ไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่กันเถอะ!
ตระกูลหลัวตบเท้ามาด้วยความกระหายที่จะหยามศักดิ์ศรีของจางเซวียนและตระกูลจาง แต่ยังไม่ทันจะได้เกิดอะไรขึ้น พวกนั้นก็ยอมรับจางเซวียนเป็นหัวหน้าตระกูลเสียแล้ว…สมองของพวกตระกูลหลัวยังปกติดีอยู่หรือเปล่า?
ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงทำอะไรที่โง่เง่าแบบนี้ได้?
“ผมก็ไม่รู้รายละเอียด แต่ได้ยินมาว่า…” ผู้อาวุโสชะงักไป เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจะเป็นความจริงหรือเปล่า จึงไม่รู้ว่าควรรายงานต่อไปหรือไม่
“พูดออกมาสิ มันคืออะไร?” เซียนดาบชิงตั้งคำถามอย่างจริงจัง
“ร่ำลือกันว่าเมื่อวานนี้หัวหน้าตระกูลของเราเดินทางไปเยือนตระกูลเจียง และไม่นานหลังจากนั้น พวกตระกูลเจียงก็จัดพิธีสถาปนาเขาขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล!”
“….” เซียนดาบชิง
“….” เซียนดาบเหมิง
ใครบอกได้ว่าได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ทั้งตระกูลเจียงกับตระกูลหลัวยอมรับคนตระกูลจางให้เป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขา…
สมองของพวกตระกูลเจียงผิดเพี้ยนไปด้วยหรือเปล่า?
หรือว่ามีโรคติดต่ออะไรบางอย่างในหมู่ชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์? บางทีเราควรจับตาเรื่องนี้ให้ดี
เซียนดาบชิงเหมิงถึงกับสับสนไปครู่หนึ่ง ทั้งคู่เข้าใจทุกคำที่ผู้อาวุโสพูด แต่เมื่อนำทุกคำมาปะติดปะต่อกัน ก็เกิดเป็นเรื่องราวที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้
ไม่ใช่เฉพาะเซียนดาบชิงเหมิงที่สับสน ทุกคนในตระกูลจางก็จังงังเมื่อได้ยินข่าวนั้น
สีหน้าอึ้งตะลึงปรากฏบนใบหน้าของสมาชิกตระกูลจางทุกคนขณะที่ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าตระกูลของพวกเรา…ช่างแน่นอนจริงๆ!
กลายเป็นหัวหน้าของสามตระกูลชั้นนำ…นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์!
ไม่ช้าข่าวนี้ก็แพร่ไปถึงตระกูลหลัว ทุกคนต่างจังงังกับเรื่องราวที่ได้รับรู้
หลัวชวนฉิงกำลังอยู่ระหว่างการฝึกฝนความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติตอนที่ได้ยินข่าวนั้น
พลั่ก!
เขาทรุดฮวบลงกับพื้น นัยน์ตาเหลือกลานขณะที่สลบไป
ใครบอกเราได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
หัวหน้าตระกูลกับเหล่าผู้อาวุโสเดินทางไปที่นั่นเพื่อแก้แค้นไม่ใช่หรือ?
หรือนี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการแก้แค้น?
…..
“ในที่สุดทุกอย่างก็คลี่คลายเสียที!”
จางเซวียนไม่ได้รับรู้ถึงความอึกทึกครึกโครมที่เขาก่อขึ้น เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและกลับเข้าห้อง
ตราบใดที่ความขัดแย้งกับตระกูลหลัวยังไม่ได้รับการคลี่คลาย มันก็จะกลายเป็นหนามที่คอยทิ่มตำเขาอยู่อย่างนั้น เพราะไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องปลุกตัวโคลนขึ้นมาและสร้างสถานการณ์ทั้งหมดต่อหน้าตระกูลหลัว เกิดเป็นเหตุการณ์ที่หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆได้เห็น
การกระทำของเขาอาจไม่ถือว่าถูกต้องชอบธรรมนัก แต่ด้วยสถานการณ์ของโลกในเวลานี้ เขาไม่มีทางเลือก ขอแค่เขาแก้ไขความขัดแย้งกับตระกูลหลัวและทำให้คนพวกนั้นเต็มใจผนึกกำลังกับตระกูลจางและตระกูลเจียงเพื่อรับมือกับวิกฤตที่รออยู่ได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
เขาออกไปข้างนอกทั้งวัน แต่ก็ได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่กลับมา
เขาได้ฝึกฝนแก่นสารของจิตวิญญาณ ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณจนถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติ หลอมศพของนักปราชญ์โบราณให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ ได้หน้าหนังสือสีทองมาอีกหน้าหนึ่ง และที่สำคัญกว่านั้น กลายเป็นหัวหน้าของสองตระกูลชั้นนำด้วย…
ช่างเป็นวันที่ทุกอย่างสำเร็จและบังเกิดผลมากมายจริงๆ!
