สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่
แม้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะมีขนาดใหญ่ แต่ในด้านของความหรูหราก็ถือว่าไม่มากนัก ยังเทียบไม่ได้กับพระราชวังในจักรวรรดิอันทรงเกียรติหลายๆแห่ง
แต่ด้วยดวงตาหยั่งรู้ จางเซวียนมองเห็นรังสีของความชอบธรรมแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ก่อเกิดเป็นบรรยากาศที่เคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ผู้ที่มีกิริยาไม่เรียบร้อยก็จะถูกสะกดให้ต้องรักษากิริยาภายใต้บรรยากาศแบบนี้
“มันเรียกว่ารังสีแห่งภูมิปัญญา” หลัวลั่วชิงพูด “สภาปรมาจารย์ได้เผยแผ่คำสอนไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์มาหลายหมื่นปีแล้ว นำพาภูมิปัญญามาสู่มวลมนุษย์ รังสีแห่งภูมิปัญญาของโลกใบนี้จึงแผ่ซ่านอยู่ทั่วทั้งบริเวณ ด้วยสิ่งนี้ การฝ่าด่านวรยุทธที่นี่จึงเป็นไปได้ง่ายกว่าที่อื่นมาก”
“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า
เขาออกจะสงสัยเล็กน้อยที่ได้ยินว่าหลัวลั่วชิงก็ ‘มองเห็น’ รังสีแห่งภูมิปัญญาเหมือนกับเขา แต่ก็เลือกที่จะไม่ซักถามต่อ เขาเดินหน้าเข้าสู่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไปพร้อมกับเธอ
พื้นที่ก่อนถึงทางเข้าเป็นที่โล่ง มีอนุสาวรีย์สูงตระหง่านราว 100 เมตรตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่นั้น ส่วนปลายของป้ายชื่อดูเหมือนจะพุ่งตรงขึ้นสู่หมู่เมฆ
“นี่คือ…อนุสาวรีย์แห่งความกล้าหาญของสภาปรมาจารย์ใช่ไหม?” สีหน้าของจางเซวียนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ถึงเขาจะไม่เคยมาที่นี่ แต่ก็เคยอ่านหนังสือหลายเล่มที่บอกเล่าเรื่องราวของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เขารู้ว่ามีอนุสาวรีย์แห่งความกล้าหาญตั้งอยู่ในพื้นที่โล่งบริเวณด้านนอกทางเข้า มีไว้จารึกรายชื่อของเหล่าวีรบุรุษที่ได้เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้พ้นจากภัยพิบัติและการคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ไม่มีเครื่องประดับใดบนอนุสาวรีย์นั้น แต่ที่พื้น มีตะกร้าดอกไม้วางอยู่ 2-3 ใบ รวมทั้งธูปอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงปล่อยควันโขมงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
มีถ้อยคำมากมายจารึกไว้บนอนุสาวรีย์นั้น ซึ่งสร้างความรู้สึกหนักอึ้งให้กับผู้พบเห็นก่อนที่จะได้เข้าถึงอนุสาวรีย์เสียอีก เป็นความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้แม้แต่นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องก้มศีรษะให้ด้วยความยำเกรง
“ปรมาจารย์ขงเป็นผู้เขียนรายชื่อเหล่านี้ด้วยตัวเองทั้งหมด มันคือรายชื่อของเหล่าวีรบุรุษที่ได้ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นในครั้งนั้น” หลัวลั่วชิงอธิบายขณะเงยหน้ามองอนุสาวรีย์ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “มีผู้เสียชีวิตมากมายจากการปะทะ”
“จริงด้วย…” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “จางหลิงหย่วน เฉิงฉี่ฉวน อู๋หลิงจือ…”
มีเพียงรายชื่อ ไม่มีรายละเอียดของวีรกรรมหรือสถานภาพของพวกเขา แต่รายชื่อเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง พวกเขาคือสัญลักษณ์ของดวงวิญญาณที่ถูกแผดเผาจากการสู้รบอย่างกล้าหาญเพื่อเรียกอิสรภาพกลับคืนมาในยุคสมัยแห่งความยากแค้น วีรกรรมของพวกเขาถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และจนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักรบคนอื่นๆลุกขึ้นยืนหยัดอย่างกล้าหาญเพื่อตัวเองและมวลหมู่ญาติมิตรของพวกเขา
“ถ้าไม่ใช่เพราะความกล้าหาญของคนเหล่านี้ พวกเราก็คงไม่มีสันติสุขอย่างที่เป็นอยู่ บางทีเราอาจจะยังคงตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นได้…” จางเซวียนพยักหน้า “พวกเขาควรค่ากับการได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษจริงๆ!”
