อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1733 ประโยชน์ของคริสตัลเยือกแข็ง
ขณะที่จางเซวียนกับเครื่องรางน้อยสื่อสารกันผ่านทางโทรจิตเซียนดาบชิงไม่ได้รู้เรื่องด้วย เขาคิดว่าเป็นเพราะตัวเขาพูดว่าภาพวาดนี้อาจเป็นมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ลูกชายจึงเกิดตื่นเต้นขึ้นมา
แต่มาหัวเราะเอาเมื่อผ่านไปหลายนาทีแล้วนี่นะ…ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาจะช้าไปหน่อยไหม?
“เซวียนเอ๋อ…”
เห็นลูกชายหัวเราะลั่นอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด เซียนดาบชิงได้แต่เรียกชื่อจางเซวียนด้วยความกังวล
“อือ!” จางเซวียนรีบหยุดหัวเราะและพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไร เราจะต้องนำภาพวาดนั้นมาให้ได้!”
วรยุทธของเขาอาจยังห่างไกลจากขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว ทั้งคู่พร้อมที่จะฝ่าปราการขั้นสุดท้ายได้ทุกขณะ หากพวกเขาได้ภาพวาดมาและฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ การเดินทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อในส่วนที่เหลือก็คงไม่มีอะไรให้จางเซวียนต้องกังวล!
“ก็ดี” ได้ยินคำพูดของลูกชาย เซียนดาบชิงเหมิงพยักหน้า
ครืนนนนน!
ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกัน ฉนวนที่ปิดกั้นพื้นผ้าใบสี่ฤดูเอาไว้ก็เริ่มจะสั่นสะท้านเพราะการโจมตีอย่างต่อเนื่องของจ้าวหย่า ดูเหมือนมันพร้อมจะพังทลายได้ทุกขณะ
“ไม่ช้านี้แหละ…”
เมื่อเห็นภาพนั้น นัยน์ตาของเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 คนเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น
ซู่!
ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยอย่างอดทนให้ฉนวนถูกทำลาย เพื่อที่พวกเขาจะได้นำภาพวาดออกไป เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้อง ทำลายความเงียบงันที่อยู่ในห้องโถงแห่งนั้น
เด็กวัยรุ่นทั้งแปดหันขวับด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อเห็นแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง ซึ่งอยู่ในภาพวาดกำลังหลอมละลาย
“ดูท่าไม่ดีแล้ว พวกเราต้องรีบแล้วล่ะ! ถ้าฤดูใบไม้ผลิมาถึงภาพวาดนี้เมื่อไหร่ พวกเราจะไม่สามารถทำลายฉนวนโดยการใช้พลังงานเย็นได้อีกต่อไป” วัยรุ่นคนหนึ่งอุทานออกมา
เขารีบตรงเข้าไปยืนด้านหลังจ้าวหย่าและปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างของเธอเพื่อช่วยให้จ้าวหย่ามีพลังงานเพิ่มขึ้นและสามารถถอดรหัสฉนวนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
คนอื่นๆต่างก็รู้ถึงความเร่งด่วนนี้ จึงรีบเข้ามาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของจ้าวหย่าโดยใช้ศาสตร์ลับชนิดหนึ่ง ในชั่วพริบตากระแสพลังงานเย็นที่จ้าวหย่าแผ่ออกมาก็เข้มข้นขึ้นจนถึงระดับที่ฉนวนพร้อมจะถูกทำลาย
“ฤดูใบไม้ผลิมาถึงภาพวาดแล้วหรือ?” รู้ดีว่าเครื่องรางน้อยจะต้องมีความรู้เรื่องนี้ จางเซวียนรีบตั้งคำถาม “นั่นหมายความว่าฉนวนนี้เชื่อมโยงกับฤดูกาลที่อยู่ในภาพวาดใช่ไหม?”
“เมื่อผืนผ้าใบสี่ฤดูเปลี่ยนแปลงจากฤดูกาลหนึ่งไปเป็นอีกฤดูกาลหนึ่ง ฉนวนที่อยู่ในภาพวาดก็จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อสกัดกั้นพลังงานในภาพวาดเอาไว้ไม่ให้รั่วไหลออกมา” เครื่องรางน้อยอธิบาย “ผมเชื่อว่าเจ้าเด็กจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กลุ่มนั้นได้คำนวณไว้แล้วว่าในช่วงเวลานี้ ผืนผ้าใบสี่ฤดูจะเป็นฤดูหนาวพวกเขาจึงลักพาตัวลูกศิษย์ของคุณมาให้ทำการถอดรหัสฉนวน”
“ฉนวนจะมีองค์ประกอบของพลังงานเย็นเมื่อในภาพวาดเป็นช่วงเวลาของฤดูหนาว ทำให้ผู้ที่ครอบครองสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์สามารถควบคุมและถอดรหัสฉนวนได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ฉนวนก็จะเปลี่ยนแปลงไป หากพวกเขาไม่มีพละกำลังที่เชื่อมโยงถึงมัน ก็ไม่มีทางถอดรหัสฉนวนได้อีก”
“เท่าที่ดูจากการที่น้ำแข็งละลายและแม่น้ำเริ่มไหลเชี่ยวอีกครั้ง ก็แปลว่าผืนผ้าใบสี่ฤดูกำลังเริ่มต้นเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูหนาวมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ แล้วผมควรจะช่วยพวกเขาถอดรหัสฉนวนไหม?”จางเซวียนตั้งคำถาม
พูดกันตามตรง เขาไม่รู้ว่าพลังงานชนิดไหนที่จะเชื่อมโยงกับฉนวนของฤดูใบไม้ผลิ แต่หากเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วยกลุ่มคนจาก 100สำนักแห่งนักปราชญ์ ก็มีโอกาสสูงที่จะไม่เหลือแม้แต่ภาพวาดให้พวกเขาได้แย่งชิงกัน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็น่าจะช่วยเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้เสียก่อน แล้วค่อยต่อสู้กันเพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในภาพวาดทีหลัง
เพราะถึงอย่างไร จางเซวียนก็มีทั้ง 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่, อสูรที่เขาทำให้ยอมจำนนได้อีกมากกว่า 12 ตัว และของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกมากมาย ต่อให้เด็กวัยรุ่นทั้งแปดคนจาก 100สำนักแห่งนักปราชญ์จะทรงพลังแค่ไหน จางเซวียนก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะสู้กับเขาได้
“คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือที่คุณมาถึงหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หลังจากผ่านมิติหิมะมาได้?” เครื่องรางน้อยพึมพำ
“เอ่อ…” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตเมื่อถึงบางอ้อ“ผืนผ้าใบสี่ฤดูกำลังอยู่ในช่วงของฤดูหนาว และมิติหิมะก็เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ถ้ามีความเชื่อมโยงระหว่าง 2 สิ่งนี้ ก็หมายความว่า…”
เมื่อคิดได้ จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วคริสตัลเยือกแข็งที่เคยอยู่บนแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็มาอยู่ในมือของเขา
ตอนนี้ คริสตัลเยือกแข็งไม่ได้เย็นเยือกอย่างที่เคยเป็น กลับตรงกันข้าม จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและการบ่มเพาะจากคริสตัลนั้น ราวกับว่าในที่สุดชีวิตชีวาก็ได้กลับคืนมาสู่โลกอีกครั้งหลังจากที่กลายเป็นน้ำแข็งอยู่ยาวนาน ก็เหมือนกับภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าพลังงานที่อยู่ในคริสตัลเยือกแข็งกำลังค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นฤดูใบไม้ผลิ
“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า
เขาให้ชื่อมิติแห่งที่สามที่ตัวเองได้เข้าไปว่ามิติหิมะ แต่นั่นไม่ใช่ชื่อที่ถูกต้องนัก หากจะพูดให้ถูก มันควรจะเรียกว่ามิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 มากกว่า
ฤดูกาลที่อยู่ในนั้นไม่ได้เป็นฤดูหนาวตลอดไป มันจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว
เพียงแต่เขาเข้าสู่มิตินั้นในช่วงเวลาที่เป็นฤดูหนาว ทำให้ได้เห็นแต่หิมะ
เครื่องรางที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศในมิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 นั้นคือคริสตัลที่เขากำลังถืออยู่ ถ้าเขาไม่นำมันมา หิมะที่อยู่ในมิติแห่งนั้นก็จะเริ่มหลอมละลาย เร่งให้ฤดูใบไม้ผลิกลับมาสู่โลกเร็วขึ้น
“คริสตัลที่อยู่ในมือของคุณคือหัวใจของการเปิดฉนวน” เครื่องรางน้อยพูด
“ได้สิ” เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จางเซวียนพยักหน้าแต่แล้วก็ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงแคลงใจเล็กน้อย “ผมเคยคิดว่าคุณไม่รู้อะไรเลย แล้วทำไมจู่ๆถึงรอบรู้ไปเสียหมดทุกเรื่อง?”
ตั้งแต่จางเซวียนอยู่ในมิติผืนป่าจนถึงมิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 เครื่องรางน้อยทำตัวไร้ประโยชน์มาตลอด แต่ตอนนี้ มันกลับบอกทุกอย่างด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ถ้ามันรู้ข้อมูลพวกนี้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงไม่พูดออกมา?
“อืมมม…” เครื่องรางน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างภาคภูมิใจ “อาจเป็นเพราะปรมาจารย์ขงได้ปิดกั้นความทรงจำของผมไว้ให้อยู่ในรูปแบบที่ผมจะได้ความทรงจำนั้นกลับคืนมาเมื่อเข้าสู่สถานที่ที่เชื่อมโยงกับมันเท่านั้น จนกว่าผมจะได้เข้าสู่หอบริวาร ผมก็จะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ยกตัวอย่างนะ ถ้าตอนนี้คุณถามว่ามีอะไรอยู่ในหอบริวารที่เหลืออีก 5 แห่ง ผมก็ตอบอะไรคุณไม่ได้!”
“แบบนี้นี่เอง…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เขามองออกว่าปรมาจารย์ขงควบคุมเครื่องรางน้อยไว้อย่างเข้มงวด เพราะไม่อย่างนั้น มรดกตกทอดและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของปรมาจารย์ขงคงถูกกวาดเรียบไปแล้ว และนั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ขงปรารถนา
“ด้วยคริสตัลนี้ ผมจะสามารถถอดรหัสฉนวนของผืนผ้าใบสี่ฤดูได้ทุกเมื่อที่ผมต้องการ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็…” เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเพราะได้เข้าสู่มิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 มาแล้ว จางเซวียนมองหน้ากลุ่มเด็กวัยรุ่นจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่กำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนจะทำลายฉนวนให้ได้ภายในเวลาที่มีจำกัดเขายิ้มออกมา
เด็กวัยรุ่นแปดคนนั้นยืนต่อแถวกันหลังจ้าวหย่า ใช้ฝ่ามือแตะแผ่นหลังของกันและกันไว้ ทุกคนกำลังถ่ายทอดพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่ร่างของจ้าวหย่าเพื่อผลักดันให้เธอปล่อยพลังงานเย็นเข้าสู่ฉนวนอย่างต่อเนื่อง
“ในเมื่อพวกคุณอาจหาญลักพาตัวจ้าวหย่ามาและทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์เพื่อผลประโยชน์ของพวกคุณเอง ผมก็ไม่คิดว่าพวกคุณจะต่อว่าผมในสิ่งที่ผมกำลังจะทำหรอกนะ” จางเซวียนพึมพำ
เขาหัวเราะหึๆ จากนั้นก็คำนวณระยะเวลาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
การเคลื่อนไหวของจางเซวียนว่องไวมาก แถมยังเรียกพลังจากสายเลือดตระกูลจางเพื่อการนี้ด้วย ดังนั้น ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัวจางเซวียนก็ไปอยู่เหนือศีรษะของจ้าวหย่า
“ตัดการเชื่อมโยง!”
จางเซวียนกระดิกนิ้วโดยไม่ลังเลและปล่อยกระแสดาบฉีเพื่อตัดการเชื่อมโยงระหว่างฝ่ามือแต่ละข้างกับแผ่นหลังของจ้าวหย่า
บึ้มมมม!
เมื่อการเชื่อมโยงระหว่างเด็กวัยรุ่นทั้งแปดคนกับจ้าวหย่าถูกตัดขาด ผลที่เกิดก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พลังปราณที่พวกเขาปล่อยออกมาต้องสูญเปล่า
ภายใต้การควบคุมจากพลังปราณของจางเซวียน เกิดการระเบิดของพลังงานขึ้นภายในร่างของจ้าวหย่าอย่างรวดเร็วและทำลายด่านคอขวดที่ปิดกั้นวรยุทธของเธอไว้ ทำให้พละกำลังของเธอพุ่งพรวด
ภายในเวลาเพียง 2 อึดใจ จ้าวหย่าก็สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก
…..
“ท่านอาจารย์…”
การยกระดับวรยุทธดูเหมือนจะทำลายเทคนิคการควบคุมจิตใจที่ครอบงำจ้าวหย่าไว้ เธอรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นร่างของจางเซวียนอยู่เหนือศีรษะ ก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้สกัดกั้นพลังปราณที่เหลืออยู่ในร่างของคุณไว้ก่อน คุณจะได้ใช้มันสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ”จางเซวียนสั่งการขณะส่งกรรมวิธีสกัดกั้นพลังปราณให้จ้าวหย่า
ถึงจ้าวหย่าจะใช้พลังปราณไปมากในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ก็ยังหลงเหลือพลังงานอยู่ในร่างของเธอไม่น้อย อีกอย่าง ร่างของเธอยังเปี่ยมด้วยพลังปราณของนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกถึง 8 คนด้วย
จางเซวียนคิดว่าจะให้จ้าวหย่าสกัดกั้นพลังปราณเหล่านั้นไว้ก่อนและนำไปใช้ในอนาคต ตอนที่เธอต้องการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ เพราะถึงอย่างไร การจะปล่อยให้พลังงานล้ำค่าเหล่านี้ต้องสูญเสียไปก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
“จางเซวียน คุณรนหาที่ตายแล้ว!”
นึกไม่ถึงว่าพลังปราณของพวกเขาจะถูกฉกฉวยไปด้วยวิธีการแบบนี้ เด็กวัยรุ่นทั้งแปดถึงกับโมโหเดือด