“ในเมื่อตอนนี้เรามีเวลาว่างแล้ว ก็ควรจะพัฒนาจิตวิญญาณต้นกำเนิดระดับร่างอันทรงเกียรติของเราให้เข้าถึงขั้นโลกจารึก”
จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาเปิดใช้งานค่ายกลที่อยู่รอบห้องเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาแอบดู ก่อนที่จะถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกมาอีกครั้ง
หลังจากที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับการบ่มเพาะจากการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็สำเร็จถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ก็ยังอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะเข้าถึงขั้นโลกจารึก
ในเมื่อตอนนี้พอมีเวลา จึงเป็นเรื่องดีที่เขาควรจะรีบทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้น ช่องว่างระหว่างตัวเขากับตัวโคลนก็มีแต่จะทำให้เขาต้องรู้สึกแย่มากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะร่างต้นแบบจะอ่อนด้อยกว่าตัวโคลนได้อย่างไร?
เป็นเรื่องน่าเสียศักดิ์ศรีขนาดไหนที่ร่างต้นแบบต้องถูกตัวโคลนดูถูกดูแคลนแบบนี้?
จางเซวียนนำทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธออกมา 2-3 อย่าง จากนั้น จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็เริ่มซึมซับพลังจิตวิญญาณอย่างดุเดือด
…..
4 ชั่วโมงต่อมา…
จิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งดวงของจางเซวียนเปล่งประกายเจิดจ้าสีทอง ราวกับทำจากทองคำแท้
“ในที่สุดเราก็เข้าถึงขั้นโลกจารึกแล้ว…” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น
มันออกจะเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จหลังจากฝึกฝนอย่างหนักถึง 4 ชั่วโมง
“ด้วยระดับวรยุทธของจิตวิญญาณและระดับวรยุทธของพลังปราณที่เรามีอยู่ตอนนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ เราก็จะเอาชนะเขาได้สบาย และเมื่อมีหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยู่ด้วย เราก็มีโอกาสเอาชนะได้แม้แต่นักรบระดับชั่วกัลปาวสานขั้นต้น!”
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ไหลพล่านทั่วร่างของเขา จางเซวียนยิ้มด้วยความยินดีปรีดา
แม้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาจะอยู่ในขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกเท่านั้น แต่มันก็ได้รับการบ่มเพาะจากการทดสอบสถาปนาเซียน การทดสอบสายฟ้า และการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ มันเทียบชั้นกับนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณได้แล้ว
และเมื่อประกอบกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรที่เขามีอยู่ ตอนนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเซียนดาบชิงโดยตรงก็คงเอาชนะได้!
“ด้วยพละกำลังระดับนี้ เราคงป้องกันตัวเองได้แล้วล่ะ”
ถึงหน้าหนังสือสีทองจะทรงพลังแค่ไหน แต่มันก็ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เมื่อใช้แล้วมันก็จะหายไป ส่วนหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่เขาหลอมขึ้นจากศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณนั้น แม้จะทรงพลัง แต่ก็ใช้พลังจิตวิญญาณสิ้นเปลืองมาก และความสามารถของเขาในการควบคุมมันก็ไม่เฉียบคมเมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวร่างกายของตัวเอง
ลงท้าย ก็ไม่มีอะไรที่น่าไว้วางใจไปกว่าพละกำลังของตัวเขา
“จางเซวียน!”
ขณะที่จางเซวียนนำจิตวิญญาณต้นกำเนิดกลับเข้าร่าง ก็ได้ยินเสียงเรียกอยู่ด้านนอก
เขารีบแหวกปราการออกและเดินออกจากห้องนั้นไป
หลัวลั่วชิงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่งในลานบ้าน เมื่อเห็นจางเซวียน ก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“คุณฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?”
