อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2009 ผมแพ้แล้ว!
เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าคือศิลปะที่ทำความเข้าใจโดยผู้ก่อตั้ง ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ก่อตั้งสามารถคว้าตัวอักษรจากหอเทพเจ้ามาได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นก็บ่งบอกถึงอานุภาพอันน่าทึ่งของมันแล้ว โชคร้ายที่แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหลายพันปี แต่ก็ไม่มีใครเข้าถึงระดับเดียวกันกับผู้ก่อตั้งได้อีกเลย
แม้แต่พวกเขาซึ่งเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่ามันทรงพลังแค่ไหน!
ในเมื่อชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอยากเปิดการดวลนอกหอนิรันดร์ นั่นก็ย่อมดีที่สุด! ทุกคนยิ่งกว่าเต็มใจที่จะทดสอบประสิทธิภาพของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าด้วยตัวเอง
ถึงอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อและจิตวิญญาณของพวกเขา ต่อให้ต้องลดระดับวรยุทธลงมา อีกฝ่ายก็ไม่น่ามีปัญญาทำอันตรายอะไรพวกเขาได้
“ผมชื่อโฉวหั่ว, ผู้อาวุโสที่ 1 ของแผนกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด, นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ผมขอทดสอบศิลปะเพลงดาบของคุณ!”
ผู้อาวุโสที่ชื่อโฉวหั่วก้าวออกมาและลดระดับวรยุทธลงให้เท่ากับจางเซวียนอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดดาบ เสียงเคร้งของโลหะดังกึกก้องไปทั่ว
เป็นธรรมเนียมที่ผู้อาวุโสแต่ละคนจะได้รับดาบจากสภาผู้อาวุโส ซึ่งดาบที่ผู้อาวุโสแต่ละคนได้รับนั้นหน้าตาเหมือนกันและมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการดวล ซึ่งเหตุผลที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าอานุภาพของอาวุธจะไม่เบี่ยงเบนหรือส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการดวล
จางเซวียนมองโฉวหั่วอย่างสุขุม ยังไม่ยอมชักดาบออกมา เขาหัวเราะหึๆแล้วพูดว่า “คุณคนเดียวน่ะไม่พอหรอก พวกคุณที่เหลือออกมาพร้อมๆกันเลย!”
“ไม่พอ?”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ส่วนผู้อาวุโสไป๋เย่ก็ถึงกับตบหน้าผาก
ไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอนี่เรียกตัวเองว่าผมน่ะถ่อมตัว…
บอกผมหน่อยเถอะ คนถ่อมตัวเขาทำตัวแบบนี้กันหรือไง?
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เป็นแค่นักดาบชั้นยอดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้ด้วย ต่อให้ศิลปะเพลงดาบของคุณจะไร้เทียมทานสักแค่ไหน พวกเขาเพียงคนเดียวก็เกินพอที่จะรับมือกับคุณแล้ว…
แต่คุณกลับอยากสู้กับทุกคนพร้อมกัน รวมทั้งเจ้าสำนักหานด้วยนี่นะ!
ความหยิ่งผยองของคุณมีขีดจำกัดบ้างหรือเปล่า?
“ดูเหมือนพวกคุณจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับผมนะ” จางเซวียนเลิกคิ้วและยิ้มยียวน
เห็นจางเซวียนแสดงทีท่าเย้ยหยัน โฉวหั่วมีสีหน้าไม่สู้ดี “ผมยอมรับว่าเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้านั้นไร้เทียมทานจริงๆ แต่การที่ผมได้เป็นผู้อาวุโสที่ 1 ของแผนกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนั้นก็ไม่ใช่ได้มาโดยง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ผมลดระดับวรยุทธอยู่ ถ้าคุณอยากจะสู้กับคนอื่นล่ะก็ ต้องเอาชนะผมให้ได้ก่อน!”
อันที่จริง การที่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างเขาท้าทายนักรบเสมือนอมตะระดับล่างก็ไม่ค่อยเหมาะสมนักอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับคิดว่าตัวเขาไม่มีปัญญาสู้
ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้ากันอย่างจัง!
เรียกได้ว่าตบซ้ายทีขวาทีกันเลยทีเดียว!
“ระบบของที่นี่เป็นแบบนี้หรือ? ก็ได้!” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคิดจะเข้าร่วมการดวล บางทีอาจเป็นเพราะมั่นใจในความแข็งแกร่งของโฉวหั่ว จางเซวียนยิ้มอ่อนขณะชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง
“หมายความว่าอย่างไร? คุณคิดว่าจะเอาชนะผมได้ในกระบวนท่าเดียวหรือ?” โฉวหั่วชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะลั่น “คุณจะอวดดีไปหน่อยไหม?”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนส่ายหน้าและอธิบาย “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ที่ผมกำลังจะบอกก็คือผมไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ และไม่ต้องเคลื่อนไหวสักนิ้วเลยด้วย แต่ก็จะเอาชนะคุณได้ด้วย 1 นิ้วภายใน 1อึดใจ”
“คุณ…” โฉวหั่วโมโหจนแทบปรี๊ด
ในฐานะผู้อาวุโสที่ 1 ของแผนกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด เขาบ่มเพาะสภาวะจิตจนถึงขั้นที่แทบไม่หวั่นไหวกับเรื่องใดๆทั้งสิ้น แต่ไม่เคยเจอใครยียวนกวนโมโหเหมือนหมอนี่เลย!
