อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1957 เพลงดาบสิบลี้
หัวสมองของเขากระตุกเล็กน้อยขณะรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งพุ่งเข้ามาในหัว พริบตาต่อมา จางเซวียนก็รู้สึกถึงอาการเจ็บแปลบรุนแรงที่จู่โจมสติสัมปชัญญะของเขา
ฟึ่บ!
หน้าหนังสือสีทองที่อยู่ในหอสมุดเทียบฟ้ากระเด็นออกไป
มันรีบฮุบเอาทุกอย่างที่ลอยเข้ามาในหัวสมองของจางเซวียน
“อะ-อะไรกัน? หน้าหนังสือสีทองของเรา!” จางเซวียนแทบลมจับด้วยความตกใจ
นั่นคือหน้าหนังสือสีทองที่เขาเพิ่งได้มาเมื่อไม่นานมานี้จากการยอมศิโรราบอย่างจริงใจของตั้นเฉี่ยวเทียน มันจะเป็นไม้ตายที่มีอานุภาพสูงสุดของเขาในมิติเบื้องบนแห่งนี้ เขาพร้อมจะเข้าสู่การดวลมากมายและดื่มน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้างี่เง่านั่นเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ ดีกว่าจะยอมใช้หน้าหนังสือสีทอง
แต่แล้วจู่ๆมันก็กระโจนออกจากที่อยู่ของมันเพื่อไปฮุบอะไรบางอย่างไว้ น่าเสียดายที่สุด!
จางเซวียนเจ็บปวดหัวใจอย่างรุนแรงจนแทบหยุดหายใจ
ทำไมอะไรๆถึงไม่เข้าข้างเขาเลย?
เขาเคยคิดว่าจะเข้าสู่หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหินเพื่อท้าทายเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโส แต่เมื่อไม่มีหน้าหนังสือสีทอง ก็คงปกป้องตัวเองไม่ได้หากตาเฒ่าพวกนั้นเกิดอยากเอาคืนขึ้นมา!
ถึงนักรบจะสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงในหอนิรันดร์ได้ แต่ก็โง่เง่าเต็มทีหากจะคิดว่าในหอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหินจะเป็นแบบเดียวกัน ในเมื่อมันอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ การที่บุคลากรระดับสูงจะสืบหาตัวตนของเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ขอดูหน่อยเถอะว่าสิ่งที่ทำให้หน้าหนังสือสีทองต้องเสียไปคืออะไร…”
จางเซวียนกัดฟันกรอด เขารีบถอนกระแสดาบฉีกลับคืนก่อนจะเปิดหนังสือเทียบฟ้า
ในนั้น เขาเห็นกระแสดาบฉีบริสุทธิ์กำลังแหวกว่ายราวกับปลาทองในอ่าง
“หน้าหนังสือสีทองต้องเสียไปเพียงเพราะสิ่งนี้หรือ?” จางเซวียนรู้สึกปวดใจยิ่งกว่าเดิม
แค่เขาไม่สามารถปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบออกไปได้เกินกว่า 1 เมตรก็น่าสมเพชเหลือเกินแล้ว ใครจะคิดว่าแม้แต่ไม้ตายที่มีอานุภาพที่สุดของเขาก็ยังต้องสูญเปล่าไปเพราะเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้?
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และกำลังจะปิดหนังสือเทียบฟ้า ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาพินิจดูกระแสดาบฉีนั้นอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็เลิกคิ้วเพราะกระแสดาบฉีที่เห็นดูคุ้นตามาก
“ดูเหมือนจะมาจากต้นกำเนิดเดียวกันกับเจตจำนงเพลงดาบที่เรารู้สึกได้จากดาบเล่มใหญ่ที่อยู่บริเวณทางเข้าสำนัก”
จางเซวียนกำลังจะสัมผัสมัน ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนอยู่ด้านนอก
“พี่จาง คุณเป็นอะไรไหม?”
จางเซวียนหันกลับไป เห็นประตูที่อยู่ด้านหลังเขาสั่นสะท้านไม่หยุด ดูเหมือนถ้าเขาไม่รีบเปิดประตูเร็วๆนี้ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกับตั้นเฉี่ยวเทียนคงจะบุกเข้ามาเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของเขาแน่
“ผมไม่เป็นอะไร!” จางเซวียนตะโกนกลับไป
เขารีบเก็บหนังสือเทียบฟ้ากลับเข้าหอสมุดก่อนจะเดินออกจากห้อง
จางเซวียนเปิดประตูออกไป เห็นผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกับตั้นเฉี่ยวเทียนมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มีอะไร?” จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นทีท่าเคร่งขรึมของทั้งคู่
เขาแค่เข้าไปรับการประเมินศิลปะเพลงดาบ มีอะไรให้ต้องกังวล?
ส่วนผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นจางเซวียนไม่ได้รับอันตราย เขาอดถามไม่ได้ “คุณไม่ได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“บาดเจ็บ?” จางเซวียนงงเล็กน้อยกับคำถามปุบปับของผู้อาวุโสลู่อวิ๋น “ผมก็แค่เข้าไปข้างในเพื่อทดสอบศิลปะเพลงดาบ…ในนั้นมีอะไรที่จะทำให้ผมบาดเจ็บได้หรือ?”
หรือว่ามีกลลวงบางอย่างในการทดสอบนี้ที่ทำให้นักดาบต้องเสี่ยงชีวิต ซึ่งก็หมายความว่าถ้าผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บ การปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเขาก็จะไปไม่ได้ไกลใช่ไหม?
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายความว่า…เอ่อ ท่านอาจารย์ คุณดูเอาเองเถอะ…” เห็นสีหน้าสับสนของอาจารย์ ตั้นเฉี่ยวเทียนเกาหัวขณะมองไปรอบๆ
จางเซวียนมองรอบตัว อดไม่ได้ที่จะตาโตด้วยความตกใจ
บรรดานักรบพากันออกจากห้องที่อยู่บริเวณนั้น ทุกคนหน้าซีดเผือดและกำลังกระอักเลือด ดูไร้เรี่ยวแรงราวกับถูกใครสักคนทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันเกิดหายนะอะไรขึ้นที่นี่?
“การประเมินศิลปะเพลงดาบ…จะต้องรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ? ผมหมายความว่า…เฉี่ยวเทียน ตอนที่ผมเห็นคุณเมื่อครู่นี้ คุณก็ไม่ได้กระอักเลือดนี่…” จางเซวียนสงสัย
“ไม่ใช่ นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประเมินศิลปะเพลงดาบหรอก ก่อนหน้านี้…ระหว่างที่คุณกำลังเข้ารับการทดสอบ มีเจตจำนงเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และด้วยความเหลื่อมล้ำอย่างมากกับเจตจำนงเพลงดาบของนักรบคนอื่นๆ พวกเขาจึงถูกเจตจำนงเพลงดาบนั้นทำลายล้าง ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์อย่างที่เป็นอยู่!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นอธิบาย
ในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายนอก เขามีความเข้าใจลึกซึ้งในศิลปะเพลงดาบ แม้เมื่อครู่นี้จะไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพละกำลังมหาศาลของเจตจำนงเพลงดาบนั้น
มันเหมือนกับมีมังกรมหึมาตัวหนึ่งกำลังจับจ้องพวกเขา ในสายตาของมังกรตัวนั้น เจตจำนงเพลงดาบอื่นๆล้วนไร้ค่า ไม่ต่างอะไรกับฝูงมด
“เจตจำนงเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง? เป็นบางสิ่งที่เข้าถึงระดับของเทพดาบหรือเปล่า?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบตั้งคำถาม
เกิดเรื่องน่าตื่นเต้นขนาดนั้นขึ้นตอนที่เขากำลังง่วนอยู่กับการทดสอบหรือ?
“อย่างน้อยๆก็น่าจะเข้าถึงระดับของเทพดาบสิบลี้” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตอบอย่างเคร่งขรึม
เขาไม่เคยเห็นเทพดาบสิบลี้มาก่อน แต่มันคือระดับขั้นของนักดาบที่ไร้เทียมทานที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนัก แรงกดดันมหาศาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หนักหน่วงพอจะทำลายล้างเจตจำนงเพลงดาบของทุกคนได้ ทำให้พวกเขาหมดหนทางตอบโต้…ซึ่งนั่นก็เกินพอแล้วที่จะบ่งบอกถึงพละกำลังที่ไม่มีใครเทียบได้ของนักดาบผู้นั้น!
ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่เทพดาบสิบลี้ ก็น่าจะอยู่ไม่ห่างจากระดับนั้นเท่าไหร่
ส่วนสิ่งที่มีระดับขั้นสูงกว่านั้น…ก็ล้ำลึกเกินกว่าที่หัวสมองของเขาจะใคร่ครวญได้
ถึงอย่างไร ตลอดระยะเวลาหลายพันปีในประวัติศาสตร์ของสำนักดาบเมฆเหิน ก็มีชายเพียงคนเดียวที่เข้าถึงขั้นนั้นได้สำเร็จ
“เทพดาบสิบลี้?” จางเซวียนอัศจรรย์ใจ นัยน์ตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นขณะตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสลู่อวิ๋น คุณรู้ไหมว่าคนผู้นั้นเป็นใคร?”
การปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเขาไปได้ไกลไม่ถึง 1 เมตรด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายปลดปล่อยมันออกไปได้ยาวไกลถึง 10 ลี้ มันเหนือกว่าจะจินตนาการได้ เขาอยากเห็นพละกำลังที่แท้จริงของผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นด้วยตาตัวเอง!
จางเซวียนเคยคิดว่าเขาน่าจะใช้พละกำลังที่เหนือชั้นกว่าบรรดานักรบที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำของหอนิรันดร์ได้ แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาจะประเมินความเก่งกาจของคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป ที่นี่มีนักรบผู้ไร้เทียมทานอยู่มากมาย บางคนอาจแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ
เทพดาบสิบลี้…
นั่นคือสมญานามที่ใช้เรียกขานเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่สำเร็จศิลปะเพลงดาบขั้นสุดยอด บางที ต่อให้ตัวเขาก็ยังอาจต้องคุกเข่ายอมจำนนหากต้องเผชิญหน้ากับเทพดาบสิบลี้!
“เรื่องนั้น…ผมเกรงว่าผมจะไม่รู้” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นส่ายหน้า
ผลการประเมินศิลปะเพลงดาบถือเป็นความลับ เว้นเสียแต่จะอยู่ในห้องติดกันและได้เห็นวีรกรรมนั้นกับตา หรือได้เห็นตราหยกที่แสดงผลการทดสอบของอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าใครทำได้ดีแค่ไหน
“ว่าแต่…ผลการประเมินศิลปะเพลงดาบของคุณเป็นอย่างไร?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นถามด้วยความอยากรู้
พูดตามตรง เขาสนใจใคร่รู้ในตัวจางเซวียนมาก
ถึงตั้นเฉี่ยวเทียนจะบอกว่าจางเซวียนเป็นสหาย แต่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ดูออกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีบางอย่างแปลกๆ อย่างแรก ตั้นเฉี่ยวเทียนเชื่อฟังคำสั่งของจางเซวียนอย่างเคร่งครัด ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันขนาดไหน ก็คงไม่ต้องว่านอนสอนง่ายขนาดนั้นหรอก จริงไหม?
อีกอย่างที่จุดประกายความสงสัยของเขาก็คือความเคารพสูงสุดที่ผู้อาวุโสอี้กับเฉาเฉิงลี่แสดงออกต่อจางเซวียน
เพียงแต่หมอนี่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาตลอด ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยายามจะหยั่งพละกำลังของชายหนุ่มหลายครั้งหลายหน แต่ลงท้าย ก็รู้สึกเหมือนตัวเขาคือผู้ที่ถูกหยั่งเสียเอง ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทวีปที่ถูกลืม แถมเฝ้าตั้งคำถามข้อแล้วข้อเล่าในเรื่องที่ควรจะเป็นความรู้ที่รู้กันทั่วไป
ด้วยความข้องใจเหล่านี้ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจึงอนุญาตให้จางเซวียนมาที่หอเทพดาบด้วย เขาหวังว่า จะได้เห็นความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายสักแวบหนึ่ง
ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่เขาจะพาคนนอกเข้ามาง่ายๆ เพราะการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่นี่ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายไม่น้อย!
“ผลการทดสอบของผม?” จางเซวียนหน้าเสีย “ผมว่าเราน่าจะยังเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันได้นะหากคุณไม่ตั้งคำถามนี้”
“ถ้าคุณไม่อยากบอก ผมเข้าไปดูเองก็ได้…” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตอบพร้อมกับยักไหล่
เขาเดินเข้าไปในห้อง ครู่ต่อมาก็กลับมาพร้อมกับตราหยกที่มีผลลัพธ์ ที่จารึกไว้บนตราหยกคือผลการทดสอบก่อนหน้านี้ของจางเซวียน
ดูเหมือนจางเซวียนจะรีบร้อนออกมาจนลืมหยิบตราหยกมาด้วย
ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นยิ้มแป้นอย่างผู้มีชัย เขาก้มหน้าลงมองตราหยก จากนั้นก็อ้าปากค้าง
“2.5 สือ? คุณทำได้ไม่ถึง…1 เมตรหรือ?” แม้แต่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็อดกระอักกระอ่วนใจแทนไม่ได้
ไม่แปลกใจแล้วที่จางเซวียนไม่ยอมพูดออกมา ผลการทดสอบแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพูดถึงเลย
ตั้นเฉี่ยวเทียนมองตราหยก แต่ตรงกันข้ามกับความกระอักกระอ่วนของผู้อาวุโสลู่อวิ๋น นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายชื่นชม
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านอาจารย์พูดอยู่เสมอว่าตัวเขาเป็นผู้ถ่อมเนื้อถ่อมตัวและอยากเก็บตัวให้เงียบที่สุด สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดที่จางเซวียนเคยพูดไว้ไม่ใช่การพูดลอยๆ เขาคือคนที่มีนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัวจริงๆ!
ด้วยการสำแดงศิลปะเพลงดาบที่ท่านอาจารย์สอนให้ ตัวเขาได้ผลลัพธ์อันน่าทึ่งถึง 499 เมตร แต่เมื่อท่านอาจารย์เข้าไป ก็ออมมือไว้จนได้ผลการทดสอบออกมาเพียงไม่ถึง 1 เมตร สภาวะจิตของคนคนหนึ่งจะต้องเหนือชั้นขนาดไหนถึงไม่ใส่ใจทั้งเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ เขาพร้อมจะใช้ชีวิตที่ยึดมั่นอยู่กับหลักการ
ส่วนตัวเขา เขากลับใช้ความดีความชอบของคนอื่นมาเหมาว่าเป็นความสำเร็จของตัวเอง หรือว่าท่านอาจารย์เห็นพฤติกรรมครั้งนี้และพยายามจะใช้เหตุการณ์นี้สั่งสอนเขาให้ได้บทเรียน?
ดูเหมือนเขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก