ตัวปลอม!
เท่าที่ดูจากรูปลักษณ์และรังสีของจิตวิญญาณ เจียงเฟยเฟยก็ไม่อาจระบุได้ว่าใครเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม เธอจึงต้องใช้บทสนทนาระหว่างเธอกับท่านพ่อเป็นตัวตัดสิน
“เจ้าพูดว่า…” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจียงฟังโหย่วกำลังจะพูดคำตอบของเจียงเฟยเฟยออกมา ก็พอดีกับที่เสียงหนึ่งขัดขึ้น
“เจ้าพูดว่า ‘ฉันไม่อยากแต่งงานกับจางเซวียนคนนั้น เขาก็ดีแต่คุยโวโอ้อวดถึงพละกำลังของตัวเองและทำลายความมั่นใจของใครต่อใครไปทั่ว อีกอย่าง เขาถึงกับปฏิเสธแม้แต่องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลัว ปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชนเลยด้วย เขาไม่ใส่ใจความรู้สึกหรือเกียรติยศศักดิ์ศรีของใครเลย!”
“คือ…” เจียงเฟยเฟยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ใช่ ฉันพูดแบบนั้นจริงๆ…”
“…”
ร่างของเจียงฟังโหย่วถึงกับกระตุกอีกครั้ง ในตอนนั้น เขารู้สึกราวกับว่าไอ้หัวขโมยเข้ามาสิงในหัวสมองของเขาและขโมยความทรงจำของเขาไป
นั่นคือคำพูดที่ลูกสาวของเขาพูดกับเขาก่อนหน้านี้ แล้วหมอนั่นถ่ายทอดออกมาอย่างถูกต้องได้อย่างไร?
เจียงฟังโหย่วคำรามกร้าวพร้อมกับเส้นเลือดที่บนขมับที่ปูดโปน “ไม่ใช่แล้วล่ะ มันไม่ถูกต้อง…ก่อนหน้านี้คุณซ่อนตัวอยู่ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผมกับเฟยเฟยพูดอะไรกัน?
เขากำลังจะจับตัวหัวขโมยที่เข้าไปกวาดทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียง แต่ทุกอย่างก็ผิดเพี้ยนไปจนเกินจะควบคุม ถึงขั้นที่แม้แต่ตัวเขาก็เริ่มสงสัยในตัวตนของตัวเอง ไม่มีคำไหนจะใช้พรรณนาความรู้สึกที่เจียงฟังโหย่วรู้สึกตอนนี้ได้
“ผมก็พูดได้เหมือนกันว่าก่อนหน้านี้คุณซ่อนตัวอยู่!” จางเซวียนคำรามเยาะ “เอาล่ะ เลิกปะทะคารมอย่างไร้สาระและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณออกมาเสียที! ไม่อย่างนั้น ถ้าพวกเราโจมตีพร้อมกันล่ะก็ ชะตาเดียวที่รอคุณอยู่ก็คือความตาย!”
“ผม…”
ได้ยินคำนั้น เจียงฟังโหย่วตัวสั่นด้วยความร้อนรน เขาอยากจะปฏิเสธ แต่ไม่อาจหาคำไหนมาโน้มน้าวการโต้แย้งให้กลับมาเข้าข้างเขาได้
ทุกอย่างไม่เป็นใจให้เขาเลย เหล่าผู้อาวุโสไม่เชื่อเขา และเขาก็ไม่มีตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลหรือสัญลักษณ์ใดๆที่จะยืนยันตัวตนของตัวเอง หากพวกนั้นรวมหัวกันเล่นงานเขาล่ะก็ เขาต้องไม่รอดแน่
และกรณีเลวร้ายที่สุด อาจถึงกับต้องเสียชีวิตเลยทีเดียว
“เอาล่ะ ผมขอพูดอะไรเพื่อความชอบธรรมสักหน่อย”
ขณะที่เจียงฟังโหย่วกำลังอับจนถ้อยคำและไม่รู้จะทำอย่างไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้อาวุโส จากนั้นชายชราคนหนึ่งก็เดินออกมา
จางเซวียนชำเลืองมองและเห็นว่าอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสฟังอวิ๋นของตระกูลเจียง
แม้สถานภาพของเขาภายในตระกูลจะไม่สูงส่งนัก แต่ก็เป็นผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพอย่างสูง และคำพูดของเขาก็ถือว่ามีน้ำหนักมาก ก่อนหน้านี้จางเซวียนได้ให้คำชี้แนะกับเขาเช่นกัน
“ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นพูดมาได้เลย” จางเซวียนประสานมือ
“อือ!” ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นพยักหน้า ด้วยแววตาที่ดูซับซ้อน เขาพูดว่า “เมื่อครู่นี้คุณได้ให้คำชี้แนะกับวรยุทธของพวกเรา เราตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วน และคำพูดของคุณก็พุ่งตรงเข้าสู่ใจกลางของวรยุทธแห่งจิตวิญญาณ อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นการพูดเกินไปหากจะกล่าวว่าคำพูดของคุณปราศจากข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง ผมยินดีมากที่ได้คุณมาเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเรา ภายใต้การนำของคุณ ไม่ช้าไม่นานตระกูลเจียงของเราจะต้องเหนือชั้นกว่าตระกูลหลัวและตระกูลจางแน่…แต่น่าเสียดายที่คุณไม่ใช่!”
“ผมไม่ใช่?” จางเซวียนถึงกับชะงัก “ผมคือเจียงฟังโหย่วตัวจริง…”
ผู้อาวุโสฟงอวิ๋นยกมือขึ้นเพื่อยับยั้งจางเซวียน “พูดกับคุณตามตรงนะ ไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้ เหล่าผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็รู้กันทั้งนั้น พวกเรารู้จักหัวหน้าตระกูลเจียงฟังโหย่วมาอย่างน้อยก็ร้อยปีแล้ว และรู้ดีถึงขีดจำกัดของความสามารถของเขา…การที่มองเห็นข้อบกพร่องของพวกเราและแก้ปัญหาได้อย่างไร้ที่ตินั้น เขาไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้นหรอก! ถ้าเขาทำได้แบบนั้นจริง ตระกูลเจียงของเราคงไม่ต้องรั้งท้ายในบรรดาสามตระกูลชั้นนำ…”
“ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นพูดถูก เจียงฟังโหย่วเป็นคนดี แต่ความสามารถของเขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่น!
“คุณเก่งกาจกว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเรามาก!”
ทันทีที่ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นเริ่ม ผู้อาวุโสอีก 2-3 คนต่างก็ส่งเสียงแสดงความเห็นพ้อง
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความธรรมดาสามัญของเขา เจียงฟังโหย่วแทบอยากจะหาที่ซุกซ่อน
นี่มันนรกอะไร! พวกคุณมองผมแบบนี้เองหรือ? ผมไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่น? ดีล่ะ ผมจะจำไว้! เดี๋ยวเราจะต้องคุยกัน!
อย่างน้อยที่สุด พวกคุณก็ไม่ควรดูถูกผมต่อหน้าคนแปลกหน้าไม่ใช่หรือ?
เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เขาจนปัญญาในการจะพิสูจน์ตัวตนของตัวเองต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส แต่สุดท้ายพวกนั้นก็จดจำเขาได้ว่าเป็นหัวหน้าตระกูลตัวจริง แต่แทนที่จะดีใจ เขากลับรู้สึกว่าหัวใจถูกธนูนับดอกไม่ถ้วนยิงเข้าใส่จนพรุนไปหมด
ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกย่ำแย่ เขาเห็นเจียงเฟยเฟยพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “ความสามารถของท่านพ่อของฉันออกจะอ่อนด้อยไปสักหน่อย ไม่มีทางที่เขาจะระบุทุกอย่างแบบที่คุณพูดมาได้หรอก!”
เจียงฟังโหย่วยกมือกุมหน้าอก
พ่อรู้ว่าเจ้าพยายามจะหว่านล้อมเหล่าผู้อาวุโส แต่ก็ไม่น่าจะพูดอะไรที่บาดใจขนาดนี้!
มันเรื่องอะไรพ่อถึงมีลูกสาวแบบเจ้า?
เมื่อครู่นี้เองที่เจียงฟังโหย่วยังรู้สึกผิดที่ข่มขู่ลูกสาวของเขาเรื่องการเข้าพิธีแต่งงาน แต่ในเมื่อแม้แต่เจียงเฟยเฟยก็ยังดูจะไม่เคารพเขามากนัก เขาก็พลันรู้สึกว่าการจับเธอแต่งงานกับจางเซวียนก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่สักเท่าไหร่
ขณะที่เจียงฟังโหย่วกำลังเจ็บปวดหัวใจถึงขีดสุด จางเซวียนก็ได้แต่อึ้งตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้า
เขาคิดว่าคงสามารถเอาชนะใจฝูงชนของตระกูลเจียงได้ด้วยการชี้ข้อบกพร่องและบอกวิธีแก้ไขปัญหาของพวกเขา แต่กลับกลายเป็นว่านั่นคือกุญแจที่ทำให้พวกนั้นรู้ว่าเขาเป็นตัวปลอม…
การเป็นคนโดดเด่นนั้นมีชีวิตที่ยากเย็นจริงๆ ต่อให้พยายามปกปิดตัวเองสักแค่ไหน ใครๆก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ดี
ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ฉายแสงเหมือนกับหิ่งห้อยยามค่ำคืน โดดเด่นและเห็นชัดแต่ไกล…
“การที่คุณสามารถให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณแก่พวกเราและระบุรายละเอียดได้โดยปราศจากข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย…ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณคงได้อ่านหนังสือทั้งหมดในคลังหนังสือตระกูลเจียงแล้วใช่ไหม? และเมื่อครู่นี้ ปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษก็เกิดขึ้น คุณใช่ไหมที่เป็นผู้สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ?” เจียงฟังอวิ๋นตั้งคำถาม
ถึงเขาจะถูกเปิดโปงแล้ว แต่ก็ดูไม่เหมือนว่าผู้อาวุโสของตระกูลเจียงตั้งใจจะต้อนเขาให้จนมุม จางเซวียนจึงพยักหน้าและยอมรับ “ใช่!”
“สามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณและมีความเข้าใจล้ำลึกในตระกูลเจียงของเรา คุณเป็นสมาชิกจากครอบครัวสาขาของตระกูลเจียงหรือเปล่า?” เจียงฟังอวิ๋นถามด้วยความสงสัย
พวกเขากำลังนึกถึงอัจฉริยะชั้นยอดที่ปรากฏตัวในตระกูลหลัว-หลัวเทียนหยา!
ทั้งที่มาจากครอบครัวสาขา แต่หลัวเทียนหยาก็สามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นกับพวกเขา?
ไม่อย่างนั้น อีกฝ่ายจะเข้าใจพวกเขาและเทคนิควรยุทธที่พวกเขาฝึกฝนอย่างล้ำลึกได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินคำถามนั้น จางเซวียนถึงกับไปไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนั้นอย่างไร
“อันที่จริง ไม่ว่าคุณจะมาจากครอบครัวสาขาหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ ก็หมายความว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของพวกเรา อีกอย่าง คุณก็ทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ ทั้งยังควบคุมค่ายกลอารักขาของพวกเราได้ด้วย!”
เจียงฟังโหย่วนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขาก้าวออกมาประสานมือและโค้งคำนับ “ดังนั้น…ผมจึงหวังว่าคุณจะจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลตัวจริงของพวกเรา และนำพาตระกูลเจียงของเราผ่านวิกฤตการณ์ที่รอคอยอยู่ตรงหน้าไปได้!”
“….” จางเซวียนถึงกับผงะกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน
เขาต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะโต้ตอบได้ เขาส่ายหน้าและพูดว่า “บอกตามตรงนะ ผมไม่ได้มาจากตระกูลเจียง!”
หากเขาเป็นสมาชิกจากครอบครัวสาขาของตระกูลเจียงก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลเจียงเลย
“คุณไม่ได้มาจากตระกูลเจียงหรือ?”
ทุกคนพากันชะงัก
“ก็ไม่เป็นไร นั่นไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรมากนักหรอก ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งจิตวิญญาณของตระกูลเจียงได้ก็หมายความว่าคุณมีสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาดกับตระกูลเจียงของเรา…ทำไมคุณถึงไม่แต่งงานกับเฟยเฟยล่ะ? ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นหัวหน้าตระกูลของเรา!” ผู้อาวุโสฟังอวิ๋นยื่นข้อเสนอ
“ไม่มีทาง!” นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสฟังอวิ๋นจะลากเธอเข้าสู่การแต่งงานอย่างง่ายๆแบบนี้ เจียงเฟยเฟยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
นอกจากความจริงที่ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเธอปลอมตัวเป็นท่านพ่อของเธอแล้ว เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครและอายุมากขนาดไหน จะให้เต็มใจแต่งงานกับคนแปลกหน้ากันโดยสิ้นเชิงคนนี้นี่นะ?
“ผู้อาวุโสฟังอวิ๋น คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว ผมพร้อมที่จะเจรจากับพวกคุณเรื่องที่จะขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเจียง แต่สำหรับการแต่งงานกับเธอนั้น…ลืมได้เลย!”
ถ้าตระกูลเจียงไม่ถือสาหาความกับการที่จะมีคนนอกมาเป็นหัวหน้าตระกูล เขาก็จะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา
เจียงฟังโหย่วมีความสัมพันธ์บางอย่างกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น แต่ในฐานะตระกูลที่มีมรดกตกทอดนับถอยหลังไปได้หลายหมื่นปี ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่ทั้งตระกูลจะทรยศมวลมนุษย์กันหมด น่าจะเป็นเพราะแกะดำเพียง 2-3 ตัวที่ซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ไม่อย่างนั้น สภาปรมาจารย์ก็น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หากตระกูลเจียงทรยศมวลมนุษย์จริงๆ การเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเจียงของเขาจะช่วยผลักดันให้ทุกคนกลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องและยับยั้งการกระทำที่จะเป็นการทำร้ายมวลมนุษย์ได้
“คุณพูดว่า…ลืมมันเสียเถอะ? คุณหมายความว่าอย่างไร?” เจียงเฟยเฟยถึงกับปรี๊ด ฉันยังไม่ได้พูดบทของฉันเลย คุณก็พรวดพราดรีบปฏิเสธฉันเสียแล้ว…