ไม่ใช่แค่คำพูดของอีกฝ่ายที่ทำให้เขาโมโหจนแทบบ้า แต่สายตาและท่าทางของหมอนั่นก็แสนจะดูถูกเหยียดหยาม ราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง
เขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์นะ! หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปที่ถูกลืม!
แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่สักคนที่กำลังพยายามท้าทายผู้ที่เหนือชั้นกว่า?
“เอาเถอะ ขอผมประเมินประสิทธิภาพของคุณหน่อยก็แล้วกัน ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าคุณจะเอาชนะผมด้วยหนึ่งนิ้วในหนึ่งอึดใจได้อย่างไร!” โฉวหั่วคำรามขณะจ้องหน้าจางเซวียน
…..
“เจ้าหนุ่มคนนั้นจะอวดดีไปหน่อยไหม?”
“อวดดี? เพ้อเจ้อเสียจนไม่รู้อะไรเลยมากกว่า!”
หานเจี้ยนชิวกับผู้อาวุโสเหอสบตากันขณะยิ้มเจื่อนๆ
นักรบเสมือนอมตะระดับล่างคนหนึ่งยืนจังก้าไม่หวั่นไหวต่อหน้านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จำนวนมากมายได้…แถมยังพูดจาอวดดีด้วย หัวสมองของเขามีปัญหา? หรือว่ามีปัญญาที่จะทำได้ตามคำพูดของตัวเองจริงๆ?
“เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้านั้นขึ้นชื่อว่าทรงพลังจนรับมือได้แม้แต่กับเทพเจ้า…ก็หวังว่าพละกำลังของหมอนี่จะมากพอที่จะทำให้พวกเรายำเกรง!”
“ผมคิดว่าตอนนี้ก็คงทำได้เท่านั้นแหละ!”
ทั้งสองส่ายหน้า จากนั้นก็หันกลับไปมองโฉวหั่วกับจางเซวียน
เมื่อเห็นว่าแม้จะพูดจายั่วยุแล้วก็ยังไม่มีใครเข้ามา จางเซวียนออกจะผิดหวังเล็กน้อย “น่าเสียดายนะ…”
เขารู้ดีว่าคำพูดของตัวเองออกจะอวดดีไปสักหน่อย แต่เขาก็มีเหตุผลที่ทำแบบนั้น
จางเซวียนอยากให้ทุกคนเปิดการโจมตี เพื่อที่เขาจะได้รวบรวมข้อบกพร่องของสมาชิกทุกคนในสภาผู้อาวุโส สิ่งนี้จะทำให้เขาเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่อย่างนั้น การดวลก็น่าจะจบลงหลังจากที่เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สัก 3 คนและพิสูจน์ให้เห็นพละกำลังของตัวเองแล้ว
จางเซวียนไม่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ในสภาพนี้ จึงจำเป็นต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ในกรณีที่มีใครคิดจะทำอันตรายเขา
ช่างมันเถอะ…เล่นงานหมอนี่ก่อน แล้วค่อยท้าทายคนที่เหลืออีกที เราเชื่อว่าพวกเขาคงจะเข้ามาร่วมวงแน่หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น…
เห็นเหล่าผู้อาวุโสนั่งนิ่ง จางเซวียนรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะหว่านล้อมให้ทุกคนออกมาต่อสู้ได้ จึงหันไปพูดกับโฉวหั่ว “อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย จัดการให้มันเสร็จๆไป!”
ทันทีที่จางเซวียนพูดจบ โฉวหั่วก็เคลื่อนไหว
แม่โฉวหั่วจะลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบเสมือนอมตะระดับล่างแล้ว แต่กระบวนท่าของเขาก็ยังว่องไวราวกับเฮอริเคน ดาบในมือของเขาดูจะจ้วงแทงทะลุขีดจำกัดของมิติมาจ่ออยู่ตรงหน้าจางเซวียนได้ในชั่วพริบตา
ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ แน่นอนว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเหอจิ้งชวนซึ่งเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอันดับ 1 หลายเท่า
แต่ขณะที่ดาบของโฉวหั่วกำลังจะแตะลำคอของจางเซวียน จางเซวียนก็ยกนิ้วขึ้นและกระดิกเบาๆ
การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้ว่องไวนัก แต่หนักหน่วงและเคร่งขรึมอย่างไม่น่าเชื่อ ในชั่วพริบตา โฉวหั่วรู้สึกเหมือนมีดาวหางกำลังพุ่งตรงเข้าเล่นงานเขา ราวกับกำลังเผชิญกับพละกำลังที่ไม่มีวันรับมือกับมันได้เลย
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” โฉวหั่วตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ถึงจะกำลังลดระดับวรยุทธ แต่ความแข็งแกร่งของสภาวะจิตก็ยังเหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายมาก ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เจ้าหนุ่มคนนี้จะสำแดงการเคลื่อนไหวที่ทำให้เขาถึงกับจนปัญญา…แต่นิ้วเพียงนิ้วเดียวนั่นทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับบางอย่างที่เหนือชั้นกว่าตัวเองมาก
อีกฝ่ายทำได้อย่างไร?
โฉวหั่วคำรามกร้าว เขาพยายามสลัดความรู้สึกที่เกาะกุมหัวใจและเรียกความกล้าหาญกลับคืนมา แต่ทันทีที่นิ้วนั้นแตะดาบของเขา พลังปราณที่ไหลพล่านอยู่ภายในดาบก็เสื่อมสลายไปทันที ดาบนั้นบิดงอทำมุมประหลาด เกิดรอยร้าวทั่วทั้งเล่มก่อนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ส่วนโฉวหั่วก็พยายามเคลื่อนไหว แต่พละกำลังมหาศาลนั้นตรึงเขาให้อยู่กับที่ เขาทำได้แค่มองนิ้วของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้หว่างคิ้วของเขาอย่างจนปัญญา
หานเจี้ยนชิวซึ่งนั่งอยู่กับที่จังงังไปเล็กน้อยกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาเหยียดริมฝีปากขึ้นด้วยความพอใจ “เจ้าหนุ่มนี่…น่าสนใจจริงๆ!”
“ท่านเจ้าสำนักหาน นี่คือ…” ผู้อาวุโสเหอมองหานเจี้ยนชิวอย่างสับสน
หากไม่พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าโฉวหั่วมีกายเนื้อและจิตวิญญาณของนักรบอมตะขั้นสูง ต่อให้สมมติว่าทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน…แล้วจางเซวียนทำลายดาบของโฉวหั่วด้วยนิ้วเดียว อีกทั้งสกัดกั้นพละกำลังของโฉวหั่วไว้ได้อย่างไร? มีแนวคิดใดอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้?
“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ความเชี่ยวชาญของเขาไม่ได้มีแค่ศิลปะเพลงดาบ แต่เป็นเรื่องค่ายกลด้วย” หานเจี้ยนชิวอธิบาย
“ค่ายกล?” ผู้อาวุโสเหอยิ่งงงหนักขึ้นอีก
“ใช่ การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ไม่ได้เป็นการใช้ประโยชน์จากเจตจำนงเพลงดาบของเขาเท่านั้น แต่เป็นค่ายกลที่ถูกติดตั้งไว้รอบสภาผู้อาวุโสด้วย เขาใช้ค่ายกลขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบของตัวเองให้มีพละกำลังสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าโฉวหั่วจะรับมือไหว” หานเจี้ยนชิวอธิบาย “ที่เขาพูดจาถากถางโฉวหั่วต่างๆนานาเมื่อครู่นี้ แท้ที่จริงแล้วก็เพื่อยื้อเวลา ตอนนั้นเขากำลังอยู่ระหว่างกระบวนการขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบ…”
ถึงตอนนี้ หานเจี้ยนชิวตั้งข้อสังเกต “ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ความสามารถของเขาในการนำทรัพยากรรอบตัวมาใช้นั้นช่างไร้เทียมทานจริงๆ!”
“คือ…” ใบหน้าของผู้อาวุโสเหอกระตุกเล็กน้อย
หมอนี่เพิ่งเข้าสู่สภาผู้อาวุโสได้นานแค่ไหนกัน? รวมแล้วก็ไม่น่าจะเกิน 10 นาที
แต่ภายในระยะเวลาแค่นั้น ไม่เพียงแต่เขาจะมองทะลุกลไกของค่ายกลที่อยู่รอบสภาผู้อาวุโสได้ ยังถึงกับนำมันมาใช้ประโยชน์ในการบ่มเพาะเจตจำนงเพลงดาบของตัวเองได้ด้วย
มันจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสเหอเคยคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ใครสักคนที่มีระดับวรยุทธเดียวกันจะทรงพลังกว่าพวกเขา แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเห็นชัดแล้วว่าเขาประเมินอีกฝ่ายต่ำไป!
ขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึง การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จบลง ทันทีที่นิ้วของจางเซวียนแตะหน้าผากของโฉวหั่ว อีกฝ่ายก็ถูกสอยกระเด็นไปไกล
โฉวหั่วรีบปลดปล่อยระดับวรยุทธที่แท้จริงออกมาขณะที่กำลังถูกสอยกระเด็น เพราะไม่อย่างนั้น คงได้รับความบอบช้ำภายในอย่างสาหัสแน่
“ว่าอย่างไร?” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะมองโฉวหั่วอย่างเฉยเมย
รวมแล้ว จนถึงวินาทีที่เขาสอยอีกฝ่ายกระเด็นไป ก็ใช้เวลาแค่ 1 อึดใจเท่านั้น
“ผม…ผมแพ้แล้ว!” โฉวหั่วก้มศีรษะและยอมแพ้