Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 1627

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1627

สภาปรมาจารย์ทรยศมวลมนุษย์หรือเปล่า?
ความเงียบครอบงำทั่วทั้งสมรภูมิแห่งนั้น

แม้แต่หวู่เฉินกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดก็ชะงัก ส่งผลให้การสู้รบของทั้งคู่หยุดไปชั่วขณะ

ทุกสายตาจับจ้องที่ร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งเละเป็นเนื้อบดอยู่กับพื้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ทุกคนรับรู้ได้ถึงรังสีที่ระเบิดออกมาก่อนหน้านี้ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีนักปราชญ์โบราณปรากฏตัว แต่นักปราชญ์โบราณผู้นั้นก็กลับได้พูดเพียงคำเดียวว่า “อะไรกัน?” ก่อนจะพบจุดจบ

มันน่าตกตะลึงเกินไป!

นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้อาจจะดูเกินจริงไปสักหน่อยหากจะพูดว่าไม่มีใครทำร้ายพวกเขาได้ แต่พละกำลังและพลังชีวิตของพวกเขาก็แข็งแกร่งเสียจนนักปราชญ์โบราณส่วนใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนสิ้นอายุขัย แต่แล้วนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งก็มาจบชีวิตต่อหน้าต่อตาพวกเขาด้วยการถูกทำลายทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณต้นกำเนิดจนเละไม่เหลือชิ้นดี ทำให้โอกาสที่จะมีชีวิตรอดเป็นศูนย์

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

นักปราชญ์โบราณบอบบางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แตะต้องนิดเดียวก็แหลกสลายเลยหรือ?

ถ้าไม่อย่างนั้น หนังสือเล่มนั้นมันคืออะไร? หมอนั่นได้หนังสือมาจากไหน?

และมันยังคงใช้การได้อยู่หรือเปล่า?

ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดหน้าซีดตัวสั่น เขาตวาดอย่างร้อนรน “ถอย!”

ด้วยการโจมตีที่แม้แต่นักปราชญ์โบราณยังต้านทานไม่ไหว ก็แปลว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาชีวิตรอด เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เหลือรีบหักเครื่องรางของตัวเองด้วยสีหน้าพรั่นพรึง แล้วรอยแยกแห่งมิติก็ปรากฏขึ้นรอบตัว

“พวกแกคิดจะไปไหน?” จางเซวียนคำรามขณะเงื้อมือขึ้น ตั้งใจจะปิดกั้นพื้นที่โดยรอบเอาไว้เพื่อไม่ให้พวกมันหนีไปได้

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอย่างนั้น เสียงหนึ่งก็ลอยเข้ามาในหัว “ปล่อยพวกมันไป”

เขาหันกลับไปมองหลัวลั่วชิง เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วจนย่นเป็นร่องลึก

จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำตามเธอ

ครืนนนนน!

คลื่นรบกวนของมิติสั่นสะท้านทั่วทั้งพื้นที่นั้นขณะที่ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆที่หักเครื่องรางแล้วหายวับไปในรอยแยกแห่งมิติ เหลือไว้เพียงฉีเจินกับคนอื่นๆจากสมาคมผู้หยั่งรู้

รู้ดีว่าหากพวกมันหนีไปแล้วก็คงไม่มีทางจับตัวได้ จางเซวียนสูดหายใจลึกและตั้งคำถามกับหลัวลั่วชิง “เพราะอะไร?”

