กำจัดสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด (1)
แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว ที่อ่อนด้อยที่สุดในสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังมีวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายใน ขั้นต้น ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีวรยุทธระดับเดียวกับเซียนดาบชิง
แต่ด้วยพละกำลังของพวกเขา ก็ยังไม่อาจเข้าสู่ศาลเจ้าขงจื๊อหรือตรวจสอบเหตุการณ์ภายในโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณได้…เกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่?
ข้าแต่บรรพบุรุษ นี่คุณจะพอใจก็ต่อเมื่อได้ทำลายศาลเจ้าขงจื๊อจนพังพินาศด้วยใช่ไหม?
ครืนนน!
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังของเหรินชิงหยวน เขาเห็นหมู่เมฆดำลอยมา พร้อมกับพละกำลังมหาศาลที่เข้าครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่อย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงแทรกตัวอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ พร้อมจะพุ่งเข้าใส่โลกได้ทุกขณะ
“นี่คือ…การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ใช่ไหม?”
“แต่ทำไมเปลวเพลิงถึงเป็นสีดำล่ะ?”
“เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดไม่ใช่หรือ? เรียกการทดสอบอันทรงพลังขนาดนี้มาได้อย่างไร?”
“ผมก็ไม่รู้ บางที…อาจเป็นเพราะเขาเป็นอัจฉริยะละมั้ง?”
…..
ฝูงชนต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นหมู่เมฆเข้าครอบคลุมพื้นที่บริเวณนั้น
พวกเขาได้ตรวจสอบระดับวรยุทธของจางเซวียนแล้วตอนที่จัดการทดสอบของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้เขาเมื่อครู่นี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด หรือต่อให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ก็ควรจะเป็นแค่นักรบขั้นการพักฟื้นภายในเท่านั้น
แต่ด้วยเหตุผลอันน่าทึ่งบางอย่าง การทดสอบวรยุทธที่เขาเรียกมาคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ แถมยังเป็นเปลวเพลิงที่ทรงพลังกว่าธรรมดาด้วย…
คุณทำได้อย่างไรกัน? คุณซึมซับของล้ำค่าทั้งหมดในศาลเจ้าขงจื๊อไปแล้วหรือ?
เหรินชิงหยวนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาตัวสั่นไม่หยุด จากนั้นก็อุทานด้วยความพรั่นพรึง “เดี๋ยวก่อน…นั่นมันเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด! เป็นการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเปลวเพลิงสวรรค์ทั้งหมด!”
เปลวเพลิงสวรรค์สีดำ-นี่เป็นปรากฏการณ์ที่แม้แต่เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวผู้รอบรู้ที่มารวมตัวกันที่นี่ก็ยังไม่เคยได้ยิน ขนาดเหรินชิงหยวนก็ยังรู้รายละเอียดเพียงคร่าวๆ จากที่ปรากฏอยู่ในฉนวนแห่งสภาปรมาจารย์เท่านั้น
เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดมีสีดำสนิท และไม่มีอะไรในโลกที่มันจะแผดเผาไม่ได้ หากมันพุ่งลงมาล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกอย่างในโลกจะต้องมอดไหม้ มันคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่น่าสะพรึงที่สุด และนักรบเพียงผู้เดียวที่เป็นที่รู้กันว่าสามารถเรียกมันมาได้ก็คือปรมาจารย์ขง
ชายหนุ่มกำลังจะทำแบบเดียวกับปรมาจารย์ขงหรือ?
