ศาลเจ้าขงจื๊อ
สำหรับจางเซวียน ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นคนสูงส่งและไม่เห็นแก่ตัว เพราะบางครั้งเขาก็ยังเห็นแก่ตัวบ้าง และเหตุผลหลักที่เขาไต่เต้าขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ก็ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ แต่เพื่อใช้ประโยชน์จากตัวตนดังกล่าวให้สามารถเข้าถึงหนังสือได้มากขึ้น…แต่ก็มีบางครั้งที่คนคนหนึ่งไม่อาจล่าถอยได้
หากมวลมนุษย์กำลังจะถูกสังหารหมู่ ความแข็งแกร่งของเขาจะมีประโยชน์อะไร?
เขาไม่ใช่คนคนเดียวกับเมื่อครั้งแรกที่ทะลุมิติมายังโลกใบนี้แล้ว ตอนนี้เขามีทั้งครอบครัวและลูกศิษย์ ทั้งตระกูลเจียงและตระกูลหลัวต่างก็เฝ้าคอยการชี้นำของเขา มีผู้คนอีกมากมายในโลกใบนี้ที่เขาจะต้องปกป้อง
อันที่จริง เหตุผลที่จางเซวียนมุ่งมั่นจะสมานความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลัวกับตระกูลจางให้ได้ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้
ในเมื่อภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจมารออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่มีทางที่เขาจะล่าถอยได้
“อุ่นใจเหลือเกินที่มีคุณเป็นพันธมิตรของเรา!”
ได้ยินคำตอบรับของจางเซวียน เหรินชิงหยวนกับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนอื่นๆต่างโล่งอก
พวกเขายังคิดอยู่ว่าควรจะเจรจากับจางเซวียนเรื่องนี้อย่างไร แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบรับเป็นมั่นเหมาะขนาดนี้?
“ผมจะส่งคำสั่งไปยังสามตระกูลชั้นนำว่าให้ทำตามคำสั่งของสภาปรมาจารย์โดยตรงเดี๋ยวนี้แหละ!” จางเซวียนตอบ
เห็นจางเซวียนถ่ายทอดคำสั่งของเขาไปยังสามตระกูลชั้นนำโดยไม่รอช้า เหรินชิงหยวนจึงรีบหันกลับไปหารือกับเหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวถึงยุทธวิธีอีกหลายอย่าง ก่อนจะสลายการประชุม
หากได้รับการช่วยเหลือจากสามตระกูลชั้นนำ เหรินชิงหยวนรู้ดีว่าพวกเขาจะสามารถยับยั้งภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจในเวลานี้ได้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองจางเซวียนและตั้งคำถาม “ปรมาจารย์จาง ขออภัยที่ปล่อยให้คุณรอ ไม่ทราบว่าเหตุผลที่คุณมาเยือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่คืออะไร?”
ครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อชายหนุ่ม อีกฝ่ายไม่ได้เป็นใครอื่นนอกเสียจากคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่เลือกจะปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์หยาง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ชายหนุ่มก็กลายเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ที่มีอิทธิพลทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ เหนือชั้นกว่าเขาเสียอีก
ภายใน 1 เดือนที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นมากมาย และแทบทุกอย่างก็มีศูนย์กลางอยู่ที่จางเซวียน ตราบใดที่ชายหนุ่มไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ก็มีโอกาสที่ในอนาคตเขาจะไปได้ไกลกว่าแม้แต่ปรมาจารย์หยาง
“พูดตามตรงนะ ผมมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือคุณ” จางเซวียนประสานมือ “ผมอยากไปเยี่ยมเยียนศาลเจ้าขงจื๊อ”
ระหว่างการเดินทางมาที่นี่ หลัวลั่วชิงบอกเขาว่ามีความเป็นไปได้ที่กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขงน่าจะอยู่ในศาลเจ้าขงจื๊อ
ศาลเจ้าขงจื๊อเป็นมรดกตกทอดที่ถูกสร้างขึ้นหลังการจากไปของปรมาจารย์ขง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความสำเร็จของเขา ที่นั่นมีทั้งลายมือ เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวบางอย่างเก็บไว้
“ผมก็สงสัยอยู่ว่าคุณจะขอร้องอะไร ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ทุกคนจะต้องไปเยือนศาลเจ้าขงจื๊ออยู่แล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีการ เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าคุณจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ศาลเจ้าขงจื๊อ ให้ผมพาคุณไปที่นั่นตอนนี้เลยเถอะ!”