เขารู้ดีว่าคนรักของเขาไม่ใช่คนชนิดที่จะทำอะไรโดยไร้เหตุผล เธอน่าจะมีความคิดบางอย่าง จึงบอกเขาให้ปล่อยพวกนั้นไป เพราะอย่างนี้ เขาจึงเลือกที่จะทำตามคำสั่งของเธอ

“คุณยับยั้งพวกมันไม่ได้หรอกถ้ามันอยากหนีไปจริงๆ” หลัวลั่วชิงตอบอย่างสุขุม

“ต่อให้ผมยับยั้งพวกมันไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะสังหารมันได้อีกสักตัว” จางเซวียนตอบพร้อมกับกำหมัดแน่น

ฝ่ายตรงข้ามล้วนแต่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ลงท้ายพวกมันก็สามารถทำลายการสกัดกั้นมิติของเขาได้ จากมุมมองนี้ การหลบหนีของพวกมันจึงเป็นเรื่องที่ถึงอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น แต่ในเมื่อพวกมันต้องใช้เวลาในการทำลายการสกัดกั้นของมิติ จางเซวียนก็มั่นใจว่าเขาน่าจะสามารถสังหารพวกมันได้อีกอย่างน้อยก็หนึ่งตัว

“สังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกหนึ่งตัวก็ไม่ทำให้ได้อะไรขึ้นมาหรอก” หลัวลั่วชิงพูด “ที่สำคัญกว่านั้น เมื่อครู่นี้ ที่นี่ไม่ได้มีนักปราชญ์โบราณแค่ตัวเดียวนะ!”

“เมื่อครู่นี้ ที่นี่ไม่ได้มีนักปราชญ์โบราณแค่ตัวเดียว?”

คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนหรี่ตาอย่างพรั่นพรึงขณะที่เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเข้าใกล้ความตายมากแค่ไหน“คุณกำลังจะบอกว่า…ในสมาคมผู้หยั่งรู้แห่งนี้มีนักปราชญ์โบราณซุกซ่อนอยู่มากกว่าหนึ่งตัวที่ผมสังหารไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“น่าจะมีอีกอย่างน้อยสามตัว แต่การโจมตีนั้นทำให้พวกมันตกตะลึง เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีพละกำลังมากพอที่จะต้านทานพละกำลังจากหนังสือของคุณได้ มันจึงเลือกที่จะหลบหนี แต่ถ้าคุณพยายามยับยั้งพวกมันไว้ มันก็อาจปล่อยการโจมตีออกมาเพราะอับจนหนทาง…ต่อให้เป็นคุณ ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะสามารถรับมือกับนักปราชญ์โบราณพร้อมกันทีเดียวสามตัวได้หรอก” หลัวลั่วชิงพูด

“ผม…” จางเซวียนเงียบกริบ

เขาได้ใช้หน้าหนังสือสีทองที่มีอยู่เพียงหน้าเดียวไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้มาจากความสำนึกในบุญคุณของหลัวชวนฉิงที่เขาถ่ายทอดศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายให้

เขาใช้มันกับนักปราชญ์โบราณไปตัวหนึ่งแล้ว ซึ่งหากนักปราชญ์โบราณอีกตัวปรากฏ ก็คงไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรได้

และนั่นจะหมายถึงจุดจบของทุกคน

ถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณที่เขาเพิ่งสังหารไปจะพบจุดจบก่อนที่จะทันได้สำแดงพละกำลังที่แท้จริงออกมา แต่จางเซวียนก็บอกได้จากรังสีของอีกฝ่ายว่าเขาไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยหากดวลกันตัวต่อตัว อันที่จริง เพียงแค่รังสีที่นักปราชญ์โบราณแผ่ออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้เขาพ่ายแพ้แล้ว

ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลที่บรรดานักปราชญ์โบราณจะได้รับการเคารพยกย่องอย่างสูงในโลกใบนี้ เพราะหากปราศจากพละกำลังมหาศาล ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีอิทธิพลมากอย่างที่เป็นอยู่

หลังจากสงบสติอารมณ์จากความตกตะลึงที่เพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตาย จางเซวียนก็เกิดความสงสัย ทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณจำนวนมากถึงลักลอบเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้โดยที่สภาปรมาจารย์ไม่รู้?

เป็นความจริงที่ว่านักปราชญ์โบราณส่วนใหญ่ที่เป็นมนุษย์จะอยู่ในสภาวะจำศีล แต่เท่าที่เขารู้ นักปราชญ์โบราณเหล่านั้นดูจะมีวิธีการบางอย่างที่จะสัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ ด้วยสิ่งนี้ พวกเขาจึงปกป้องมวลมนุษย์จากการคุกคามของนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่สภาปรมาจารย์จะไม่รู้ไม่เห็นว่ามีนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์!

เว้นเสียแต่…สภาปรมาจารย์จะทรยศมวลมนุษย์!

ราวกับจะรู้ว่าจางเซวียนกำลังข้องใจเรื่องอะไร หวู่เฉินอธิบาย “เรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือของสมาคมผู้หยั่งรู้สำนักงานใหญ่ พวกเขาใช้ศาสตร์ลับปกปิดการปรากฏตัวของนักปราชญ์โบราณเหล่านี้ไว้ ทำให้พวกมันผ่านการตรวจจับของสภาปรมาจารย์และนักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์ได้”

“อีกอย่าง พวกมันยังตัดสินใจอย่างชาญฉลาดที่เลือกใช้เมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวเป็นฐานปฏิบัติการเพราะเป็นเมืองที่ไม่โดดเด่น ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งปลอดภัยจากสายตาของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่และกลุ่มอำนาจหลักๆ ที่สำคัญกว่านั้น ยังไม่มีสภาปรมาจารย์ในบริเวณใกล้เคียงที่จะสามารถควบคุมสมาคมผู้หยั่งรู้ในพื้นที่ ทำให้เป็นฐานที่มั่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการซ่อนตัวโดยไม่ให้ใครสงสัย”

จางเซวียนครุ่นคิดหนักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

เมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวตั้งอยู่ในหุบเขา เป็นปราการธรรมชาติชั้นดี แถมยังมีลำธารซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ทำให้พื้นดินโดยรอบอุดมสมบูรณ์ ด้วยสภาวะที่ได้เปรียบ จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการสร้างฐานอำนาจ เหมือนกับตระกูลจางและตระกูลหลัว

บางที อาจเป็นเพราะความต้องการที่จะป้องกันไม่ให้อำนาจจากภายนอกเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของพวกเขา แต่หลายชั่วคนมาแล้วที่ประชากรในพื้นที่นี้คัดค้านอย่างชัดเจนไม่ให้กลุ่มอำนาจจากภายนอกเข้ามาลงหลักปักฐานในเมืองนี้ ซึ่งรวมถึงสภาปรมาจารย์ด้วย ผลที่ได้ก็คือเมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่ไม่มีสาขาของสภาปรมาจารย์ตั้งอยู่

ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมืองหุบเขาเก็บเกี่ยวจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับการซ่อนตัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น

“ถึงสมาคมผู้หยั่งรู้จะช่วยปกปิดการปรากฏตัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ แต่พวกมันก็ยังต้องผ่านฉนวนของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ที่อาณาจักรใต้ดินก่อนจะเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ อาณาจักรใต้ดินทุกแห่งมีปรมาจารย์อารักขาอยู่อย่างเคร่งครัด เพราะฉะนั้น มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากผ่านเข้ามาได้แบบนี้?” จางเซวียนตั้งคำถาม

“ผมก็ว่ามันแปลก ผมสืบเสาะเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่แยกทางกับคุณและนายหญิง แต่ก็ยังหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ได้”

“คำตอบก็เห็นชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” หลัวลั่วชิงโพล่งออกมา “มีใครบางคนในสภาปรมาจารย์ช่วยเหลือพวกมัน”

จางเซวียนชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

อันที่จริงเขาก็มีคำตอบอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าที่จะเชื่อว่าเป็นแบบนั้น

การจะทำเรื่องแบบนี้ได้ บุคคลหรือกลุ่มคนที่ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจะต้องมีสถานภาพและตำแหน่งสูงพอควรในสภาปรมาจารย์

พวกเขาเป็นใคร? ทำไมถึงเลือกที่จะทรยศมวลมนุษย์?

ดูเหมือนคราวนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นจะมีเป้าหมายอยู่ที่ร่างกายท่อนบนของไอ้โหด ดูจากความมุ่งมั่นในการค้นหา พร้อมที่จะแบกรับความเสี่ยงโดยลักลอบเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์ และก็เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะรวบรวมชิ้นส่วนร่างกายส่วนอื่นๆของไอ้โหดเอาไว้แล้ว! จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด

การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะรวบรวมชิ้นส่วนของไอ้โหดไว้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จางเซวียนรู้สึกว่าเหตุผลในการทำแบบนี้ย่อมไม่ธรรมดา

เพราะถึงไอ้โหดจะเป็นหนึ่งในฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้น แต่ก็คงไม่จำเป็นต้องใช้นักปราชญ์โบราณมากขนาดนี้เพื่อปฏิบัติการตามหาร่างกายท่อนบนของมัน

เป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้มาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่น…แต่เป็นสิ่งที่เขายังคิดไม่ออกในเวลานี้

แต่ถึงอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าต่อไปเราจะต้องระแวดระวังสภาปรมาจารย์ให้มากขึ้น…จางเซวียนเคยคิดจะรายงานเรื่องนี้ต่อสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาคิดว่าเลื่อนออกไปก่อนน่าจะดีกว่า

เขายังไม่เคยไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ จึงไม่รู้ว่าสามารถไว้ใจใครได้ ถ้าข้อมูลนี้เข้าหูผิดคน ก็เป็นไปได้ว่าหายนะจะตามมา คนทรยศพวกนั้นอาจบิดเบือนข้อเท็จจริงบางอย่างเพื่อทำร้ายเขาก็ได้

สถานการณ์ตอนนี้สุ่มเสี่ยงมาก เก็บตัวเงียบไว้ก่อนน่าจะดีกว่า

ดูเหมือนว่าแม้แต่สภาปรมาจารย์ก็เชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว! เราจะต้องผนึกกลุ่มอำนาจต่างๆที่เรามีอยู่ในตอนนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยเร็วที่สุด – ตระกูลจาง ตระกูลหลัว ปูชนียสถานนักปราชญ์ สภายอดขุนพล…จางเซวียนคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเราอ่อนแอเกินไปหากเปรียบเทียบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นในตอนนี้

ไม่มีใครคาดคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจะเข้ามาแฝงตัวอยู่ในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ และเมื่อไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้ จางเซวียนจึงต้องพึ่งพาตัวเอง

สำหรับตอนนี้ เขาทำได้เพียงแค่พยายามรวบรวมอำนาจต่างๆที่เขามีอยู่ในมือให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และภาวนาว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะไม่เปิดการโจมตีเพื่อรุกรานทวีปแห่งปรมาจารย์ในเร็วๆนี้

“จางเซวียน ศพของนักปราชญ์โบราณมีของล้ำค่าอยู่มากมายนะ หมอนั่นน่าจะเพิ่งสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้ไม่นาน แต่ศพของมันก็ยังเป็นสิ่งที่คุณสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้” หลัวลั่วชิงพูด

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Status: Ongoing

ตอนที่ 1 – 2100 อ่านนิยาย

อ่านต่อเลือกตอนข้างล่าง


จางเซวียนข้ามไปอีกโลกหนึ่งโดยบังเอิญ ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นครูไปเสียแล้ว ซ้ำยังเป็นครูที่ไม่เก่งและกำลังจะถูกไล่ออกอีกด้วย ทว่าจางเซวียนกลับพบความลับอันยิ่งใหญ่ของร่างใหม่ร่างนี้ นั่นก็คือ… เขามีสมองเพชร! ในสมองของครูหนุ่มคนนี้แอบซ่อน ‘หอสมุด’ ขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จางเซวียนเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ล้วนถูกเก็บสู่คลังหนังสือในรูปแบบของสมุดเล่มหนึ่ง ก็ถ้าในเมื่อมีไอเท็มสุดยอดนี้อยู่กับตัวแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกเขาว่าครูกระจอกอีก?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท