คำขอของหลัวเทียนหยา
“ท่านหัวหน้าของเรา…สู้จางเซวียนไม่ได้!” หลัวกั้นเจินตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าอับจนหนทาง
“คุณพูดถูก เห็นชัดว่าจางเซวียนอ่อนข้อให้หัวหน้าของเรา ไม่อย่างนั้น เขาคงเอาชนะหัวหน้าได้ภายใน 20 กระบวนท่าแล้ว” หลัวชิงเฉินพยักหน้า
ไม่นานหลังจากหลัวชิงเฉินพูดจบ หลัวเทียนหยาที่กำลังหายใจหอบก็ประกาศด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “ผมยอมแพ้!”
ดูเหมือนตัวเขาเองก็ไม่อยากยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“พี่หลัว อย่าเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย อันที่จริงประสิทธิภาพการต่อสู้ของเราสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่…” จางเซวียนเดินเข้าหาหลัวเทียนหยาด้วยสีหน้าที่ปราศจากความยินดีในชัยชนะ เขาพูดกับอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ดูจริงใจ “ทำไมเราถึงไม่ให้การดวลครั้งนี้เสมอกันล่ะ?”
“แพ้ก็คือแพ้สิ! ถ้าเรื่องแค่นี้ผมยังยอมรับไม่ได้ ก็ควรจะเปลี่ยนไปใช้แซ่จางเสียเลย!” หลัวเทียนหยาตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งทระนง “แต่ก็ต้องขอบอกว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของผมนั้นเป็นเหตุผลส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่าแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวด้อยกว่าแก่นสารเรื่องเวลาของตระกูลจางของคุณนะ แต่มันเป็นเพราะผมอ่อนด้อยเกินกว่าที่จะสำแดงพละกำลังที่แท้จริงของมันออกมา!”
“เอาเถอะ พี่หลัว” จางเซวียนตอบ “มิติกับเวลาถือเป็นอำนาจที่ทัดเทียมกันอยู่แล้ว การจัดลำดับขั้นของมันนั้นไม่มีประโยชน์ และผมก็ไม่มีเจตนาที่จะดูถูกตระกูลหลัวด้วย พูดตามตรงนะ ผมยำเกรงในตระกูลหลัวของคุณมาก อันที่จริง เหตุผลหลักที่ผมเอาชนะได้ก็เป็นเพราะความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวที่ผมมีนั้นเหนือชั้นกว่าพี่เท่านั้นเอง!”
“คุณหมายความว่าอย่างไร?” หลัวเทียนหยาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ผมเชื่อว่าพี่หลัวคงบอกได้ว่าผมเองก็เชี่ยวชาญในแก่นสารของมิติเช่นกัน” จางเซวียนพูด
“เอ่อ…” หลัวเทียนหยาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้ “ก็จริง ทำไมคุณถึงสามารถใช้พละกำลังของแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวได้ล่ะ?”
“ผู้ก่อตั้งตระกูลหลัวสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติก็จริง แต่ที่มาของความเข้าใจเรื่องนี้สามารถนับถอยหลังไปได้จนถึงนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ ผมบังเอิญได้รับมรดกตกทอดของนักปราชญ์ชิวอู๋มาเพราะความโชคดี นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ” จางเซวียนตอบ
“นักปราชญ์โบราณชิวอู๋?” หลัวเทียนหยาตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
“นี่คืออาณาจักรโบร่ำโบราณที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋ทิ้งไว้” จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วลูกคริสตัลทรงกลมก็มาอยู่ในมือของเขา มันแผ่รังสีของมิติลี้ลับออกมา
หลัวเทียนหยาทาบฝ่ามือลงบนลูกบอลคริสตัลนั้น ร่างของเขาสั่นสะท้าน ความอิจฉาตาร้อนฉายวาบในส่วนลึกของดวงตา “มันเป็นของล้ำค่าที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋ทิ้งไว้จริงๆ…ผมต้องบอกว่าน้องจางช่างโชคดีเหลือเกิน!”
“ฮ่าฮ่า ผมได้มันมาด้วยความบังเอิญหรอก เหตุผลที่น้อยคนในตระกูลหลัวสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิตินั้นไม่ใช่เพราะขาดความปราดเปรื่อง แต่เป็นเพราะมรดกตกทอดที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคนนั้นขาดความสมบูรณ์” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับหัวเราะหึๆ “ที่พระราชวังชิวอู๋แห่งนี้ ผมได้พบศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋คิดค้นขึ้น วันนี้ผมจะมอบมันให้กับพี่หลัว ผมเชื่อว่ามีแต่เมื่อมันอยู่ในมือของพี่เท่านั้นที่จะก่อเกิดคุณค่าอย่างแท้จริง”
หลัวเทียนหยามองลูกบอลคริสตัลในมือของเขาและรีบส่ายหน้า “ผมจะรับของล้ำค่าขนาดนี้จากคุณได้อย่างไร?”
ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ไม่อยากได้มรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณ
แล้วชายหนุ่มมายื่นให้เขาง่ายๆแบบนี้…ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินกว่าที่เขาจะรับได้
ในเวลาเดียวกัน หลัวกั้นเจินกับผู้อาวุโสคนอื่นๆของตระกูลหลัวก็มองหน้ากันอย่างงงงัน
เป็นความจริงที่ว่ามรดกตกทอดของตระกูลหลัวมีต้นกำเนิดมาจากนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ ดังนั้นหากพวกเขาได้ศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์มา ก็คงจะเพิ่มพูนความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติได้อีกมาก ต่อให้ไม่สามารถสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติได้ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็คงเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายขั้น
เพียงแต่…ทั้งสองตระกูลมีความขัดแย้งกันอยู่ อันที่จริง เหตุผลที่พวกเขามาเยือนที่นี่ก็เพื่อจะเล่นงานจางเซวียน แต่ไม่เพียงอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจความขุ่นเคืองของพวกเขา ยังถึงกับมอบของขวัญล้ำค่าให้ด้วย
ในตอนนั้น ฝูงชนพลันรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตัวเอง
“อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธเลยพี่หลัว ให้ผมพูดให้จบก่อน”
จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังไว้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ผมเชื่อว่าพี่หลัวคงได้ข่าวเรื่องการค้นพบภาพลวงตาของวิหารแห่งขงจื๊อที่ชูฝู่แล้ว ซึ่งตามข่าวนั้น ก็แน่นอนว่าวิหารของจริงคงจะปรากฏในอีกไม่ช้า!”
“ใช่” หลัวเทียนหยาพยักหน้า
“100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้พยายามเข้าท้าทายพวกเรา การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นมีเจตนาที่เห็นได้ชัดเจน คือหวังว่าจะได้เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ครั้งนี้พวกเขาอาจล้มเหลว แต่ในเมื่อมีมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงเป็นเดิมพัน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ คนเหล่านั้นคงจะพยายามทำอะไรบางอย่างอีก และที่สำคัญกว่านั้น ตระกูลจางของเรายังได้พบหลักฐานว่าผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ลักลอบเข้ามายังทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว อันที่จริง ผมได้ข่าวจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ว่าในเวลานี้ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้เป็นตำนานตัวนั้นก็อยู่ในหมู่พวกเรา!” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งเครียด
“ตอนนี้มวลมนุษย์อยู่ในสภาวะที่ล่อแหลมมาก การอยู่รอดของพวกเราถือเป็นเดิมพัน หากพวกเราแต่ละตระกูลแยกกันต่อสู้ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ ก็คงจะเป็นหายนะไม่เพียงแต่กับตระกูลของพวกเรา แต่เป็นหายนะของมนุษย์ทั้งหมดด้วย ในเวลาแบบนี้ พวกเราไม่ควรแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า เราควรรวมตัวกันเป็นหนึ่งและร่วมมือกันเอาชนะบททดสอบครั้งนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น ผู้ที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็จะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!”
ได้ยินคำนั้น หลัวเทียนหยาเงียบไป
“เหตุผลที่ 3 ตระกูลชั้นนำยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งอยู่ได้ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีก็เพราะพวกเราไม่ลังเลที่จะรวมตัวกันเมื่อต้องเผชิญกับข้าศึกที่แข็งแกร่งกว่า ผมรู้ว่าผมได้ทำผิดกับตระกูลหลัวของคุณเอาไว้มากเมื่อครั้งงานหมั้น แต่ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เหตุการณ์กลับกลายเป็นแบบนั้นเลย เรื่องของความรู้สึกนั้นบังคับกันไม่ได้!”
