อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1858 คนรักของเจิ้งหยาง (2)
เจิ้งหยางเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วนใจที่ถูกเว่ยหรูเหยียนจี้จุด
“ก็ได้ ก็ได้ ฉันยอมทำตามคำขอของคุณ!” เห็นสีหน้าของเจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียนถอนหายใจเฮือกก่อนจะยอมเลิกรา เธอตั้งคำถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “แล้วคุณอยากให้ฉันทำอะไร? ให้ฉันวางยาพิษเธอดีไหม ถ้าคุณต้องการล่ะก็ รับรองได้ว่าเธอจะตายอย่างช้าๆและทรมาน และคุณแน่ใจได้เลยว่าจะไม่เหลือหลักฐานที่สาวมาถึงตัวคุณ แต่ถ้าคุณยังกังวลว่าครอบครัวของเธอจะมาแก้แค้นล่ะก็ ฉันช่วยคุณกำจัดพวกนั้นให้หมดเลยก็ได้…”
“อะ-เอ่อ…ไม่เป็นไร ผมจัดการเองได้” เจิ้งหยางตอบด้วยอาการตัวสั่น
เขาเริ่มรู้สึกว่าตัดสินใจผิดที่ขอความช่วยเหลือจากศิษย์น้อง
“ไม่ต้องเกรงใจน่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้เธอตาย ฉันก็จะผสมยาที่ค่อยๆออกฤทธิ์กัดกร่อนหัวสมองของเธอและเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นหุ่นกระบอก เธอจะกลายเป็นของเล่นของคุณ และคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจไปจากคุณอีก…” เว่ยหรูเหยียนยังคงเสนอความคิดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“แค่ก แค่ก…” เจิ้งหยางรีบเบรกความคิดของเว่ยหรูเหยียน “ศิษย์น้อง ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังมีเรื่องต้องทำ ดูเหมือนคุณก็จะมีธุระยุ่งนะ ผมคงไม่รบกวนคุณด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้หรอก ขอตัว!”
จากนั้น เขาก็หันหลังกลับและบินหนีไป
สมกับที่เป็นหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ…เว่ยหรูเหยียนเป็นคนที่ไม่น่ามีเรื่องด้วยเลยจริงๆ!
แต่ยังไม่ทันที่เจิ้งหยางจะไปได้ไกล ก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไป ก็เห็นร่างบอบบางตามเขามาติดๆ ทำเอาเขากลัวจนแทบขาดใจ
“ศิษย์น้องหรูเหยียน…” เจิ้งหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเต็มกลืน
“ฉันเข้าใจน่ะ ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายหรอก ก็แค่ออกความเห็นตามธรรมดา ไม่ใช่ว่าฉันกระหาย การฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผลนะ ถ้าฉันอยากทำร้ายใครล่ะก็ ฉันจะเล่นงานเฉพาะผู้ที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณขึ้นไปเท่านั้น มนุษย์ธรรมดาสามัญน่ะไม่อยู่ในสายตาของฉัน!” เว่ยหรูเหยียนคำราม
ถึงเธอจะเป็นหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ แต่ก็ไม่ใช่คนชนิดที่จะฆ่าแกงใครด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อย คำพูดของเธออาจบ่งบอกแบบนั้น แต่เพราะเธอเคยสูญเสียผู้เป็นที่รัก จึงรู้ดีว่าชีวิตมีค่าแค่ไหน
อีกอย่าง ถ้าเธอกล้าเห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา ท่านอาจารย์คงเป็นคนแรกที่เล่นงานเธอถึงตาย
“แต่…” เจิ้งหยางทักท้วงอย่างอ่อนใจ
เขารู้ว่าศิษย์น้องแค่ล้อเล่น แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากใช้ใครสักคนที่มีทักษะด้านยาพิษแบบเว่ยหรูเหยียน ถ้าเธออารมณ์เสียและแผ่พิษออกมา เขาคงจบเห่
“ไม่มีแต่ นำทางไปเลย ถ้าคุณกล้าพูดอะไรเหลวไหลออกมาอีก ฉันจะวางยาให้คุณเงียบ!” เว่ยหรูเหยียนโบกมืออย่างเย็นชา
“….” เจิ้งหยางแทบปล่อยโฮ
นี่มันบ้าบออะไร?
ถ้าเขารู้เสียก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ จะไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากเธอเลย ทุกอย่างดูจะอยู่เหนือการควบคุมของเขาเสียแล้ว ราวกับเขาถูกจับตัวใส่เรือโจรสลัดและไม่อาจหนีพ้น
ทั้งคู่บินออกจากโรงเรียนหงเทียนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาหยุดอยู่เหนือคฤหาสน์โอ่อ่าหลังหนึ่ง คฤหาสน์หลังนี้ใหญ่โตมโหฬารมาก กินเนื้อที่เท่ากับความกว้างของถนนทั้งสาย
เจิ้งหยางมองคฤหาสน์จากกลางอากาศ เขาสงสัย “เดี๋ยวก่อน แบบนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่…”
“มีอะไรหรือ?” เว่ยหรูเหยียนเข้ามา
“ผมเคยอยู่แถวนี้ และแน่ใจว่ามันเป็นพื้นที่ชุมชน ทำไมถึงมีคฤหาสน์ใหญ่โตมาอยู่ที่นี่ได้?” เจิ้งหยางตั้งข้อสังเกตด้วยความประหลาดใจ
ครอบครัวของเขาฐานะไม่ดีเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ก็คงไม่ต้องลำบากลำบนเพื่อให้ผ่านการประเมินของอาจารย์หว่างเชา
ก่อนที่เขาจะจากไป พื้นที่บริเวณนี้ยังเป็นชุมชนธรรมดาสามัญ แล้วคฤหาสน์ใหญ่โตขนาดนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
“คำถามนี้ตอบได้ไม่ยากนี่? คุณก็แค่คว้าตัวใครสักคนที่เดินผ่านไปมาเพื่อมาถาม ก็แค่นั้น”
เว่ยหรูเหยียนร่อนลงกับพื้นแล้วเดินไปยังร้านน้ำชา เธอมองหน้าเจ้าของร้านน้ำชาและถามว่า “สหาย ไม่ทราบว่าคฤหาสน์หลังนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ใช่ไหม?”
เจ้าของร้านน้ำชามีทีท่าไม่อยากจะเสวนาในตอนแรก แต่เมื่อเห็นหน้าตาของสาวน้อย ก็รีบยิ้มรับขณะตอบว่า “สาวน้อย คุณคงมาที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนเป็นครั้งแรกสินะ คุณพูดถูกแล้ว คฤหาสน์หลังนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้วและสร้างเสร็จภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ว่ากันว่าช่างฝีมือชั้นยอดทุกคนในพื้นที่ต่างทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อให้สร้างเสร็จทันเวลา ดูการจัดวางผังของลานบ้านสิ ว่ากันว่าเจ้าของคฤหาสน์ว่าจ้างนักออกแบบผังเมืองมาด้วย ทำให้มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชวังเสียอีก!”
“มีแม้กระทั่งนักออกแบบผังเมือง?”
เว่ยหรูเหยียนกับเจิ้งหยางสบตากัน
พลเมืองส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนอาจไม่รู้ความสำคัญของนักออกแบบผังเมือง แต่พวกเขารู้ดี แม้แต่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจางก็ต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบรรดานักออกแบบ ถ้าเจ้าของคฤหาสน์มีเงินทองมากพอที่จะสร้างคฤหาสน์หลังนี้ แถมยังมีเส้นสายในการจ้างนักออกแบบผังเมืองด้วย…แล้วทำไมพวกเขาถึงยังเลือกพำนักอยู่ในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน?
“คุณรู้ไหมว่าเจ้าของคฤหาสน์คือใคร?” เจิ้งหยางถามด้วยความอยากรู้
“มันเป็นคฤหาสน์ของตระกูลซู!” เจ้าของร้านน้ำชาตอบ
“ตระกูลซู?” เจิ้งหยางงุนงง
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีตระกูลซูอยู่ในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน?”
4 ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนคือตระกูลหวัง ตระกูลหลิว ตระกูลไป๋ และตระกูลตู้ ไม่เคยมีใครรู้จักชื่อของตระกูลซูมาก่อน
“คุณไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลซูหรือ? รู้จักหัวหน้าตระกูลไหม, ซูเม่าชิง?” เจ้าของร้านน้ำชาตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ซูเม่าชิง?” เจิ้งหยางชะงักขณะมองหน้าอีกฝ่ายราวกับเพิ่งได้ฟังบางอย่างที่เหลือเชื่อ “อะ-เอ่อ…ลูกสาวของเขาคือซูเฟยเฟยใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว!” เจ้าของร้านน้ำชาพยักหน้ารับ “ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวของเขาหาลูกเขยดีๆมาให้ คงไม่มีทางที่ซูเม่าชิงจะได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หรูหราแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน เขาไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้อน้ำชาจากร้านของผมด้วยซ้ำ! แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ซอมซ่อและขี้ริ้ว แต่หลังจากได้ลูกเขยคนนี้ สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยขาดแคลนก็คือเงิน ผมรู้มาว่าเมื่อวานนี้เขาเพิ่งใช้เงินไปถึง 10 เหรียญทองเป็นค่าอาหารมื้อเย็น!”
“เดี๋ยวก่อน! ลูกเขย?” เจิ้งหยางขัดการสาธยายของเจ้าของร้านน้ำชา เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยรู้อะไรนี่ ใช่ไหม? แต่คุณถามถูกคนแล้วล่ะ ผมทำงานที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรในพื้นที่นี้ที่หลุดรอดจากสายตาของผมไปได้!”
เจ้าของร้านน้ำชาสาธยายออกรสขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่พรั่งพรูเรื่องเล่าออกมาไม่หยุด “ลูกสาวของเขา, ซูเฟยเฟยน่ะจับพลัดจับผลูได้รู้จักกับขุนนางของจักรวรรดิที่ไหนสักแห่ง ขุนนางคนนั้นร่ำรวยและมีอำนาจมาก เขาสร้างคฤหาสน์ใหญ่โตหลังนี้ขึ้นเพื่อพักอาศัย ไม่อย่างนั้นละก็ ลำพังพ่อกับลูกสาว คุณคิดว่าพวกเขาจะมีปัญญาได้เป็นเจ้าของอะไรแบบนี้หรือ?”
“ผมเข้าใจ…” เจิ้งหยางพยักหน้าขณะที่ยังจังงัง
“ถ้าอย่างนั้น ซูเฟยเฟยคนนี้ก็คงเป็นสาวน้อยที่คุณเคยหลงรักสินะ? ดูเหมือนสายตาของเธอจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่!” เว่ยหรูเหยียนหัวเราะเบาๆขณะส่งโทรจิตหาเจิ้งหยาง
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางของจักรวรรดิไหน หรือต่อให้เป็นฮ่องเต้ ก็เทียบชั้นไม่ได้กับเจิ้งหยางในตอนนี้!
คิดดูสิว่าเธอทิ้งขว้างไข่มุกที่อยู่ตรงหน้าเพื่อไปคว้าเพียงขุนนางคนหนึ่ง…อยากเปิดหัวสมองของเธอดูเหลือเกินว่าเธอจะคิดอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปบ้าง
“ผม…” เจิ้งหยางอึ้งไปพักใหญ่ ไม่รู้จะพูดอะไร
ในครั้งนั้น เขาถูกซูเฟยเฟยปฏิเสธก่อนจะเข้ารับการประเมิน ทำให้ศิลปะเพลงหอกอันทรงพลังของเขาถูกความวุ่นวายใจเข้าครอบงำ จนลงท้ายก็ไม่อาจเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์หว่างเชาได้สำเร็จ
“ดูนั่น พวกเขาออกมาแล้ว!”
แอ๊ดดดด!
ประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์เปิดออก สาวน้อยคนหนึ่งที่ควงแขนกับชายวัยกลางคนก้าวออกมาจากข้างใน
เธอดูดี แต่ในแง่ของรูปร่างหน้าตา ยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับเสิ่นปี้หรู นับประสาอะไรกับเว่ยหรูเหยียน จ้าวหย่า และคนอื่นๆ ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างเธอมีร่างอ้วนใหญ่และใบหน้าที่ออกจะผิดส่วนเล็กน้อย รูปร่างของเขาเทอะทะกว่าหยวนเทาเสียอีก
แต่ถึงอย่างนั้น สาวน้อยก็เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ ราวกับกำลังควงแขนกับเจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์
เห็นภาพนั้น เว่ยหรูเหยียนพ่นลม “ผู้หญิงที่คุณชอบน่ะแต่งงานกับชายแก่น่าเกลียดแบบนี้หรือ?”
ซูเฟยเฟยน่าจะแต่งงานกับอีกฝ่ายเพราะเงิน แต่เธอทนนอนข้างใครสักคนที่มีรูปลักษณ์แบบนี้อยู่ทุกคืนได้อย่างไรในเมื่อมันไม่ได้เป็นความรักที่แท้จริง?
เจิ้งหยางระบายลมหายใจยาว ก่อนจะหันหลังกลับแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
นี่คือผู้หญิงคนแรกที่เขาชอบ ซึ่งเขาตกหลุมรักเธอมากว่า 5 ปีแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือพบหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะได้ตัดใจให้ขาด
ในเมื่อเขาพบเธอแล้วและดูเหมือนเธอก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี…เพียงเท่านั้นก็มากพอ
“ไปรึ? การแสดงยังไม่เริ่มเลย จะพลาดช่วงเวลาน่าตื่นเต้นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” เว่ยหรูเหยียนหัวเราะเบาๆแล้วเหยียดริมฝีปากยิ้ม