คุณค่าของอนุสาวรีย์แห่งนี้ไม่ได้อยู่ที่ลายมือปรมาจารย์ขง แต่อยู่ที่จิตวิญญาณของผู้ที่ได้สละชีวิตเพื่อต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
หลังจากเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง ทั้งสองก็เดินผ่านทางเข้าและเข้าสู่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่
น่าประหลาดใจที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไม่เหมือนกับสภาปรมาจารย์ที่อื่นๆหรือสมาคมวิชาชีพต่างๆ ไม่มีองครักษ์มายับยั้งพวกเขาไว้สักคน
เหมือนจะอ่านใจจางเซวียนได้ หลัวลั่วชิงอธิบายพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ ใครจะกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่ล่ะ เว้นเสียแต่จะอยากตายเต็มที?”
เหตุผลที่สภาปรมาจารย์สาขาอื่นๆและสมาคมวิชาชีพต่างๆต้องมีองครักษ์ก็เพราะพวกเขากลัวว่าจะมีผู้เข้ามาสร้างปัญหา แต่ต่อให้ตัวปัญหาที่ร้ายกาจที่สุดก็คงไม่กล้าหาเรื่องกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่แน่!
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกำลังพลไปกับการมีองครักษ์
“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า
รังสีแห่งภูมิปัญญาดูจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป ดูเหมือนจะขจัดความวิตกกังวล ความท้อแท้ และนำความใสกระจ่างมาสู่หัวใจของผู้ที่เข้ามา หลัวลั่วชิงพูดถูก ไม่เพียงแต่การฝึกฝนวรยุทธที่นี่จะได้ผลดีกว่าที่อื่นมาก โอกาสที่จะปลุกปีศาจใต้สำนึกขึ้นมาก็มีน้อยกว่าที่อื่นด้วย
เพราะสิ่งที่มาพร้อมกับความรู้ก็คือสติปัญญาและไหวพริบที่จะเอาชนะปีศาจใต้สำนึกได้
“ท่านแขกผู้มีเกียรติ ยินดีต้อนรับสู่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ หากคุณติดต่อใครไว้ ผมสามารถช่วยคุณส่งข่าวไปถึงผู้นั้นได้นะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขณะเดินเข้ามา
เห็นตราสัญลักษณ์ที่ติดอยู่บนหน้าอกของเขา จางเซวียนถึงกับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
แม้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะมีอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น แต่ก็เป็นปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวแล้ว!
ไม่น่าเชื่อว่าปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวจะมาทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ…ช่างเป็นความหรูหรามีระดับอย่างที่เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ
สมกับที่เป็นสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่!
“ผมมาขอพบปรมาจารย์เหริน, เหรินชิงหยวน” จางเซวียนตอบ
ในเมื่อเขามาที่นี่เพื่อตามหามรดกตกทอดของปรมาจารย์ขง ก็คงจะสะดวกกว่าหากขอความช่วยเหลือจากรองประธานสภาปรมาจารย์
“คุณมาขอพบปรมาจารย์เหริน?” ชายหนุ่มทวนคำ
จางเซวียนมองเห็นจากส่วนลึกในแววตาของชายหนุ่มว่าเขาออกจะประหลาดใจกับคำขอนั้น แต่เขาก็ไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆออกมา ชายหนุ่มยังคงพูดต่อด้วยความสุภาพ “ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร? กรุณาอย่าเข้าใจผิดนะ เป็นระเบียบของเราที่จะต้องรายงานตัวตนของแขกให้ท่านรองประธานสภาปรมาจารย์ทราบ”
“ผมคือจางเซวียน” จางเซวียนตอบ
“จางเซวียน? คุณคือจางเซวียนหรือ?” ทั้งๆที่รักษากิริยาอาการสุภาพมาตลอด แต่ชายหนุ่มถึงกับชะงักด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อ น้ำเสียงของเขาดูจะแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย เหมือนว่าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
ชายหนุ่มออกจะเสียงดังไปสักหน่อย ทำให้ฝูงชนบริเวณนั้นได้ยินบทสนทนาของพวกเขา สายตาที่บ่งบอกความอยากรู้อยากเห็นหลายคู่พุ่งตรงมา
“เขาคือจางเซวียนหรือ?”
“หลังจากได้ยินวีรกรรมของเขา ผมก็คิดว่าเขาคงมีสามหัวและหกแขน แต่เขาดูธรรมดาสามัญกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก”
“ธรรมดาสามัญน่ะยังน้อยไป แม้แต่รูปลักษณ์หน้าตาของเขาก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย เทียบกับผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
“ผมสมเพชคุณเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะตาบอดตั้งแต่อายุเท่านี้…”
…..
เสียงซุบซิบออกความเห็นดังไปทั่วบริเวณนั้น
จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ หน้าตาของเขาออกจะบิดเบี้ยวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงซุบซิบดังขึ้นรอบตัว จางเซวียนสูดหายใจลึกและเพ่งความสนใจไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะประสานมือ “ผมขอรบกวนคุณด้วย”
“เอ่อ…อ้อ! ทางนี้เลย ปรมาจารย์จาง”
ชายหนุ่มรีบออกจากภวังค์และนำทางไป ขณะที่นำทางไปยังสำนักงานของปรมาจารย์เหริน ก็อดรำพึงกับตัวเองไม่ได้…ได้ยินว่าหมอนี่เป็นคนโหดเหี้ยมมาก เขาจะซ้อมเราหรือเปล่าที่เราทำตัวเสียมารยาทเมื่อครู่นี้?
เราเป็นแค่ปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวเท่านั้นเอง ไม่มีทางสู้เขาได้แน่!
หากเขาอยากเล่นงานเราจริงๆ เราควรจะยอมให้เขาเล่นงานแต่โดยดี หรืออย่างน้อยก็ควรจะพยายามตอบโต้สักหน่อยก่อนที่จะถูกซ้อม?
โอ๊ย! ลำบากใจเหลือเกิน!
เราจะทำอะไรเพื่อลดความอับอายได้ทั้งที่ต้องวางท่าให้น่าเกรงขามแบบนี้?
จะว่าไป ก็เป็นวีรกรรมน่าทึ่งอยู่นะหากเอาตัวรอดจากการถูกจางเซวียนผู้เป็นตำนานซ้อมได้ จริงไหม? บางทีเราอาจจะเอาชนะใจสาวคนที่เรารักได้เมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้!
ความคิดของชายหนุ่มล่องลอยไปเรื่อย
ถ้าจางเซวียนรู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคิดอะไรอยู่ คงเตะหมอนั่นกระเด็นไปแล้ว
ผมน่ะเป็นคนรักสันติ อ่อนโยน น่าเคารพ มีจิตใจเมตตากรุณา และเก็บเนื้อเก็บตัว คุณรู้ไหม? มันเรื่องอะไรที่คุณมาด่วนสรุปว่าผมเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง พร้อมจะเตะทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้กระเด็นโดยปราศจากเหตุผล?
…..
ด้วยความคิดที่ล่องลอยไปของชายหนุ่ม ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงประตูบานใหญ่
“ท่านรองประธานอยู่ด้านใน ผมจะส่งคุณที่นี่นะ จากนั้น…” เห็นจางเซวียนไม่มีทีท่าจะเล่นงานเขา นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายความผิดหวังออกมา แต่กิริยาท่าทางของเขาก็ยังคงสุภาพเช่นเดิม
“คุณจะไม่เข้าไปรายงานการมาถึงของผมหรือ?” จางเซวียนชะงัก
“ปรมาจารย์จาง คุณเป็นทั้งหัวหน้าตระกูลจางและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ สำหรับคุณน่ะ ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องรายงานการมาถึงเพื่อเข้าพบท่านรองประธานหรอก” ชายหนุ่มตอบด้วยความสุภาพ
ในแง่ของสถานภาพ จางเซวียนถือได้ว่าทัดเทียมกับปรมาจารย์เหริน จึงเป็นธรรมดาที่ตัวเขาไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปแจ้งว่ามีผู้มาขอพบ
“ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของคุณ” จางเซวียนบอกชายหนุ่มก่อนจะผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
ขณะที่ก้าวเข้าไปในห้อง ก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีบุคคลที่เขาคุ้นเคยหลายคนอยู่ในห้องนั้น ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจำนวนมากที่เขาเคยพบที่สมาพันธ์นานาจักรวรรดิก็อยู่ด้วย แถมยังมีผู้เชี่ยวชาญผู้โด่งดังอีกจำนวนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนก็หันขวับมาที่ประตู ต่างก็ชะงักเมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาเป็นใคร
“ปรมาจารย์จาง มาได้เวลาพอดี ผมกำลังจะไปขอพบคุณ!” คนแรกที่รู้สึกตัวคือปรมาจารย์เหริน เขารีบทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนั้นด้วยการหัวเราะหึๆ “คุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลา มิติ และจิตวิญญาณแล้ว แถมวรยุทธของคุณก็เข้าถึงระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้วเช่นกัน ถึงคุณจะยังไม่บรรลุเงื่อนไขอย่างเป็นทางการสำหรับการเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว แต่คุณก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวแล้ว ในเมื่อตอนนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า ทำไมเราถึงไม่จัดการทดสอบของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวเสียตอนนี้เลยล่ะ?”
“คุณกำลังขอให้ผมเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวตอนนี้หรือ?” จางเซวียนถึงกับผงะ เขาคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์เหรินจะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดอย่างกะทันหัน “ผมเกรงว่าผมจะไม่ได้เตรียมตัวมา เมื่อเช้านี้ หลังจากตื่นนอน ผมยังไม่ได้แปรงฟันเลยด้วยซ้ำ คงไม่ดีนักหรอกถ้าจะให้ผมเข้ารับการทดสอบตอนนี้…”