หรือว่าเขาพบมรดกตกทอดอันน่าทึ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในศาลเจ้าขงจื๊อ ซึ่งพวกเขาหาไม่พบ
แต่ถึงแม้จะมีมรดกซุกซ่อนอยู่จริง ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่ชายหนุ่มจะหามันเจออย่างรวดเร็วขนาดนี้
“ตอนนี้ปิดข่าวไว้ก่อนนะ อย่าให้รั่วไหลออกไปได้แม้แต่คำเดียว” เหรินชิงยวนหันไปสั่งการอย่างเคร่งเครียดกับเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่รอบตัวเขา
ไม่ว่าจางเซวียนจะเอาชีวิตรอดจากการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้หรือไม่ ก็ล้วนแต่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับสภาปรมาจารย์
หากเขาเอาชีวิตรอดจากการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้ ก็หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีความเก่งกาจทัดเทียมกับปรมาจารย์ขงได้ปรากฏขึ้นแล้ว เมื่อประกอบกับตระกูลจางและกลุ่มอำนาจใหญ่อีกมากมายที่อยู่ภายใต้การนำของเขา อำนาจของสภาปรมาจารย์ก็จะต้องลดลงอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หากจางเซวียนตายเพราะการทดสอบ พวกเขาจะอธิบายกับตระกูลจาง ตระกูลหลัว และตระกูลเจียงอย่างไรว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเขาต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่?
สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือปิดข่าวไว้ให้นานที่สุด ทั้ง 3 ตระกูลใหญ่ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วภายใต้การนำของจางเซวียน และก็เพราะอิทธิพลของชายหนุ่มที่ทำให้สภาปรมาจารย์สามารถขับเคลื่อนทั้ง 3 ตระกูลนั้นได้ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับจางเซวียนในตอนนี้ ทุกอย่างจะต้องพังทลาย
เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตทั้งภายในและภายนอก ต่อให้สภาปรมาจารย์ที่ทรงพลังก็อาจล่มสลายได้ เพราะแรงกดดันหนักหน่วงนี้
“พวกเราเข้าใจ…”
เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว รู้ดีว่าสถานการณ์นี้สำคัญอย่างไร พวกเขารีบสร้างค่ายกลล้อมรอบพื้นที่นั้นไว้เพื่อปิดบังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้านใน
…..
จางเซวียนไม่รับรู้ถึงความแตกตื่นที่เกิดขึ้นด้านนอก สมาธิของเขาดำดิ่งอยู่ภายในกายเนื้อ เขากำลังสำรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างถี่ถ้วน
จางเซวียนค่อยๆสร้างรากฐานของกายเนื้อของเขาอย่างช้าๆ ในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้น ทำให้พลังงานไหลเวียนได้อย่างไม่ติดขัด สิ่งนี้ส่งผลให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอีกมาก
เครือข่ายทางเดินพลังปราณของเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน มันเริ่มจะมีหน้าตาคล้ายกับเครือข่ายทางเดินพลังปราณที่เราเปลี่ยนให้จ้าวหย่าในครั้งนั้น…
การฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในแผนผังของทางเดินพลังปราณของเขา ตอนนี้ทางเดินพลังปราณของจางเซวียนได้ปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปจนดูคล้ายกับเครือข่ายทางเดินพลังปราณของจ้าวหย่า
ดูเหมือนเครือข่ายทางเดินพลังปราณที่เขาสร้างขึ้นใหม่ให้จ้าวหย่านั้นจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมมากกับนักรบ
พูดอีกอย่างก็คือ เรื่องนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก ก็เพราะพวกมันมีร่างกายที่เหนือชั้นกว่า แต่ถึงอย่างนั้น เครือข่ายทางเดินพลังปราณที่พวกมันมีอยู่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับรูปแบบในอุดมคติที่จางเซวียนมี
การยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นสามารถทำได้โดยการฝึกฝนวรยุทธ แต่ความแตกต่างตั้งแต่เริ่มแรกนั้นก็ยังเป็นช่องว่างที่ยากจะเชื่อมถึงกันได้
อย่างเผ่าพันธุ์มังกรเป็นตัวอย่าง ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์เคยเห็นสายเลือดมังกรบริสุทธิ์มาก่อน แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าสายเลือดมังกรบริสุทธิ์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือชั้นซึ่งมีพละกำลังทำลายล้างอย่างน่าทึ่ง
แม้แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ยังต้องยอมจำนนเมื่อเผชิญหน้ากับแปดโน้ตมังกรสวรรค์ พูดกันตามตรง ขนาดจางเซวียนเองก็ยังไม่อาจหยั่งถึงความทรงพลังของสายเลือดมังกรบริสุทธิ์ได้ เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะมีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นกว่านักปราชญ์โบราณมาตั้งแต่เกิด
นี่คือช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างสองเผ่าพันธุ์
ด้วยความจริงที่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีสภาวะร่างกายที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ พวกมันมีทุกอย่างเหนือชั้นกว่า สภาวะที่เหนือชั้นกว่านี้ทำให้พวกมันมีวรยุทธระดับเดียวกับนักรบเหนือมนุษย์มาตั้งแต่เกิดและมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก
การที่สภาวะร่างกายของจางเซวียนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยหลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็หมายความว่าเขาได้เข้าถึงวิวัฒนาการของการยกระดับร่างกายของตัวเองแล้ว
ถ้าเขามีทายาทสักคนในตอนนี้ ต่อให้ทายาทของเขาไม่สามารถสืบทอดความสามารถที่อยู่ในสายเลือดของเขาได้ แต่ก็จะมีความปราดเปรื่องเหนือกว่านักรบทั่วไปเพราะสภาวะเหนือชั้นที่จางเซวียนเพิ่งได้รับ
อันที่จริง ผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่ของตระกูลนักปราชญ์ขั้น 3 ก็ล้วนแต่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4-ชั่วกัลปาวสานที่ไม่อาจสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้จวบจนสิ้นอายุขัย
ดูเหมือนการรับรู้จิตวิญญาณของเราและความแข็งแกร่งของร่างกายก็จะได้รับการพัฒนาเช่นกัน!
ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีเพียงแค่เครือข่ายทางเดินพลังปราณของจางเซวียนเท่านั้น การรับรู้จิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน ที่ผ่านมา ไม่มีทางที่เขาจะมองเห็นโครงสร้างภายในของแต่ละเซลล์ได้ แต่ด้วยการรับรู้จิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เขามองเห็นแม้แต่อณูที่เล็กที่สุดภายในเซลล์แต่ละเซลล์อย่างชัดเจน
ในเวลาเดียวกัน ขอบเขตของการรับรู้จิตวิญญาณของเขาก็ขยายวงกว้างขึ้นเป็น 20 ลี้ พูดอีกอย่างก็คือ หากเขาเปิดใช้การรับรู้จิตวิญญาณ จะไม่มีสิ่งใดในอาณาเขต 20 ลี้ที่จะรอดพ้นจากหูตาของเขาไปได้ เพียงแค่ใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ทุกคนที่อยู่ในรัศมี 20 ลี้ก็จะไม่มีทางหลุดรอดจากการจับตาของเขา
ส่วนกายเนื้อของจางเซวียนไม่ได้รับการพัฒนามากนัก เพราะเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธและยังไม่มีโอกาสได้บ่มเพาะร่างกาย แต่ด้วยการบ่มเพาะพลังปราณผ่านทางเดินพลังปราณ ร่างกายของเขา จึงมีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นไปกว่าของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดเสียอีก ตอนนี้อยู่ที่ขั้นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาได้รับก็คือพลังปราณ
มันบริสุทธิ์และเข้มข้นกว่าแต่ก่อน พลังปราณในปริมาณที่ไม่อาจจินตนาการได้เข้าไปสะสมที่จุดตันเถียนของเขา ดูราวกับมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต
เราควรจะให้ความสำคัญกับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่กำลังมาถึงก่อน!
ข้อมูลเหล่านี้พุ่งเข้าสู่สมองของเขาอย่างรวดเร็วโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะมัววิเคราะห์สภาวะร่างกายของตัวเอง เขาสูดหายใจลึกแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ฟิ้วววว!
ชั่วขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เปลวเพลิงสีดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งลงมาจากหมู่เมฆดำที่อยู่ด้านบน
“ซึมซับ!”
ด้วยประสบการณ์ครั้งก่อนในการรับมือกับเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด จางเซวียนจึงไม่หวาดกลัวอีกต่อไป เขาซึมซับเปลวเพลิงสีดำเข้าสู่ร่างกายโดยปราศจากความลังเล
แต่พริบตาต่อมา ความเจ็บปวดแสนสาหัสก็เข้าโจมตีร่างกายของเขา ความร้อนที่แผดเผาอยู่ในร่างกายนั้นแทบจะหลอมละลายเขาให้กลายเป็นโคลนเหนียวหนืด
เราจะต้องขับเคลื่อนพลังปราณและใช้ความร้อนบ่มเพาะกายเนื้อของเราเดี๋ยวนี้!
จางเซวียนรู้ดีว่าเขากำลังผ่านการทดสอบร่างกาย การทดสอบแผดเผาวิญญาณ และการทดสอบแผดเผาหัวใจไปพร้อมๆกัน ต่อให้เขาจะเจ็บปวดขนาดไหน มันก็เป็นการทดสอบที่เขาต้องผ่านไปให้ได้
เขาไม่อาจล้มเลิกตอนนี้ วินาทีที่เขายอมแพ้ต่อความหวาดกลัวก็คือวินาทีที่เขาจะต้องมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน จางเซวียนรู้ความจริงข้อนี้ดี จึงกัดฟันบังคับตัวเองให้อดทนกับความเจ็บปวดนั้น ขณะที่รีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อสลายความร้อน
ซรืดดดดด!
ภายใต้กระแสพลังปราณเทียบฟ้าที่พุ่งอย่างดุเดือด เปลวเพลิงลูกใหญ่นั้นถูกทำให้แตกกระจายกลายเป็นเมล็ดไฟเล็กๆ แต่ก็ยังมีฤทธิ์แผดเผาอยู่
ก่อนที่จางเซวียนจะทันรู้ตัว ความเจ็บปวดก็เพิ่มความรุนแรงขึ้น ราวกับมันกำลังทิ่มแทงลึกเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกเวียนศีรษะ
ไม่ใช่ละ แบบนี้ไม่ถูกแล้ว…มันจะเจ็บปวดกว่าตอนที่เปลวเพลิงสวรรค์ทำการทดสอบจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราได้อย่างไร? จางเซวียนคิดด้วยความระแวงขณะเหงื่อท่วมร่าง
เพราะเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดมาแล้วครั้งหนึ่ง จางเซวียนจึงคิดว่าคราวนี้คงไม่มีอะไรให้หวาดกลัว แต่ก็ได้รู้แล้วว่าประสบการณ์ครั้งก่อนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เราเผชิญหน้าในคราวก่อนคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ ขณะที่คราวนี้เป็น…การทดสอบสถาปนานักปราชญ์? มันไม่ใช่เปลวเพลิงในระดับเดียวกันใช่ไหม?
สิ่งที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้เผชิญก่อนหน้านี้คือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ซึ่งถูกเรียกมาจากการฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้คือการทดสอบวรยุทธที่ถูกเรียกมาโดยสภาวะพิเศษที่ได้จากกระบวนการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน
นี่เป็นการทดสอบแบบไม่ธรรมดาที่ปรมาจารย์ขงเคยเรียกมาเมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีโอกาสสูงที่มันจะไม่ใช่การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์แบบทั่วไป
จางเซวียนเข้าใจดีว่าการทดสอบวรยุทธย่อมไม่ธรรมดา แต่คราวนี้…มันจะแข็งแกร่งเกินไปไหม?
แม้แต่จิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกของเขาก็ยังรับมือกับความร้อนแผดเผาของเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดได้ด้วยความยากลำบาก ตอนนี้ มาถึงจุดที่ดูเหมือนสติสัมปชัญญะของเขาพร้อมจะหลุดลอยไปได้ทุกขณะ
เขาแทบนึกภาพไม่ออกว่าตัวเองจะมีสภาพเป็นอย่างไรหากก่อนหน้านี้ไม่ได้ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติเอาไว้ล่วงหน้า บางที เขาอาจจะหมดสติไปทันทีที่ซึมซับเปลวเพลิงสวรรค์เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เปลวเพลิงสวรรค์แผดเผากายเนื้อของเขาได้ตามใจ
ถ้าสำหรับเขา มันยังยากเย็นขนาดนี้ แล้วปรมาจารย์ขงที่ไม่ได้มีหอสมุดเทียบฟ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากการทดสอบที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ครั้งนี้ได้อย่างไรกัน?
จางเซวียนอดสงสัยไม่ได้