จางเซวียนหายไปเพียงวันเดียว แต่รังสีของเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด มันล้ำลึกกว่าเดิมมาก ทำให้ยากที่จะกะประมาณความแข็งแกร่งของเขาด้วยการมองเพียงแวบเดียว
“ผมคิดว่าอย่างนั้น” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“คุณฝ่าด่านวรยุทธได้ก็ดีแล้ว ฉันจำเป็นต้องเดินทางไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อจัดการอะไรบางอย่าง และจะได้พาคุณไปยังบริเวณที่ปรมาจารย์ขงทิ้งกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของเขาเอาไว้ด้วย” หลัวลั่วชิงพูด
“คุณจะเดินทางไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่หรือ?” จางเซวียนทวนคำด้วยความแปลกใจ
“ใช่ ฉันเห็นพลังงานมหาศาลแผ่ออกจากร่างของคุณ มันใกล้จะปั่นป่วนเต็มทีแล้ว แน่นอนว่าถึงเวลาที่คุณจะต้องยกระดับวรยุทธเสียที ด้วยวิธีนี้ ต่อให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น คุณก็จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะรับมือ และฉันก็จะ…” หลัวลั่วชิงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “…วางใจได้”
“ใช่ ถึงเวลาที่ผมควรยกระดับวรยุทธแล้วจริงๆ” จางเซวียนพยักหน้า
สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดนั้นยโสโอหังมาก เขาจำเป็นต้องฝ่าด่านวรยุทธโดยเร็วที่สุดเพื่อแผดเผาเจ้านั่นให้สิ้นซากไปโดยใช้เปลวเพลิงสวรรค์
เพราะไม่อย่างนั้น หากมันเกิดบ้าดีเดือดแผลงฤทธิ์อะไรสักอย่างขึ้นมา เขาคงจะแย่แน่
ที่สำคัญกว่านั้น หากเขาฝ่าด่านวรยุทธและยกระดับวรยุทธของพลังปราณไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก และเมื่อผนวกเข้ากับจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว ต่อให้ไม่มีหยดเลือดของปรมาจารย์ขง เขาก็สามารถเอาชนะนักรบทุกคนที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณได้
พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นอีกครั้ง ก็คงจะจับตัวหมอนั่นและเค้นให้บอกที่อยู่ของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆออกมาได้สำเร็จ
สิ่งเดียวที่พอจะปลอบใจจางเซวียนในตอนนี้ก็คือจ้าวหย่ากับคนอื่นๆคงไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ในฐานะหัวหน้าของกลุ่มอำนาจชั้นนำ พวกเขาน่าจะมีดวงไฟของจิตวิญญาณ ซึ่งหากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นจริง ทางศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง ห้องโถงแห่งยาพิษ และตระกูลหยวนก็คงจะส่งข่าวมาแล้ว
อีกอย่าง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาจะต้องค้นหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการร่วมมืออันไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะได้รู้เสียทีว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เป็นพันธมิตรหรือศัตรู
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางเถอะ” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“ได้สิ!” จางเซวียนพยักหน้า
เขารีบเรียกซุนฉางมาเพื่อสั่งการบางอย่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางออกจากตระกูลจางไป
หลังจากพ้นอาณาเขตตระกูลจางมาได้ไม่นาน จางเซวียนก็พลันนึกถึงเด็กชายวัยรุ่นขึ้นมาและถามหลัวลั่วชิงว่า “หวู่เฉินจะไปกับเราหรือเปล่า?”
หวู่เฉินติดตามพวกเขามาถึงตระกูลจาง แต่ดูเหมือนหลายวันมานี้เขาจะไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายเลย แต่จางเซวียนเองก็มีภารกิจยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ควรสงสัยอะไรให้มาก
“เขามีบางอย่างที่ต้องไปจัดการ จึงออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เรากำลังจะไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อค้นหากรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขงนะ ไม่ได้ไปสู้รบกับใคร ไม่มีอะไรอันตรายหรอก เพราะฉะนั้น จะมีเขาอยู่ด้วยหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” หลัวลั่วชิงตอบ
“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเงียบไป
เขารีบตรวจสอบแผนที่ที่เก็บไว้ในหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อหาตำแหน่งที่ตั้งของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ จากนั้นก็สะบัดข้อมือ แล้วหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ปรากฏ
“จัดการ!”
ด้วยการกวัดแกว่งหอก รอยแยกแห่งมิติก็ถูกเปิดออก เส้นทางหนึ่งปรากฏตรงหน้า
จางเซวียนนำทางไป มีหลัวลั่วชิงตามไปติดๆ
ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มอาคารสูงตระหง่านที่ดูโอ่อ่าหรูหราราวกับพระราชวัง
สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่!