ปูชนียสถานนักปราชญ์ถูกโจมตี
เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน หลัวลั่วชิงได้พาเขาไปยังแท่นสถาปนาเซียน และทั้งคู่ก็ได้เข้าสู่มิติลี้ลับซึ่งซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่นั้น พวกเขาได้พบลายมือปรมาจารย์ขงที่นั่น แต่หลัวลั่วชิงกลับมอบให้จางเซวียนโดยไม่ลังเล ทั้งยังพูดว่าเธอสามารถหามันได้อีกตราบเท่าที่เธอต้องการ
หลังจากนั้น เมื่อพวกเขาเข้าสู่พระราชวังชิวอู๋ เธอก็บอกว่าเธอกำลังตามหาทรัพย์สมบัติชิ้นหนึ่ง และไม่ได้สนใจใยดีกับมรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋เลย
มาตอนนี้ เธอก็ยังพูดถึงกรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงที่มีแต่ปรมาจารย์ขงเท่านั้นที่ทำสำเร็จ…เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปรมาจารย์ขง?
ไม่อย่างนั้น เธอจะรู้เรื่องของปรมาจารย์ขงมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเจอกับคำถามปุบปับของจางเซวียน หลัวลั่วชิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงและนิ่งเงียบ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏความวิงวอนในแววตาคู่นั้นขณะที่พูดว่า “อย่าถามหรือคาดเดาอะไรอีกเลย ฉันบอกคุณไม่ได้จริงๆ”
“แต่…” เห็นหลัวลั่วชิงไม่เต็มใจจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอ จางเซวียนอดรู้สึกคับข้องใจไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางทำอะไรได้กับเรื่องนี้ จึงได้แต่ถอนหายใจและพูดว่า “เอาเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่ซักไซ้อะไรอีก แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน อย่างน้อยที่สุด คุณจะบอกผมได้ไหมว่าชื่อจริงๆของคุณคืออะไร?”
หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็มองหน้าหลัวลั่วชิงอย่างร้อนใจ
ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะหลัวฉีฉีปิดบังชื่อจริงของเธอ เรื่องจึงลงเอยด้วยความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ เขาตั้งใจว่าจะไม่สร้างความผิดพลาดแบบเดิมอีก
ถึงหลัวลั่วชิงจะไม่เต็มใจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงก็ไม่เป็นไร ขอแค่เขารู้ชื่อจริงของเธอ เขาก็มั่นใจว่าในท้ายที่สุดจะต้องค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอจนได้
ในตอนแรก หลัวลั่วชิงไม่เต็มใจตอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของจางเซวียนก็ใจอ่อน เธอส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วตอบว่า “นั่นไม่ใช่ชื่อจริง”
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้เลย!
จางเซวียนจ้องหน้าหลัวลั่วชิงแล้วถามต่อ “ถ้าหลัวลั่วชิงไม่ใช่ชื่อจริงของคุณ แล้ว…”
เขารู้สึกแปลกๆอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อรู้ว่าไม่มีตระกูลหลัวอยู่ในรายชื่อตระกูลต่างๆของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และความจริงที่หลัวลั่วชิงเพิ่งบอกว่าตัวเองไม่ได้ใช้ ‘แซ่หลัว’ ก็อธิบายอะไรได้มาก
“อย่าถามอะไรให้มากกว่านี้อีกเลยนะ” หลัวลั่วชิงร้องขอ “ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับคุณ แต่ฉันพูดไม่ได้! ถ้าฉันพูด ไม่เพียงแต่ฉันที่จะต้องทุกข์ใจ แม้แต่คุณก็จะต้องเจอกับเรื่องเดือดร้อนสาหัส…”
“…ผมเข้าใจ ผมจะไม่ถามแล้ว”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลัวลั่วชิงพูดอะไรแบบนี้ ถึงจางเซวียนจะยังไม่แน่ใจว่าปัญหาแบบไหนที่พวกเขาจะต้องเผชิญ แต่เมื่อดูจากการที่เธอหวาดกลัวทั้งๆที่ตัวเองก็มีพละกำลังไม่น้อย ก็แปลว่าเรื่องนั้นน่าจะซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้
“เท่าที่ผมรู้ การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นไม่อาจเรียกเปลวเพลิงสวรรค์มาได้ แล้วปรมาจารย์ขงทำได้อย่างไร? เขาใช้ศาสตร์ลับพิเศษบางอย่างหรือเปล่า?”จางเซวียนรีบเปลี่ยนเรื่อง
โดยทั่วไป เมื่อนักรบฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 2-ร่างอันทรงเกียรติเท่านั้นที่เปลวเพลิงสวรรค์จะถูกเรียกมา เปลวเพลิงสวรรค์จะชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนในร่างกายของผู้นั้น เพื่อให้กำเนิดกายเนื้อที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปรมาจารย์ขงน่าจะใช้ศาสตร์ลับบางอย่างเพื่อเรียกเปลวเพลิงสวรรค์มาขณะที่อยู่ระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 1
เห็นจางเซวียนไม่ซักไซ้เรื่องตัวตนของเธออีก หลัวลั่วชิงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะตอบว่า “ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำได้อย่างไร แต่ฉันรู้ว่าจะค้นพบกรรมวิธีนั้นได้ที่ไหน”
“ที่ไหนล่ะ?”
