อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1907 นักปราชญ์โบราณ! ผมจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก! (1)
เสิ่นปี้หรูคืออาจารย์สาวสวยแห่งโรงเรียนหงเทียนที่จางเซวียนได้พบหลังจากทะลุมิติมายังโลกใบนี้ ตอนที่เขาออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนไป ก็ดูเหมือนว่าเส้นทางของทั้งคู่จะแยกจากกันอย่างสิ้นเชิงและคงไม่มีวันกลับมาบรรจบกันได้อีก
เมื่อครึ่งปีก่อน ตอนที่เขากลับอาณาจักรเทียนเซวียน ก็พบแต่ลู่ฉวิน นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอเสิ่นปี้หรูอีกครั้งที่นี่ และไม่คาดคิดด้วยว่าเธอจะได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวรวดเร็วขนาดนี้
การปรากฏตัวของเธอทำให้จางเซวียนชะงักฝีเท้าขณะหันกลับไปมองสาวน้อยบนเวที อีกฝ่ายยกมือขึ้นและรอให้ฝูงชนเงียบเสียงก่อนจะพูดต่อ “อาจารย์จางกับฉันเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”
“เพื่อนร่วมงาน?”
“อะไรนะ? เธอบอกว่าเธอรู้จักปรมาจารย์จางหรือ?”
“โม้น่ะสิ ใช่ไหมล่ะ? ใครต่อใครที่นำคำสอนของปรมาจารย์จางมาเผยแผ่ก็ล้วนแต่บอกว่ารู้จักปรมาจารย์จางไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทั้งนั้น จะได้เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของพวกเขา!”
“เอาจริงๆสิ? ไม่นึกเลยว่าสาวสวยอย่างเธอจะลดตัวลงไปทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้น!”
…..
เพราะจางเซวียนมีชื่อเสียงระบือลั่น ผู้คนมากมายจึงพยายามอ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้แต่ในเมืองห่างไกลขนาดนี้ก็หนีไม่พ้นจากความนิยมดังกล่าว
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้เห็นอาจารย์สาวสวยที่มักเมินเฉยกับเรื่องทางโลกเสมอพูดถึงเขาตั้งแต่ประโยคแรก จางเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ความผิดหวังปรากฏในแววตา
ในความคิดของจางเซวียน เธอยังคงเป็นอาจารย์ที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเองและแทบไม่ใส่ใจความรุ่งโรจน์หรือชื่อเสียง ไม่นึกเลยว่าเธอจะนำชื่อของเขามาใช้เพื่อยกระดับสถานภาพของตัวเอง
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกและกำลังจะจากไป ก็พอดีกับที่สาวน้อยพูดต่อ “เขากลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลกไปแล้ว คำสอนของเขาแพร่หลายออกไปมากมาย ผู้คนจำนวนมากภาคภูมิใจที่ได้รับความรู้จากสิ่งที่เขาสอน…แต่ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นความสูงส่งหรือน่าอิจฉาแต่อย่างใด”
คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนชะงักฝีเท้าอีกครั้ง ฝูงชนส่วนใหญ่ที่กำลังจะจากไปหลังจากมองว่าการบรรยายครั้งนี้เป็นแค่การนำชื่อเสียงปรมาจารย์จางมาอวดอ้างก็รีบหันกลับไปพร้อมกับขมวดคิ้ว
ความสำเร็จและภูมิปัญญาของปรมาจารย์จางทำให้ทั้งโลกสะท้านสะเทือน เขากลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาคนต่อไปถัดจากปรมาจารย์ขง
แต่เธอกล้าพูดว่าผลงานของเขา ‘ไม่ได้สูงส่งแต่อย่างใด’ พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันทีขณะที่ความไม่พอใจปรากฏทั่วในหมู่ฝูงชน
“โลกนี้มีความหลากหลาย ดูอย่างเมืองเล็กๆที่พวกคุณอาศัยอยู่แม้เราจะต้องการบุคคลผู้สูงส่ง แต่เราก็ต้องมีผู้ที่ถ่อมตัวและติดดินด้วย เหล่าปรมาจารย์ผู้เผยแผ่คำสอนและนำภูมิปัญญามาสู่โลกใบนี้ล้วนแต่ควรค่าต่อการเคารพ แต่คนขายเนื้อ เพชฌฆาตฆ่าสัตว์ พ่อค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนพืชผักของเขา…หรือผู้ขนส่งสินค้าจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งก็ไม่ต่างกัน ทุกอาชีพในโลกนี้ล้วนแต่มีเหตุผลในการดำรงอยู่ ไม่มีความจำเป็นจะต้องแบ่งแยกชนชั้นด้วยเกียรติยศหรือศักดิ์ศรี สิ่งที่ทำให้แต่ละคนต่างกันก็คือเราพร้อมจะทุ่มเทในสิ่งที่เราทำ และรักในสิ่งนั้นจริงๆหรือเปล่า”
“ปรมาจารย์จางรักวิชาชีพปรมาจารย์ด้วยหัวใจ เขาค้นพบวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่ภูมิปัญญาให้คนอื่นๆ และกระตือรือร้นในการค้นหาความลับต่างๆนานาของโลก ความขยันหมั่นเพียรและความมุ่งมั่นของเขาส่งผลให้เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวิชาชีพปรมาจารย์”
“ฉันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทั้งความปราดเปรื่องหรือความสามารถอย่างที่เขามี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันมีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าเขา ฉันทำเท่าที่ฉันทำได้ โดยถ่ายทอดความรู้และสั่งสอนค่านิยมที่ถูกต้องให้ลูกศิษย์ของฉัน ฉันไม่เหมือนกับปรมาจารย์จาง การบรรยายของฉันไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะระบือลือลั่นไปถึงทุกมุมโลก แต่ฉันก็แน่ใจว่าคำสอนของฉันจะไม่นำพาบรรดาลูกศิษย์ให้เดินผิดทาง และความรู้ใดก็ตามที่ฉันถ่ายทอดออกไปก็ล้วนแต่ผ่านการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจากตัวฉันแล้ว…ฉันคิดว่าเท่านั้นก็เพียงพอ!”
“การจะอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ เราต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองและเดินตามเส้นทางที่เหมาะสมกับเรา ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ฉันเดินทางตระเวนไปทั่วโลกและได้พบผู้คนมากมาย ผู้คนส่วนใหญ่ ภาคภูมิใจที่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับจางเซวียนซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของโลก ก็เหมือนกับยุคสมัยของปรมาจารย์ขง พวกเขาเชื่อว่าห้วงเวลานี้จะนำพามนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และพวกเราก็โชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่ ฉันไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาพูดนะ แต่การที่พวกเรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของความหวังและความฝันนั้น มันหมายความว่าเรามีโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังคนหนึ่งของโลกอย่างนั้นหรือ?”
“กลวง! มันเป็นความหวังลมๆแล้งๆ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ก็มีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถพอจะก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุด!”
“เอ่อ…” ฝูงชนที่กำลังหงุดหงิดค่อยๆสงบลง
“มันดูน่าเศร้า แต่ก็เป็นความจริงอันโหดร้าย ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่ทุกคนจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ”
“ปรมาจารย์ขงฝันถึงโลกที่มวลมนุษย์ล้วนแต่ทรงพลัง แต่วิสัยทัศน์ของเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าความฝัน มันยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง”
“โลกนี้มีข้อจำกัดมากมายเกินไปที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลน ความถนัดแต่กำเนิดของแต่ละคนอีกทั้งการแข่งขันอันดุเดือดในหมู่นักรบ”
“เป็นเพราะอำนาจมักตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อย การจะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา”
ไม่นึกเลยว่าเธอจะเข้าใจอะไรๆมากขนาดนี้…จางเซวียนถึงกับชะงัก
เขาคิดว่าเสิ่นปี้หรูกำลังใช้ชื่อเสียงของเขายกระดับสถานภาพของตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอใช้มัน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่มีพลังขนาดนี้ให้กับฝูงชน
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การขาดสติปัญญา แต่คือความล้มเหลวในการรู้ขีดจำกัดของตัวเอง
ถ้าคนๆหนึ่งที่มีความสามารถในระดับที่เป็นได้แค่ทหารธรรมดาสามัญพยายามกระเสือกกระสนจะเป็นนายพล ก็คงมีแต่สร้างความเจ็บช้ำให้ตัวเอง
“เลิกฟังเรื่องเหลวไหลของเธอเถอะ ผมรู้มาว่าในบรรดาลูกศิษย์ของปรมาจารย์จาง ไม่มีสักคนที่ไม่เก่งกาจ ทุกคนล้วนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงอำนาจทั้งนั้น!”
“จริงด้วย! ขอแค่เราได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี ก็จะพัฒนาตัวเองให้เหนือชั้นกว่านี้ได้!”
“คุณนึกหรือว่าเพียงแค่คุณพูดว่าตัวเองเป็นเพื่อนร่วมงานของปรมาจารย์จางแล้วพวกเราจะเชื่อ? ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์จางล้วนแต่อยู่ไกลเกินเอื้อมทั้งนั้น แล้วลำพังปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวอย่างคุณจะรู้จักเขาได้อย่างไร?”
…..
หลังจากเงียบงันด้วยความประหลาดใจกันไปครู่หนึ่ง ก็เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่
คำพูดของเสิ่นปี้หรูทำให้ฝูงชนเกิดความหยิ่งในศักดิ์ศรีขึ้นมาพวกเขารับไม่ได้ในสิ่งที่เธอพูด
ความล้มเหลวมักเกี่ยวข้องกับเวลาและโชคชะตาเสมอ
นักเขียนคนหนึ่งอาจบอกว่าผลงานของเขาคือผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ แต่หากบรรณาธิการขาดวิสัยทัศน์ ความปราดเปรื่องของนักเขียนก็อาจต้องถูกกลบฝังลงท้าย เขาก็อาจไม่ได้อะไรเลยแม้แต่การเซ็นสัญญา
เสิ่นปี้หรูดูจะคาดเดาปฏิกิริยาของฝูงชนไว้แล้ว เธอยกมือขึ้นและพูดต่ออย่างสุขุม “ฉันรู้ว่าคำพูดของฉันทำให้พวกคุณหลายคนเจ็บปวด แต่ลองสัมผัสหัวใจของคุณดู คุณเชื่อจริงๆหรือว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนแต่เหลวไหล? ฉันรู้ตัวว่าฉันเทียบอะไรกับปรมาจารย์จางผู้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกที่น่ายกย่องไม่ได้ แต่มีพวกคุณสักกี่คนที่เชื่อว่าเขามีความสุขกับชีวิตของเขาจริงๆ?”
“ยิ่งคนๆหนึ่งมีความยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบของเขาก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเท่านั้น ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ปรมาจารย์จางได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ รบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ และร่วมมือกับร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์…แต่มีภารกิจไหนบ้างที่เขาไม่ต้องเสี่ยงชีวิต? ถ้าพวกคุณอยู่ในฐานะเดียวกับเขาและทั้งหมดที่คุณต้องการก็คือรื่นรมย์กับความร่ำรวยและอำนาจแล้วพวกคุณจะกล้าหาญพอที่จะเผชิญอันตรายแบบนั้นไหม?”
ผู้คนส่วนใหญ่ที่ต่อต้านเสิ่นปี้หรูอยู่เมื่อครู่ถึงกับพูดไม่ออก
ก็จริง ถ้าพวกเขามีสถานภาพและความปราดเปรื่องเหมือนปรมาจารย์จาง จะเต็มใจเข้ารบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผชิญหน้ากับพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ในตำนานหรือเปล่า?
“คุณอาจคิดว่าปรมาจารย์จางคือบุคคลที่สูงส่งเกินเอื้อม แต่เมื่อครั้งที่ฉันสอนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันกับเขา เขาเป็นอาจารย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จและโดนใครๆดูถูก เขาได้ศูนย์คะแนนในการทดสอบประเมินคุณภาพอาจารย์และเกือบถูกไล่ออกจากโรงเรียนแต่ถึงจะมีความลำบากเหล่านั้น เขาก็ไม่เคยถอดใจ ปรมาจารย์จางไต่ขึ้นไปทีละขั้นๆจนประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ถ้าคุณอยู่ในสถานภาพเดียวกับเขา คุณจะก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นได้ไหม?” เสิ่นปี้หรูตั้งคำถาม
ชีวะประวัติของจางเซวียนถูกเรียบเรียงเป็นหนังสือและแพร่หลายไปทั่วโลก
ชีวิตของปรมาจารย์จางเผชิญอันตรายมามาก แต่ก็ไม่มีความลำบากลำบนครั้งไหนที่ทำให้เขาถอดใจ ถ้าพวกเขาอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับปรมาจารย์จาง จะทำแบบเดียวกันกับอีกฝ่ายได้หรือไม่?
ฝูงชนส่วนใหญ่ครุ่นคิดกับคำถามนั้น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า
สำหรับคนที่มีจิตใจอ่อนแอ การดูถูกเหยียดหยามที่จางเซวียนต้องเผชิญเมื่อครั้งอยู่ที่โรงเรียนหงเทียนก็มากเกินพอที่จะทำให้ถอดใจและจมดิ่งอยู่กับสุราแล้ว ส่วนใครที่มีจิตใจมุ่งมั่นกว่านั้นขึ้นมาอีกหน่อย อาณาจักรเทียนหวู่ก็คงเป็นสถานที่ที่การเดินทางของพวกเขาต้องจบลง
คงไม่มีใครข้ามผ่านอุปสรรคอย่างที่จางเซวียนต้องเผชิญจนมามีชีวิตรุ่งโรจน์อย่างเขาได้
การอิจฉาคนอื่นนั้นง่าย แต่สำหรับประสบการณ์ที่อีกฝ่ายได้ผ่านมา คงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเอาตัวรอดจากมันได้สำเร็จ
ชีวิตของคุณ การตัดสินใจของคุณ คุณจะต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใครเพื่อจะได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายจางเซวียนคิด
คำพูดของเสิ่นปี้หรูจับใจเขา ราวกับมีใครสักคนนำประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาผ่านมาตลอดครึ่งปี มาเผาจนมอดไหม้ ทำให้เปลวเพลิงลุกโชนอยู่ภายในใจของจางเซวียน
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาอันโด่งดังหรือทะเลสาบงดงาม ความอบอุ่นหรือความโหดร้ายของมนุษย์…ทุกอย่างที่เขาได้เผชิญและเข้าไปข้องเกี่ยวล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ ความทรงจำเหล่านี้ร้อยรัดเข้าด้วยกันเพื่อถักทอเป็นตัวเขาที่สมบูรณ์ มันโผขึ้นสู่ท้องฟ้าของทวีปแห่งปรมาจารย์ และมองดูโลกใบนี้ ราวกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ
ในชั่วพริบตานั้น จางเซวียนดูจะจมดิ่งลงสู่การครุ่นคิดอย่างล้ำลึกความขัดข้องสงสัยมากมายในหัวใจของเขาหายวับไป ระดับวรยุทธที่ชะงักงันตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาพุ่งพรวดราวกับน้ำที่รั่วออกจากเขื่อนที่พังทลาย