อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1863 ปรมาจารย์ขงตายแล้ว?
ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ในโลงศพไม่ใช่ใครอื่นนอกจากครูบาอาจารย์ของโลก, ปรมาจารย์ขง!
เขาไม่ได้ขึ้นไปยังมิติเบื้องบนหรอกหรือ? ทำไมศพยังอยู่ที่นี่?
เจิ้งหยางจังงังไปชั่วขณะ คิดอะไรไม่ออก และไม่กล้าคิดให้มากนัก เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เสียจนหากเขาพูดอะไรผิดไป ก็อาจนำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่
ปรมาจารย์ขงคือเสาหลักผู้ค้ำจุนสภาปรมาจารย์ ต่อให้เขาหายตัวไปจากโลกนี้แล้ว ผู้คนมากมายก็ยังยึดถือคำสอนของเขาและให้คุณค่าตัวเขาในฐานะแรงบันดาลใจสูงสุด ไม่มีใครกล้าคิดว่าปรมาจารย์ขงผู้ยิ่งใหญ่จะมาเสียชีวิตอยู่ที่นี่!
ศพนั้นเหมือนรูปปั้น มีรอยยิ้มสงบเย็น บ่งบอกถึงความเป็นครูบาอาจารย์ที่ใจดี ดูราวกับว่าเขาถูกสังหารระหว่างที่กำลังเปิดการบรรยาย
ว่าแต่…ด้วยความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขง ใครกันที่จะสังหารเขาได้?
และใครกันที่ฝังปรมาจารย์ขงไว้ที่นี่ ลึกลับถึงขนาดที่แม้แต่สภาปรมาจารย์กับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่รู้เรื่อง?
เจิ้งหยางใจเต้นตึกตัก ปากคอแห้งผาก มีถ้อยคำมากมายอยู่ในสมองแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ ลงท้าย เขาก็เลือกจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและรอให้ตัวเองใจเย็นลง
ตอนที่เห็นศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว เขาก็ตกใจพอแล้ว แต่หลังจากได้พบอีกศพหนึ่ง หัวใจของเขาก็มีแต่ความพรั่นพรึง
เป็นธรรมดาที่ทุกคนในโลกต้องตาย แต่ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับปรมาจารย์ขงซึ่งเป็นที่เคารพยกย่องของใครๆ ศรัทธาของผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนจะเสื่อมสลายไปในทันที!
เจิ้งหยางปั่นป่วนหัวใจเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไร
“ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวท่านอาจารย์มาถึง ทุกอย่างก็ดีเอง…” เจิ้งหยางกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนขณะสลัดความคิดวุ่นวายต่างๆออกจากหัวสมอง
เขาติดตามท่านอาจารย์ของเขามานาน รู้ดีว่าไม่มีความยากเย็นใดๆในโลกนี้ที่เล่นงานท่านอาจารย์ของเขาได้ การที่เขาหาวิธีแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือรอคอยเท่านั้น
เมื่อคิดได้ เจิ้งหยางออกจากห้องโถง ตั้งใจจะกลับไปยังห้องที่เขาจากมา แต่แล้วก็พลันชะงักฝีเท้า
กระแสพลังงานถาโถมเข้าใส่เขา สติสัมปชัญญะของเขาพร่าเลือน
พลั่ก!
ทุกอย่างเงียบสงัด
…..
จางเซวียนนั่งอยู่ในห้องที่เขาเคยทำการสอน รู้สึกสบายอกสบายใจและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ในชีวิตเก่าของเขา เขาเป็นแค่บรรณารักษ์ต๊อกต๋อยคนหนึ่ง มันช่างเหนือจินตนาการเหลือเกินที่วันหนึ่งเขาได้ทะลุมิติมายังโลกใบนี้
ครั้งแรกที่เขาทะลุมิติมาเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสับสนและตื่นตระหนก เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไร ความปรารถนาเดียวที่ผลักดันให้เขาเดินหน้าต่อไปก็คือการดิ้นรนเอาชีวิตรอด
จางเซวียนใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง กว่าที่เขาจะกลมกลืนไปกับโลกใบนี้ได้
ความทรงจำต่างๆในชีวิตทยอยเข้ามาในสมอง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเก่าของเขา, ช่วงเวลาหลังจากการทะลุมิติมา, วินาทีแรกที่ก้าวเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า…
บางอย่างภายในตัวจางเซวียนค่อยๆเติบโต มันคือความแข็งแกร่งที่ดูเหมือนจะเอาชนะได้แม้แต่สวรรค์ มันโผล่พ้นพื้นดินออกมาและผลิบานเป็นบางอย่างที่สวยสดงดงาม
ในช่วงเวลาของการพบแสงสว่างแห่งการหยั่งรู้ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็แว่วเข้าหู จางเซวียนลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นเว่ยหรูเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า
…..
ได้ฟังคำบอกเล่าของเว่ยหรูเหยียน จางเซวียนลุกพรวด “คุณบอกว่าคุณพบศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวหรือ?”
นักปราชญ์โบราณหรันชิวคือศิษย์สายตรงที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงมากมายของปรมาจารย์ขง เป็นบุคคลที่บรรดายอดขุนพลนับไม่ถ้วนยึดถือเป็นแบบอย่าง ทำไมศพของเขาจึงมาอยู่ที่นี่ แถมยังถูกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินที่ลึกลงไปหลายสิบลี้?
“พาผมไปดูที!”
จางเซวียนทนความอยากรู้ไม่ไหว เขารีบตามเว่ยหรูเหยียนไปยังคฤหาสน์ของอวิ๋นเชียงแล้วตรงเข้าสู่ทางเดินใต้ดิน ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงที่มีโลงศพตั้งอยู่ตรงกลาง
จางเซวียนขมวดคิ้วหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน “เท่าที่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกและรังสี เขาก็น่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณหรันชิว…”
เมื่อครั้งที่จางเซวียนอยู่ในภูเขาห้วยขาว เขามีโอกาสได้พบกับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณหรันชิวครั้งหนึ่ง ศพที่อยู่ตรงหน้ามีหน้าตาเหมือนกัน และแม้แต่รังสีที่แผ่ออกมาก็คล้ายคลึงกันมาก
ศพนี้น่าจะเป็นศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว
“คุณควรจะมาดูนะ” จางเซวียนพูดพร้อมกับสะบัดข้อมือ
หอกสวรรค์กระดูกมังกรกระโจนออกจากบั้นเอวของจางเซวียนและแปรสภาพเป็นมังกรสีดำตัวใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ มันก้มหน้าลงมองโลงศพที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็ร่อนลงสู่พื้นและคุกเข่า
“นายท่าน!”
ร่างมังกรขนาดมหึมาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะเสียงกระซิบแผ่วเบาหลุดจากปากของมัน
มันคือของล้ำค่าที่หลอมโดยนักปราชญ์โบราณหรันชิว ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันคิดว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวได้ขึ้นสู่มิติเบื้องบนไปพร้อมกับปรมาจารย์ขงแล้วหลังจากที่กักขังมันไว้ในอาณาจักรโบร่ำโบราณที่ภูเขาห้วยขาว ใครจะไปคิดว่าเขาจะต้องตายแบบนี้?
“ดูเหมือนจะเป็นของจริงนะ” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต เขามองไปรอบๆห้องโถง จากนั้นก็ย่นหน้าผากและหันไปตั้งคำถามกับเว่ยหรูเหยียน “เจิ้งหยางอยู่ไหนล่ะ?”
“เอ๊ะ? ฉันก็ไม่แน่ใจ เขาน่าจะอยู่ที่นี่…” เว่ยหรูเหยียนชะงัก
ในเมื่อเจิ้งหยางสั่งการให้เธอไปตามท่านอาจารย์ เขาก็ควรจะรอเธออยู่ที่นี่ ทำไมถึงหายตัวไป?
จางเซวียนสำรวจพื้นที่นั้นอย่างถี่ถ้วน แต่ไม่พบร่องรอยของเจิ้งหยาง ลงท้ายเขาก็ทาบฝ่ามือลงบนศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวอย่างแผ่วเบา
ถ้าอยากทำความเข้าใจสถานที่แห่งนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้หอสมุดเทียบฟ้า
“ข้อบกพร่อง!”
หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือปรากฏ
จางเซวียนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเพราะร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นแค่ศพ หรือเพราะที่แห่งนี้ สามารถปิดกั้นสายตาของสวรรค์ได้
น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า จางเซวียนคิดขณะสำรวจพื้นที่โดยรอบต่อไป
เขาเคยใช้หอสมุดเทียบฟ้ากับศพมาแล้ว ซึ่งข้อจำกัดเดียวที่มีก็คือเขาไม่อาจหาข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตก่อนความตายของศพนั้นได้มากนัก แต่ส่วนรายละเอียดอื่นๆอย่างเช่นระดับขั้นของศพและอะไรทำนองนั้น จะสามารถประมวลขึ้นเป็นข้อมูลที่บรรจุไว้ในหนังสือ
สิ่งนี้เป็นไปในทำนองเดียวกันเมื่อเขาตรวจสอบของล้ำค่า
แต่การที่ไม่มีอะไรปรากฏเลยก็หมายความว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะถูกปกปิดไว้จากสายตาของสวรรค์ นั่นอธิบายได้ว่าทำไมถึงไม่มีผู้หยั่งรู้คนไหนค้นพบความจริงที่ว่าศิษย์สายตรงผู้แข็งแกร่งที่สุดของปรมาจารย์ขงได้เสียชีวิตที่นี่
“นี่คือดินแดนโบราณที่ไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ มันเป็นความหวังในการเยียวยาสายเลือดที่เจือจางและเปราะบาง หรือมันจะเป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลที่ว่าทำไมศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวจึงถูกฝังไว้ที่นี่?” จางเซวียนพยายามปะติดปะต่อเงื่อนงำของสิ่งที่ได้เห็น
นอกจากความจริงที่ว่าอาณาจักรโบร่ำโบราณส่วนใหญ่มีพลังจิตวิญญาณอยู่เบาบาง ทำให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการฝึกฝนวรยุทธ ดินแดนเหล่านี้ยังมีสิ่งลึกลับอยู่มากมายด้วย ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกส่งทะลุมิติมายังอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้ อีกทั้งยังได้พบศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวที่นี่…สองเรื่องนี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?
จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อสำรวจอีกครั้ง
“มีทางเดินอีกทางหนึ่งอยู่ตรงนี้” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะกระทืบเท้าเบาๆ
ครืดดดด!
โลงศพขยับไปด้านข้าง เผยให้เห็นเส้นทางที่ซ่อนอยู่ข้างใต้
จางเซวียนสบตากับเว่ยหรูเหยียนก่อนจะเดินลงไปตามทางเดินนั้น
เว่ยหรูเหยียนตามไปติดๆ
รูปแบบของห้องโถงห้องที่สองเหมือนกันเป๊ะกับห้องแรก แม้แต่ตำแหน่งที่วางโลงศพไว้ก็ยังเป็นตำแหน่งเดียวกัน มันให้ความรู้สึกราวกับพวกเขากำลังคลำทางอยู่ภายในเขาวงกตโบร่ำโบราณ
นอกเหนือจากโลงศพ ทั้งห้องก็ว่างเปล่า ไม่มีใครให้เห็นสักคน
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เจิ้งหยางน่าจะอยู่ที่นี่” เว่ยหรูเหยียนโพล่งออกมา
“ฮะ?” จางเซวียนมองหน้าเว่ยหรูเหยียน
“มีร่องรอยเล็กน้อยอยู่บนผนังตรงนั้น เท่าที่ดูจากรูปร่างของมัน น่าจะเป็นร่องรอยของเขา” เว่ยหรูเหยียนพูดขณะชี้นิ้วไปที่ผนัง
จางเซวียนมองตามและเห็นรอยยุบอยู่บนผนังนั้น มันมีขนาดพอๆกับตัวเจิ้งหยาง เป็นไปได้ว่ารอยที่เห็นน่าจะเกิดขึ้นจากการที่แผ่นหลังของเจิ้งหยางกระแทกเข้ากับผนัง
“คุณพูดถูก เขาคงเห็นศพในโลงและถอยกรูดไปเพราะความหวาดกลัว…” จางเซวียนให้เหตุผลขณะนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้
มีอะไรอยู่ในโลงนั้นที่ทำให้เจิ้งหยางพรั่นพรึงได้มากกว่าการเห็นศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว?
“เปิดโลงศพดูกันเถอะ!” จางเซวียนสั่งการขณะเดินไปที่โลง
แอ๊ดดดดด!
ฝาโลงถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้า ร่างนั้นมีสีหน้าสุขุมเยือกเย็นราวกับเพิ่งได้พักผ่อนเมื่อไม่นานมานี้
เห็นภาพนั้น เลือดในกายของจางเซวียนเย็นเฉียบ
ศพที่อยู่ภายในโลงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก…เจิ้งหยาง!