ถ้าเขาพบศาสตร์ลับที่สามารถดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์มาบ่มเพาะร่างกายและการรับรู้จิตวิญญาณของเขาได้ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพการต่อสู้จะเพิ่มขึ้น ยังสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดในตัวได้ด้วย เท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว
“สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่” หลัวลั่วชิงตอบ “ในครั้งนั้น ตอนที่ปรมาจารย์ขงกำลังฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์ขึ้นแล้ว และในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่นั่นแหละที่ปรมาจารย์ขงค้นพบแรงบันดาลใจในการคิดค้นศาสตร์ลับ และประสบความสำเร็จในการยกระดับวรยุทธของเขาไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่”
“เพราะฉะนั้น หากคุณมุ่งหน้าไปที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ก็น่าจะพบศาสตร์ลับนั้น…”
หลัวลั่วชิงยังพูดไม่ทันจบ จางเซวียนก็เลิกคิ้ว เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราหยกสื่อสารก็มาอยู่ในมือของเขา
“เอ๊ะ?”
เห็นทีท่าของจางเซวียน หลัวลั่วชิงรู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ปูชนียสถานนักปราชญ์!” จางเซวียนเลิกคิ้ว
ข้อความบนตราหยกสื่อสารที่เขาเพิ่งได้รับนั้นมาจากปรมาจารย์จานแห่งปูชนียสถานนักปราชญ์
“ปูชนียสถานนักปราชญ์?” หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว
“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า เขารีบอ่านรายละเอียดและพูดว่า “มีใครบางคนบุกเข้าไปในปูชนียสถานฝ่ายใน ผมต้องไปตรวจสอบสักหน่อย!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน
“ฉันจะไปกับคุณด้วย” หลัวลั่วชิงพูด
“ได้สิ” รู้ดีว่าวรยุทธของคนรักของเขาน่าจะถึงขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว จางเซวียนจึงพยักหน้าโดยไม่ลังเล
ทั้งคู่รีบออกจากห้องโดยสารบนหลังของอสูรระดับเซียนบินได้
“ท่านหัวหน้า!” เห็นจางเซวียนกำลังจะจากไปอย่างปุบปับ หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆรีบเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องไปจัดการ!” จางเซวียนพูด
เขาไม่อาจเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาเป็นหัวหน้าปูชนียสถาน เพราะไม่อย่างนั้น ก็เท่ากับเปิดเผยว่าตัวเองคือจางเซวียน
“แต่ตระกูลจาง…” หลัวกั้นเจินอุทานด้วยความร้อนใจ
“ผมจะเดินทางไปตระกูลจางทันทีที่จัดการเรื่องราวที่นั่นเสร็จ พวกคุณไม่ต้องกังวล” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ
กลุ่มคนที่บุกเข้าไปในปูชนียสถานนักปราชญ์น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาไป คราวก่อนพวกนั้นหนีรอดไปได้ ซึ่งเขาก็ตั้งใจว่าจะไม่ให้เรื่องแบบเดิมเกิดขึ้นอีก
“แต่…” หลัวกั้นเจินขมวดคิ้ว
“พอที! นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีไว้หารือ ผมจะกลับมาให้ทันเวลาที่เราจะต้องรับมือกับพวกตระกูลจาง!” จางเซวียนโบกมืออย่างหมดความอดทน
จากนั้นเขาก็สะบัดข้อมือ และนำหอกออกมาชี้ตรงไปยังมิติที่อยู่ตรงหน้า
ฟึ่บ!
เกิดรอยแยกของมิติขึ้นตรงหน้าเขา จางเซวียนรีบผลุบเข้าไป มีหลัวลั่วชิงตามไปติดๆ
ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็หายวับไป
“นี่มัน…การทะลุผ่านรอยแยกแห่งมิติ?”
หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึง
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าท่านหัวหน้าเป็นทายาทตระกูลหลัวที่มีความเก่งกาจอย่างน่าทึ่ง เพราะคนธรรมดาสามัญย่อมไม่อาจทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ แต่เรื่องจริงก็ยังคงย้ำเตือนอยู่ว่าเขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเท่านั้น ทุกคนจึงยังรู้สึกว่าพละกำลังของหลัวเทียนหยายังไม่สูงส่งเท่าไหร่นัก
แต่สิ่งที่หัวหน้าตระกูลเพิ่งทำลงไปทำให้พวกเขารู้ทันทีว่าประเมินอีกฝ่ายต่ำไป
“เกิดอะไรขึ้น ท่านหัวหน้าถึงรีบร้อนขนาดนั้น?” หลัวชิงเฉินตั้งคำถาม
“ผมก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อท่านหัวหน้าให้คำมั่นชัดเจนแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อกันเถอะ! ความแค้นในใจผมจะไม่มีวันลบเลือนจนกว่าจะทำให้เจ้าจางเซวียนนั่นยอมคุกเข่าร้องขอความเมตตาได้” หลัวกั้นเจินคำรามด้วยแววตาเย็นเยียบ
ผู้อาวุโสคนอื่นๆพยักหน้ารับ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเดินทางสู่ตระกูลจาง แต่ไม่มีวันไหนที่จะรู้สึกกระตือรือร้นเท่ากับวันนี้เลย
ในที่สุด ตระกูลหลัวก็จะได้พบกับความรุ่งเรืองครั้งใหม่แล้ว!
…..
ฟึ่บ!
รอยแยกแห่งมิติเปิดออก จางเซวียนกับหลัวลั่วชิงกระโจนออกมา หลังจากเหลียวมองโดยรอบ ทั้งคู่ก็รู้ว่ามาถึงทางเข้าปูชนียสถานนักปราชญ์แล้ว
จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณในร่างของเขาและกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม เมื่อชำเลืองมองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าหลัวลั่วชิงสลัดการปลอมตัวของเธอออกแล้วเช่นกัน
ไม่ช้า ทั้งคู่ก็เข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์
“เกิดอะไรขึ้น?”
สิ่งแรกที่จางเซวียนรู้สึกได้เมื่อเข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็คือทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยเศษซาก ของอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่พังทลาย มีหลุมมีรูนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ทุกแห่ง ราวกับปูชนียสถานนักปราชญ์เพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างหนักหน่วงมา
“มีรังสีของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…” จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ เขาตรวจสอบพื้นที่โดยรอบและพบเจตนาสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นพร้อมกับรังสีของเหล่าปรมาจารย์หลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้น
เห็นได้ชัดว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นบุกรุกมาที่ปูชนียสถานนักปราชญ์และเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น
“ท่านหัวหน้า คุณกลับมาแล้ว!”
ขณะที่จางเซวียนกำลังสำรวจพื้นที่โดยรอบ ปรมาจารย์จาน ปรมาจารย์เก่อ และผู้อาวุโสของปูชนียสถานนักปราชญ์อีกหลายคนก็บินมา
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” จางเซวียนถามอย่างเคร่งเครียด
“เรียนท่านหัวหน้า เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นบุกรุกปูชนียสถานนักปราชญ์ของเราและเข้าไปถึงปูชนียสถานฝ่ายใน…”ปรมาจารย์จานประสานมือพร้อมกับรายงานด้วยแววตาที่ยังคงความกังขา “แต่พวกมันจากไปพร้อมกับรูปปั้นของนักปราชญ์ขุยเท่านั้น ไม่ได้นำสิ่งอื่นไปเลย และไม่ได้สังหารใครด้วย ทั้งหมดที่พวกมันทำก็คือทำลายอาคาร 2-3 หลังและสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ขึ้นก่อนจะหลบหนี”
“พวกมันขโมยรูปปั้นของนักปราชญ์ขุย? เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตาเมื่อนึกได้
เขากำหมัดแน่นขณะพึมพำ “หรือพวกมันมาที่นี่เพื่อ…ร่างกายท่อนบนของไอ้โหด?”