตระกูลหลัวอยากเรียกคืนชื่อเสียงของตัวเองคืนมา โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาได้พบหัวหน้าตระกูลผู้ทรงพลังแล้ว แต่ปัญหาก็คือ…เจ้าจางเซวียนหน้าด้านหน้าทนที่พวกคุณก่นด่าสาปแช่งอยู่ตลอดเวลานั่นน่ะก็คือผม!
คุณเอาจริงๆหรือที่มาขอร้องให้ผมเล่นงานตัวเอง?
ผมทำอะไรให้พวกคุณรู้สึกได้ว่าผมชื่นชอบการทำร้ายตัวเอง? ผมดูเหมือนพวกมาโซคิสม์หรือไง?
“ทันทีที่เรื่องนี้สำเร็จลุล่วง เราก็จะเรียกคืนความมั่นใจของตระกูลหลัวที่เคยสูญหายไปและฟื้นฟูชื่อเสียงของเรากลับคืนสู่ความรุ่งเรืองใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…ท่านหัวหน้า ผมขอวิงวอนคุณว่ากรุณาอย่าปฏิเสธเรื่องนี้ ทันทีที่เรื่องนี้เสร็จสิ้น คุณจะไปไหนก็ได้ตามแต่คุณต้องการ พวกเราจะไม่ตั้งคำถามกับการตัดสินใจของคุณเลย…” หลัวกั้นเจินรีบเสริม
เหตุที่ตระกูลหลัวมีอำนาจใหญ่โตในทวีปแห่งปรมาจารย์ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขามีกลุ่มอำนาจมากมายหลายกลุ่มเป็นบริวาร หากกลุ่มอำนาจเหล่านั้นสูญเสียความมั่นใจในตระกูลหลัว ก็จะพากันตีจากตระกูลหลัวไปและไปเป็นบริวารของกลุ่มอำนาจอื่นที่ทรงพลังอย่างเช่นตระกูลจาง
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดที่พวกเขาจะต้องเรียกคืนชื่อเสียงกลับมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจเกิดหายนะตามมา
ลำพังแค่การสถาปนาหัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเรียกความมั่นใจกลับคืนสู่ตระกูลหลัว ในท้ายที่สุด วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการโน้มน้าวใจให้กลุ่มอำนาจอื่นมั่นใจว่าตระกูลหลัวไม่ได้อ่อนแอกว่าเดิมก็คือการล้างแค้นที่ถูกตระกูลจางเหยียดหยาม และทำให้เจ้าจางเซวียนคนนั้นรู้ว่าการถูกซ้อมมันเหมือนตกนรกอย่างไร!
แน่นอนว่าความขัดแย้งกับหนานกงหยวนเฟิงก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของตระกูลหลัวแล้ว แต่ปัญหาก็คือมันอาจไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนักที่จะทำลายชื่อเสียงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์
ถึงพวกเขาจะขับไล่หนานกงหยวนเฟิงไปได้ แต่หลัวกั้นเจินก็ไม่กล้าลำพองใจพอที่จะคิดว่าตระกูลหลัวจะสามารถต้านทานความโกรธแค้นของทั้ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้ อย่างน้อยที่สุด ในช่วงเวลานี้ก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนักที่จะมีปัญหากับพวกเขา
“ผมขอเวลาคิดสักครู่นะ…” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าที่ดูคับข้องใจ
ทำไมทุกคนถึงอยากกระทืบเรานัก…หน้าเราเหมือนหินรองฝ่าเท้าหรือ?
ทำอย่างกับเราจงใจปฏิเสธการหมั้นหมายและเจตนาดูถูกตระกูลหลัวอย่างนั้นแหละ…
“ไม่จำเป็นต้องไต่ตรองเรื่องนี้แล้ว ท่านหัวหน้า…พวกเรามั่นใจเต็มเปี่ยมในพละกำลังของคุณ!” หลัวกั้นเจินเพิ่มความกดดันให้จางเซวียนขณะพาอีกฝ่ายออกจากขุมสมบัติ “เหล่าผู้อาวุโสกำลังรอคุณอยู่ในห้องโถงใหญ่ หากคุณเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่ พวกเราก็จะออกเดินทางทันที!”
“ออกเดินทางทันที?” จางเซวียนแทบลมจับเมื่อได้ยินคำนั้น
“ใช่แล้ว การล้างแค้นน่ะต้องทำตอนที่เหตุการณ์ยังคุกรุ่นอยู่ ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีนับตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลหลัวมา เราเคยถูกเหยียดหยามแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า? แน่นอนว่าไม่! เราไม่อาจกระจายข่าวเรื่องการต่อสู้ระหว่างท่านหัวหน้ากับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ออกไปได้ เพราะอาจมีผลกระทบร้ายแรงตามมา แต่ด้วยเครือข่ายข้อมูลข่าวสารอันฉับไวของตระกูลจาง ไม่ช้าพวกเขาก็คงรู้เรื่องนี้ ถ้าเจ้าจางเซวียนนั่นเผ่นหนีไปก่อนเมื่อรู้ข่าว เราคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นอีก!” หลัวกั้นเจินประสานมือให้จางเซวียนขณะอธิบายอย่างร้อนรน
“ท่านหัวหน้า พวกเราขอวิงวอนให้คุณยอมรับคำขอครั้งนี้ด้วย เพื่อเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวและมรดกตกทอดนับหมื่นปีของพวกเรา!”
“….”
จางเซวียนไม่เคยรู้สึกอยากปล่อยโฮมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต
พวกคุณเตรียมการทั้งหมดนี้เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลัว แต่เคยคิดถึงความรู้สึกของผมบ้างหรือเปล่า?
ผมไม่ได้เป็นแค่หัวหน้าตระกูลหลัวของพวกคุณนะ แต่ยังเป็นหัวหน้าตระกูลจางด้วย…คุณจะโหดร้ายถึงขนาดบีบบังคับให้ผมท้าทาย ตบหน้า และหยามศักดิ์ศรีตัวเองหรือ?
สัญชาตญาณของจางเซวียนบอกให้เขาปฏิเสธหลัวกั้นเจิน แต่เมื่อจ้องลึกลงไปในดวงตาที่ลุกโชนของชายชรา เขาก็พบว่าตัวเองไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ดังนั้น หลังจากอึกอักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนจึงได้แต่ยื้อด้วยการพูดว่า “ขอผมฟังความเห็นของเหล่าผู้อาวุโสก่อน…”
ส่วนหลัวกั้นเจิน เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าตระกูลไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขาเสียทีเดียว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเดินนำจางเซวียนไป “ท่านหัวหน้า ทางนี้เลย!”
ถึงเขาจะจงเกลียดจงชังจางเซวียนมากแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าหมอนั่นมีความสามารถที่พิเศษอย่างน่าทึ่ง อันที่จริง ก็คงจะไม่เป็นการเกินเลยหากจะพูดว่าเขาคือความภาคภูมิใจสูงสุดของตระกูลจาง หากตระกูลหลัวสามารถสั่งสอนบทเรียนให้หมอนั่นได้ ความอับอายที่เคยได้รับก็จะถูกชำระล้างไป บางทีพวกเขาอาจนำพาตระกูลของตัวเองให้มีศักดิ์ศรีและเกียรติยศสูงกว่าเดิมก็ได้!
ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงห้องโถงใหญ่
เหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลัวนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เห็นหลัวกั้นเจินกับจางเซวียน ก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นเต้นร้อนรน
“ท่านหัวหน้า เราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลยไหม?”
“จัดการไอ้สารเลวจางเซวียนนั่นเถอะ!”
“เราจะทำให้เจ้าคนชั่วร้ายนั่นรู้ว่าการดูถูกตระกูลหลัวเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เขาเคยทำ!”
…..
เสียงร้อนรนเซ็งแซ่ดังไปทั่วทั้งห้อง ราวกับมีใครราดน้ำมันลงไปรอบบริเวณนั้น และทุกอย่างอาจลุกพรึ่บเป็นไฟในชั่วพริบตาหากใครสักคนดีดนิ้ว
“….”
สองคำแวบเข้ามาในหัวของจางเซวียน – จบเห่
เขารู้สึกราวกับคราวนี้กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง
เขามาที่นี่ด้วยเจตนาดี อยากจะชดใช้ให้ตระกูลหลัวในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่โชคชะตาก็เล่นตลก ลงท้ายเขาต้องกลายเป็นหัวหน้าตระกูลหลัวเสียเอง
และราวกับเท่านั้นยังไม่พอ…ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ก็ถูกกดดันให้เล่นงานตัวเองด้วย!
หากเขาสลัดการปลอมตัวออกไปตอนนี้และเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในฐานะจางเซวียนออกมา ไม่เพียงแต่การชดใช้ของเขาจะไม่ได้รับคำขอบคุณ ตระกูลหลัวก็คงคิดว่าเขาเข้ามาเล่นตลก ทำให้โอกาสที่จะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างทั้งสองตระกูลต้องกลายเป็นศูนย์โดยสิ้นเชิง
ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามเลยด้วยซ้ำ!
จางเซวียนใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะระงับอารมณ์ของเหล่าผู้อาวุโสได้ เขาพูดว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณดี แต่ผมไม่คิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าท้าทายตระกูลจาง”
“ผมไม่ปฏิเสธนะว่าจางเซวียนคนนั้นทรงพลังมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีใครในระดับเดียวกันกับเขาที่จะเทียบชั้นกับเขาได้เลย แต่…ท่านหัวหน้า คุณคือคนที่เอาชนะได้แม้แต่หนานกงหยวนเฟิง! พวกเราเชื่อว่าคุณสามารถจัดการเจ้าจางเซวียนนั่นได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เราจะส่งจดหมายขอท้าดวลอย่างเป็นทางการไปยังตระกูลจาง และเชิญสภาปรมาจารย์ให้เข้ามาเป็นคนกลางในการดวลครั้งนี้ด้วย ขอแค่เราทำตามขั้นตอนที่เหมาะสม ตระกูลจางก็จะถูกบีบให้ตอบรับคำท้าของเรา แล้วทำไมคุณถึงพูดว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะท้าทายตระกูลจางล่ะ?”
“ท่านหัวหน้า ผมไม่ได้จะคัดค้านคุณนะ แต่ผมรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสเหมาะที่สุดสำหรับพวกเราที่จะเข้าท้าทายตระกูลจาง คุณจากครอบครัวสาขา น้อยคนในตระกูลหลัวที่เคยได้ยินชื่อคุณ หากไม่ใช่เพราะสายเลือดบริสุทธิ์ของคุณล่ะก็ แม้แต่พวกเราก็คงจะสงสัยว่าคุณเป็นสมาชิกตระกูลหลัวหรือเปล่า…ในเมื่อเป็นอย่างนั้น คนอื่นๆก็คงคิดแบบเดียวกัน นั่นหมายความว่าตระกูลจางก็คงไม่ทันระมัดระวังตัวและเปิดโอกาสให้เราได้สั่งสอนบทเรียนให้จางเซวียนผู้โอหังคนนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้คุณและทำให้ทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ได้รับรู้ถึงความเก่งกาจที่คุณมี…”
…..
เหล่าพูดอาวุโสที่กำลังไฟแรงใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ก็ตีข้อเสนอของจางเซวียนตกไปอย่างราบคาบ
“….” จางเซวียน
สุดยอด ที่พวกคุณพูดมาน่ะมีเหตุผล…ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะพูดอะไรได้อีก