เมื่อได้ยินคำขอ เหรินชิงหยวนหัวเราะเบาๆและตอบรับ
“ไม่เป็นไร ในช่วงเวลาแบบนี้ คุณคงมีเรื่องด่วนมากมายต้องจัดการ ผมจะไม่รบกวนคุณหรอก แต่จะขอร้องตามตรงอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ผมอยากพาลั่วชิงเข้าไปในศาลเจ้าขงจื๊อกับผมด้วย”จางเซวียนพูด
กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงน่าจะถูกซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เตะตานัก เขาจึงต้องการความช่วยเหลือจากหลัวลั่วชิงในเรื่องนั้น อีกอย่าง ถ้าเหรินชิงหยวนตามไปด้วย ก็จะไปกีดขวางความพยายามในการค้นหาของเขา
“เอ่อ…” เหรินชิงหยวนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำขอ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ตามธรรมเนียม มีแต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ศาลเจ้าขงจื๊อ และปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่จะต้องมีปรมาจารย์ที่เป็นรุ่นพี่เป็นผู้พาเข้าไป แต่ในฐานะที่คุณสร้างคุณงามความดีต่อมวลมนุษย์ ผมจะถือเป็นข้อยกเว้นให้ แต่ก็ต้องขอร้องคุณว่าอย่าอยู่ในศาลเจ้าขงจื๊อนานเกินไปนะ ให้เวลา 1 วันเป็นอย่างมาก!”
“ขอบคุณ” จางเซวียนตาโตเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขารีบประสานมือด้วยความสำนึกในบุญคุณ
ในเมื่อศาลเจ้าขงจื๊อมีทั้งลายมือและข้าวของส่วนตัวของปรมาจารย์ขง ลำพังแค่บริเวณอาณาเขตรอบศาลเจ้าก็คงเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนวรยุทธแล้ว ผู้ที่ได้เข้าไปย่อมจะกลับออกมาด้วยภูมิปัญญาใหม่และวรยุทธที่ได้รับการยกระดับสูงขึ้นอีกมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจะไปเยี่ยมเยียนสถานที่ดังกล่าว…
แต่เรื่องนี้ไม่อาจปฏิบัติในทำนองเดียวกันได้กับผู้ที่ไม่ได้เป็นปรมาจารย์ และแถมยังจะใช้เวลาถึง 1 วันเต็มที่นั่น
ถือว่าไม่ง่ายเลยที่เหรินชิงหยวนจะเปิดทางให้เขาแบบนี้
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” จางเซวียนพูด
หลังจากได้รับอนุมัติจากเหรินชิงหยวน จางเซวียนก็หาตำแหน่งที่ตั้งของศาลเจ้าขงจื๊อก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาตามหาหลัวลั่วชิง แล้วทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย
ศาลเจ้าขงจื๊อก่อตั้งโดยศิษย์สายตรงคนหนึ่งของปรมาจารย์ขง คือนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน หลังจากที่ปรมาจารย์ขงจากไป ทั้งลายมือ เสื้อผ้า อาวุธ และข้าวของจำนวนมากก็ถูกเก็บไว้ในศาลเจ้าแห่งนี้ วัตถุประสงค์หลักของการสร้างศาลเจ้าขึ้นมาก็เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงจิตวิญญาณของครูบาอาจารย์ของโลก และได้สัมผัสประสบการณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของเขา
ของล้ำค่าจำนวนมากที่อยู่ภายในศาลเจ้าขงจื๊อนั้นไม่ได้มีอานุภาพในการโจมตี กล่าวคือมีประสิทธิภาพในการต่อสู้น้อยมาก แต่พวกมันสามารถสร้างแรงบันดาลใจอย่างล้ำลึกให้กับนักรบ ทำให้พวกเขาเกิดการตระหนักรู้และภูมิปัญญา
เมื่อเดินเข้าไปในศาลเจ้า ทั้งคู่เห็นเสื้อคลุมเปื้อนเลือดที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้หลังจากปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น จดหมายที่เขาส่งออกมาระหว่างที่ถูกกักขังอยู่ที่เฉินข่าย…จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออกอยู่นาน
แม้แต่ผู้ทรงพลังอย่างปรมาจารย์ขงก็ต้องประสบความยากลำบากไม่น้อยในการรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
หลังจากที่เดินวนรอบห้อง ในที่สุดหลัวลั่วชิงก็มาหยุดอยู่ที่ของล้ำค่าชิ้นหนึ่งและชี้นิ้วไป
“นี่คือแท่นสถาปนานักปราชญ์ที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้หลังจากที่เขาฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในได้แล้ว หากเขาจะทิ้งเทคนิควรยุทธไว้ที่ไหนสักแห่ง ก็น่าจะเป็นที่นี่แหละ”
จางเซวียนรีบหันไปมองและเห็นแผ่นหินรูปกลมอยู่ท่ามกลางของล้ำค่าหลายชิ้น พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยชั้นของลำแสงสวยงาม ดูราวกับหยก
“นี่คือ…ผลจากการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์หรือ?” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตด้วยความอัศจรรย์ใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวัสดุที่มีรูปร่างเหมือนแผ่นหินนั้นคือหินหยกสีน้ำเงิน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันดูพิเศษกว่าธรรมดา ราวกับมีใครยกระดับคุณภาพของมันไว้ มันแผ่รังสีที่เป็นประกายเจิดจ้ากว่าหินหยกสีน้ำเงินโดยทั่วไป เทียบได้กับหยกน้ำงามอันไร้ที่ติ
พละกำลังเดียวในโลกนี้ที่สามารถเปลี่ยนหินหยกสีน้ำเงินธรรมดาสามัญให้กลายเป็นหยกอันไร้ที่ติได้ก็คงจะมีแต่เปลวเพลิงสวรรค์เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขายังรับรู้ถึงรังสีที่แผ่ออกมาจากหินหยกสีน้ำเงินด้วย ทำให้แน่ใจในข้อสงสัยนั้นมากขึ้น
“มันคือผลงานของเปลวเพลิงสวรรค์” หลัวลั่วชิงพยักหน้า
หลังจากแน่ใจแล้ว จางเซวียนก็เปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้และสำรวจแท่นหินอย่างถี่ถ้วน ครู่ต่อมา รอยย่นลึกก็ปรากฏบนหน้าผากของเขา
เขารู้แล้วว่าเปลวเพลิงสวรรค์ได้แปรเปลี่ยนหินหยกสีน้ำเงินธรรมดาสามัญให้อยู่ในสภาพนี้ แต่ก็ยังสงสัยว่าปรมาจารย์ขงเรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในมาได้อย่างไร
แท่นหินนั้นไม่มีอะไรที่เป็นเงื่อนงำให้เขาไขข้อสงสัยได้เลย
จางเซวียนหันไปถามหลัวลั่วชิง “ถ้ากรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงถูกซ่อนอยู่ที่นี่จริงๆ แต่ก็มีปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวผู้เก่งกาจมากมายที่เข้ามาพิจารณาแท่นหินนี้ แล้วความลับที่ถูกซ่อนอยู่จะมิถูกเปิดเผยไปแล้วหรือ?”
เหล่าปรมาจารย์นั้นเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการหยั่งรู้อันเฉียบแหลม แม้ดวงตาหยั่งรู้ของจางเซวียนจะถือว่าไร้เทียมทานเมื่อเทียบกับความสามารถเหล่านั้น แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 10 คนที่มีชีวิตมาก่อนหน้าเขาซึ่งมีความสามารถแบบเดียวกัน อย่างเช่นหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์คนก่อน
ถ้าแม้แต่คนเหล่านั้นยังไม่พบสิ่งผิดปกติกับแท่นหินนี้ แล้วจะมีเทคนิควรยุทธซุกซ่อนอยู่จริงๆหรือ?
“คุณนำแท่นสถาปนาเซียนที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้มาด้วยหรือเปล่า?” แทนที่จะอธิบาย หลัวลั่วชิงกลับตั้งคำถามอีกคำถามหนึ่งที่เป็นคนละเรื่อง
“…ผมนำมาด้วย”
จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วแผ่นหินอีกอันหนึ่งก็มาอยู่ตรงหน้า
ก่อนที่จะมอบลูกคริสตัลทรงกลมที่บรรจุพระราชวังชิวอู๋ให้กับหลัวกั้นเจิน เขาได้นำแท่นสถาปนาเซียนเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติของตัวเองก่อนแล้ว
“พยายามใช้เทคนิควรยุทธของแท่นสถาปนาเซียนเพื่อถ่ายทอดพลังปราณของคุณเข้าสู่แท่นสถาปนาเซียน” หลัวลั่วชิงสั่งการ
จางเซวียนไม่แน่ใจนักว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พยักหน้า เขาสูดหายใจลึกและถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่แท่นสถาปนาเซียน
ฟิ้ววววว!
หลังจากที่พลังปราณไหลเวียนทั่วแท่นสถาปนาเซียน มันก็เริ่มแผ่พลังงานที่มีหลากหลายสีสันออกมาและค่อยๆลอยขึ้นสู่กลางอากาศ ในเวลาเดียวกัน ราวกับได้รับแรงดึงดูดจากพลังงานของแท่นสถาปนาเซียน แท่นสถาปนานักปราชญ์ก็เริ่มลอยขึ้น
แท่นหินทั้งสองเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่ช้ามันก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
“เฮ้ย…” จางเซวียนถึงกับผงะ
เขานึกไม่ถึงว่าแท่นหินทั้งสองจะหลอมรวมเข้าด้วยกันได้แบบนี้
บึ้มมม!
ขณะที่เขากำลังจะถามหลัวลั่วชิงว่าเกิดอะไรขึ้น ลำแสงเจิดจ้าก็ระเบิดออกจากแท่นหิน ร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางรังสีที่แผ่ไปโดยรอบ ร่างนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหิน นัยน์ตาของเขาปิดสนิท
“นี่คือสิ่งที่ปรมาจารย์ขงบันทึกไว้เมื่อครั้งที่เขาฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้น 1 และกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธก็อยู่ที่นี่!” หลัวลั่วชิงพูดอย่างตื่นเต้น