“ลั่วชิงกับผมได้สาบานเอาไว้ว่าจะใช้อนาคตร่วมกัน หากผมแต่งงานกับหยู่ชิงโดยที่หัวใจของผมไม่ได้อยู่กับเธอ ไม่ช้าไม่นานการแต่งงานก็คงจะกลายเป็นฝันร้าย ลงท้ายผมก็มีแต่จะทำให้ทั้งตัวเธอและตระกูลหลัวต้องผิดหวัง ผมรู้ดีว่าเป็นความผิดของผมที่จัดการเรื่องราวต่างๆอย่างไม่เหมาะสมและรู้สึกผิดอย่างมากที่ทำให้หยู่ชิงกับตระกูลหลัวต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน… เพราะฉะนั้น ได้โปรดรับเอาศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าและพระราชวังชิวอู๋นี้เป็นสัญลักษณ์แทนคำขอโทษของผมด้วย ผมต้องขอร้องพี่หลัวว่าอย่าปฏิเสธผมเลย ไม่อย่างนั้น เรื่องนี้จะตามหลอกหลอนผมไปชั่วชีวิต…” จางเซวียนพูด
“น้องจางช่างมีน้ำใจ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมก็จะไม่ปฏิเสธละนะ” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลัวเทียนหยารับลูกบอลคริสตัลมาและเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
…..
“มาคิดดูอีกที ก็ดูเหมือนเจ้าหนุ่มนั่นจะทำผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนาเลยจริงๆ…”
“หากเขาเลือกที่จะแต่งงานกับองค์หญิงน้อยในวันนั้น ผมก็คงต้องแคลงใจแล้วล่ะ เพราะถ้าเขาทิ้งคนรักของตัวเองได้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่อไปเขาก็คงทิ้งองค์หญิงน้อยได้เหมือนกัน!”
“พวกเราตีโพยตีพายกับเรื่องนี้เกินกว่าเหตุหรือเปล่า?”
“ขณะที่เราสนใจแต่เกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของตัวเอง เขากลับมองไปที่ชะตากรรมของมวลมนุษย์และมีความคิดที่สูงส่งกว่าพวกเรามาก ช่างเป็นคนที่น่านับถือจริงๆ”
ฝูงชนจากตระกูลหลัวที่ซ่อนตัวอยู่ต่างเงียบไป ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความละอาย
พวกเขาสนใจแต่กับเรื่องของตระกูลหลัวจนไม่ได้มองจากมุมมองอื่น ถ้าจางเซวียนเป็นคนไร้หัวใจจริงๆ ต่อให้เขาแต่งงานกับองค์หญิงน้อย แล้วเขาจะมอบความสุขให้เธอได้หรือ?
แน่นอนว่าไม่!
“ขอบคุณมาก พี่หลัว” จางเซวียนโค้งคำนับด้วยความสำนึกในบุญคุณ
“ผมจะแจ้งเจตนาของคุณให้ตระกูลหลัวรับทราบและอธิบายแทนคุณด้วย” หลัวเทียนหยาพูด ตอนนี้ เขาก้มหน้าลงครุ่นคิด ดูเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ประสานมือและพูดว่า “น้องจาง มีบางอย่างที่ผมอยากจะขอร้องคุณ”
“พี่หลัวพูดมาเลย!” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ถ้าเป็นสิ่งที่ผมทำได้ ผมจะช่วยพี่อย่างเต็มที่!”
“มีบางอย่างที่ค้างคาใจผมมานานแล้ว และผมคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะทําให้มันจบสิ้นเสียที ไม่ว่าผมจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ดูเหมือนว่าต่อไปผมคงไม่อาจกลับสู่ตระกูลหลัวได้อีก ถึงผมจะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัวได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็ไม่อยากเห็นตระกูลหลัวต้องเสื่อมถอยหากผมหายตัวไป…” หลัวเทียนหยาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ดูเหมือนว่าคุณไม่อาจกลับสู่ตระกูลหลัวได้อีก? พี่หลัว คุณตั้งใจจะเข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณ หรือจะไปล้างแค้น? หากคุณต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ แค่บอกผมมาคำเดียว…” จางเซวียนชะงักและรีบตอบหลัวเทียนหยา
“น้องจาง ผมขอบคุณในเจตนาดีของคุณ แต่นี่เป็นธุระส่วนตัวของผม ผมจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง แม้เส้นทางที่ผมพูดถึงอาจลงเอยด้วยความตาย แต่ผมก็เต็มใจที่จะเดินไปตามเส้นทางนั้น!” หลัวเทียนหยาส่ายหน้าและตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เรื่องที่ผมอยากฝากฝังให้น้องจางช่วยเหลือน่ะไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”
จางเซวียนขมวดคิ้ว
หลัวเทียนหยาสูดหายใจลึกก่อนจะสะบัดข้อมือและนำตราสัญลักษณ์อันหนึ่งออกมา มันคือตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลหลัว
“น้องจาง ผมหวังว่าคุณจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัวแทนผม!”
“คุณอยากให้ผมรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว?” จางเซวียนตัวสั่นด้วยความประหลาดใจ เขารีบโบกมือและร้องออกมา “ผมจะทำแบบนั้นได้อย่างไร?”