อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1856 มูลค่าของยาเม็ด
“….”
เจิ้งหยางอับอายเสียจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ในระหว่างที่เขากำลังอึกอักยึกยัก หอกของโม่วเซียวก็แทงเข้าที่ดวงตาของเขาอย่างจัง แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่เลวร้ายที่สุด
เขาพลั้งมือปล่อยเศษเสี้ยวเล็กๆของพลังปราณออกไปเพราะเจอเข้ากับการใช้กำลัง แล้วหอกของโม่วเซียวก็สลายตัว
อาวุธระดับมนุษย์ช่างบอบบางเหลือเกิน!
ถ้าเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่…อย่างน้อยเขาก็ต้องกระพริบตาถึงจะทำแบบนั้นได้!
เขาควรจะควบคุมพละกำลังของตัวเองให้ดีกว่านี้…แต่ก็นั่นแหละ เขายังไม่ได้สำแดงความแข็งแกร่งออกไปเลยด้วยซ้ำ
เมื่อหอกสลายตัว โม่วเซียวถอยหลังพรวดด้วยความพรั่นพรึงอย่างหนัก
เป้าหมายของเขาอยู่ที่ดวงตาของเจิ้งหยาง เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องหลบแน่ แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนั่นจะยืนเฉยไม่ขยับราวกับรูปปั้น โม่วเซียวตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจ เพราะแทนที่จะมีภาพน่าหวาดเสียวปรากฏตรงหน้า หอกของเขากลับกลายเป็นเหยื่อของการต่อสู้ไปแทน
ในตอนนั้นเองที่โม่วเซียวได้รู้ว่าเจิ้งหยางทรงพลังกว่าที่เขาคิดไว้มาก เขารีบถอยไปหลายก้าว ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเพื่อปล่อยลูกเตะเข้าใส่
พละกำลังที่นำไปสู่การเตะนั้นลื่นไหลมาก เห็นได้ชัดว่าโม่วเซียวขัดเกลากระบวนท่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้แสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเจตจำนงการต่อสู้อันเย็นเยือก ขาของเขาตวัดเข้าใส่ก้านคอของเจิ้งหยาง
พลั่ก!
ราวกับเตะเสาโลหะ หน้าแข้งของโม่วเซียวหักดังกร๊อบ
“อ๊ากกกกกก!” โม่วเซียวร้องโหยหวนออกมาแล้วทรุดฮวบลงกับพื้น นัยน์ตาของเขาบ่งบอกความไม่อยากเชื่อขณะอุทาน “หรือว่าคุณผ่านวรยุทธขั้นจงซรือและสำเร็จขั้นจื้อจุนแล้ว?”
“ผม…” เจิ้งหยางหน้าตาบิดเบี้ยว
เขายังไม่ได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ แต่ทั้งหอกและขาของโม่วเซียวก็หมดสภาพเสียแล้ว แบบนี้พวกเขาจะดวลกันต่อได้อย่างไร?
“ผมนึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะสำเร็จวรยุทธขั้นนั้น…” เมื่อเจอกับความเงียบงันของเจิ้งหยาง โม่วเซียวคิดว่าเขาเดาถูก ประกายของความอิจฉาฉายวาบในส่วนลึกของดวงตาของเขา
ครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าเพื่อนรักไปเป็นศิษย์ของปรมาจารย์จาง ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายอยู่นาน แต่ไม่ช้า ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างปรมาจารย์จางกับอาจารย์ลู่ และอาจารย์หว่างเชาซึ่งเป็นท่านอาจารย์ของเขาก็ได้ส่งมอบตัวเขาให้อยู่ภายใต้คำชี้แนะของอาจารย์ลู่ฉวินแทน
ในครั้งนั้น เขาได้ดวลกับเจิ้งหยาง และได้รู้ว่าศิลปะเพลงหอกของเจิ้งหยางเหนือชั้นกว่าเขาไปแล้ว
นับจากนั้นเป็นต้นมา โม่วเซียวก็ฝึกฝนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หวังว่าจะท้าทายเจิ้งหยางเข้าสู่การดวลอีกครั้งและเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้
นี่คือเหตุผลที่เขากระตือรือร้นท้าดวลกับเจิ้งหยางทันทีที่ทั้งคู่ได้พบหน้ากัน เขาคิดว่าการฝึกฝนอย่างหนักตลอด 1 ปีที่ผ่านมาจะทำให้เอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แต่ใครจะไปรู้ว่าเจิ้งหยางสำเร็จวรยุทธขั้นจื้อจุนแล้ว ห่างไกลจากเขาออกไปอีก
การโจมตีของเขาทำให้เจิ้งหยางบาดเจ็บไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
“ผม…” เจิ้งหยางตั้งใจจะอธิบาย แต่ลงท้ายก็ส่ายหน้า
ในสายตาของโม่วเซียว วรยุทธขั้นจื้อจุนดูเหมือนจะเป็นสุดยอดของโลกใบนี้ แต่ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะคิดแบบนั้น
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังก้องไปทั่วห้อง เสียงนั้นมาจากจางเซวียน
“เขาอยู่คนละโลกกับคุณแล้ว”
ได้ยินคำนั้น เจิ้งหยางก้มหน้าลงอย่างหดหู่ เมื่อครู่นี้เขายังตื่นเต้นที่ได้พบเพื่อนเก่า แต่มาตอนนี้ ความลิงโลดเหล่านั้นหายไปหมด
จากกันไปเพียง 1 ปี แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาห่างไกลกันเสียจนประเมินไม่ได้ มันย้ำเตือนเขาว่าวันคืนเก่าๆที่แสนงดงามได้ผ่านไปแล้ว และไม่มีทางที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับโม่วเซียวจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ด้วยความแตกต่างด้านสถานภาพและพละกำลัง ทั้งคู่ไม่อาจพูดภาษาเดียวกันอีกต่อไป ไม่ว่าจะพยายามมองข้ามมันแค่ไหน รอยแตกร้าวนั้นก็มีแต่จะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนสักวันก็จะต้องแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา
โม่วเซียวยังคงสงสัยว่าตัวเขาน่าจะฝ่าด่านวรยุทธจากขั้นจงซรือไปเป็นขั้นจื้อจุนแล้ว ขณะที่ความจริงก็คือเจิ้งหยางเข้าถึงระดับที่แม้แต่โม่วเซียวก็ไม่อาจหยั่งถึง
“พร้อมกันกับการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของคุณ คุณจะต้องแยกจากมิตรสหายจำนวนมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…” จางเซวียนพูดต่อ
โลกของเจิ้งหยางกับโม่วเซียวแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีวันจะกลับมาประสานกันได้อีก
ไม่ใช่ว่าทั้งคู่อยากตัดความสัมพันธ์ฉันมิตร แต่ความแตกต่างในด้านพละกำลังเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของความสัมพันธ์ของพวกเขาไป การประชันขันแข่งเคยเป็นกุญแจดอกสำคัญในความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ตอนนี้ ไม่มีทางที่โม่วเซียวจะยอมรับความเหลื่อมล้ำที่ไม่อาจเอื้อมถึงกันได้ระหว่างทั้งคู่
การดำเนินความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไปมีแต่จะทำลายความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเองของเขา
ได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์ เจิ้งหยางสลัดความคิดออกจากภวังค์และตอบยิ้มๆ “ใช่ คุณพูดถูก ผมสำเร็จวรยุทธขั้นจื้อจุนแล้ว…”
เขาฉุดเพื่อนรักขึ้นจากพื้นก่อนจะเดินไปหาจางเซวียน “ท่านอาจารย์ ผมขอยาเม็ดที่คุณนำออกมาเมื่อครู่นี้ได้ไหม? โม่วเซียวบาดเจ็บ ผมอยากมอบยาเม็ดให้เขา”
“นี่”
จางเซวียนกระดิกนิ้ว แล้วยาเม็ดที่เขามอบให้สาวน้อยเมื่อครู่ก่อนก็ลอยเข้าสู่มือของเจิ้งหยาง
“กินซะ!” เจิ้งหยางพูดขณะยื่นยาเม็ดให้โม่วเซียว
“ได้” โม่วเซียวพยักหน้า
เขากำลังจะกลืนยาเม็ดลงไป ก็พอดีกับที่สาวน้อยคนเมื่อครู่เดินพรวดพราดเข้ามา สีหน้าของเธอดูร้อนใจ
“ศิษย์พี่ เมื่อกี้นี้ฉันได้พิจารณายาเม็ดนั่นแล้ว ไม่มีร่องรอยของพลังจิตวิญญาณอยู่ในยาเม็ดแม้แต่น้อย มันน่าจะเป็นยาปลอม คุณอย่ากินมันนะ!”
เธอได้ตรวจสอบมันแล้ว และยาเม็ดนี้ก็ดูน่าสงสัยมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโม่วเซียวกินยาเข้าไปแล้ววรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก?
“อย่าห่วงน่ะ ผมเชื่อในตัวเจิ้งหยาง เขาไม่ทำร้ายผมหรอก” โม่วเซียวตอบยิ้มๆก่อนจะกลืนยาเม็ดลงไป
แม้ความเหลื่อมล้ำของพละกำลังจะทำให้เขาปวดใจอยู่บ้าง แต่ความไว้ใจและความรู้สึกที่เขาเคยมีให้เจิ้งหยางไม่ได้เปลี่ยนแปลง
เขาแน่ใจว่าเจิ้งหยางจะไม่ทำร้ายเขา ทั้งยังเชื่อใจอีกฝ่ายด้วย
“เมิ่งน้อยพูดถูก โม่วเซียว คุณกินยาของคนอื่นอย่างบุ่มบ่ามแบบนั้นได้อย่างไร?”
ลู่ฉวินก็นึกไม่ถึงว่าลูกศิษย์ของเขาจะกินยาที่คนอื่นมอบให้อย่างง่ายดายแบบนั้น เขาย่นหน้าผาก จากนั้นก็รีบเข้ามาทาบฝ่ามือลงบนร่างของโม่วเซียว “ผมจะตรวจสอบสภาวะร่างกายของคุณเพื่อดูว่ายาเม็ดนั่นมีอะไรผิดปกติหรือไม่!”
บึ้มมมม!
ทันทีที่พลังปราณของเขาพุ่งเข้าสู่จุดชีพจรของโม่วเซียว กระแสความร้อนก็พวยพุ่งออกจากร่างของอีกฝ่าย กระแทกเขาจนผงะไป
พลั่ก!
ลู่ฉวินถูกสอยกระเด็นก่อนจะร่วงลงมากองกับพื้นเวที ทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้
“พละกำลังน่าทึ่งอะไรอย่างนี้…” เขาตั้งข้อสังเกตพร้อมกับหรี่ตา ขณะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน
ลู่ฉวินรีบมองลูกศิษย์ของเขา และเห็นพลังงานมหาศาลพลุ่งพล่านอยู่รอบจุดชีพจรของโม่วเซียว ดูเหมือนร่างของชายหนุ่มกำลังจะระเบิดเป็นไฟ กระแสพลังจิตวิญญาณอันน่าทึ่งโอบล้อมตัวเขา เกิดเป็นเกลียวขนาดใหญ่
ฟิ้วววว!
ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 อึดใจ โม่วเซียวก็ฝ่าด่านคอขวดได้สำเร็จ วรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุดของเขาก้าวไปเป็นขั้นจงซรือ
แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
จงซรือ ขั้นต้น!
จงซรือ ขั้นกลาง!
จงซรือ ขั้นสูง!
จงซรือ ขั้นสูงสุด…
จื้อจุน ขั้นต้น!
จื้อจุน ขั้นกลาง…
แม้จะสำเร็จวรยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุดแล้ว การฝ่าด่านวรยุทธของโม่วเซียวก็ยังไม่หยุด เขายังคงก้าวต่อไปจนได้เป็นนักรบเหนือมนุษย์
สุดท้าย วรยุทธของโม่วเซียวก็หยุดอยู่ที่นักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2-พลังต้นกำเนิด ทุกกระบวนท่าของเขาเปี่ยมด้วยพละกำลัง ดูราวกับว่าเขาเพิ่งก้าวสู่ความเป็นอมตะ
“นะ-นี่…” ลู่ฉวินตาค้างขณะตัวสั่นไม่หยุดราวกับได้เห็นปีศาจ เขาพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “ยาเม็ดนั่น…คือยาเม็ดเกรด 6 หรือ?”
มีแต่ยาเม็ดที่เหนือกว่าเกรด 6 ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีพลังเยียวยาบริสุทธิ์ที่ทำให้นักรบสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ทีละหลายๆขั้นโดยไม่เกิดความบอบช้ำ
“เกรด 6?”
สาวน้อยคนเมื่อครู่รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด
เธอนึกได้ทันทีว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งปฏิเสธยาเม็ดนั้นตอนที่ทั้งกลุ่มเสนอจะมอบมันให้เธอเพื่อทดแทนเหรียญทอง…นอกจากปฏิเสธแล้ว เธอยังกล่าวหาพวกเขาว่าพยายามจะต้มตุ๋นเธออีกด้วย
ถ้าเธอรับยานั้นมาและกินมันเข้าไป ผู้ที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จก็จะต้องเป็นเธอ ไม่ใช่โม่วเซียว!
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” ได้ยินคำพูดของลู่ฉวิน เจิ้งหยางส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ของผมจะมียาเม็ดเกรด 6 ได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่ยาเม็ดเกรด 6 หรือ? ถ้าอย่างนั้น ทำไมมันถึงทำให้โม่วเซียวฝ่าด่านวรยุทธได้โดยไม่มีผลข้างเคียง? วรยุทธของเขายังดูสมบูรณ์แบบด้วย ไม่มีความหละหลวมหรือความไม่เสถียรเลยแม้แต่น้อย!” ลู่ฉวินทักท้วงด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง
ยาทุกชนิดจะมีพิษเจือปนอยู่ในระดับที่ต่างๆกันไป ยิ่งเป็นยาเม็ดเกรดสูงขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีพลังเยียวยามากขึ้น ทำให้ยกระดับวรยุทธได้อีกมาก แต่สิ่งนี้ก็มาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย เพราะวรยุทธของผู้นั้นจะไม่เสถียรหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกายของเขาจะบอบช้ำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เป็นไปได้จริงๆหรือที่ยาเม็ดซึ่งมีระดับต่ำกว่าเกรด 6 จะมีอานุภาพน่าทึ่งขนาดนี้?
“ยาเม็ดเกรด 6 น่ะ ไม่มีอานุภาพในการเยียวยาอาการบาดเจ็บและยกระดับวรยุทธได้ในเวลาเดียวกันหรอก ยาเม็ดที่ท่านอาจารย์ของผมนำออกมาน่ะคือยาเม็ดเกรด 8 และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมโม่วเซียวถึงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!” เจิ้งหยางอธิบายยิ้มๆ
“เกรด 8?”
เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ในห้องประชุมหยุดลงทันที ทุกคนจังงังกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน