ตอนที่ 2100 เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้!
แม้แต่หยดน้ำสีเงินที่แสนจะหายากก็มีราคาเพียง 5 ล้านเหรียญนิรันดร์เท่านั้น!
จางเซวียนถอนจิตใต้สำนึกออกจากหอนิรันดร์และนำยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ของเขาออกมา เขาเปิดจุกขวดหยกใบหนึ่งและถอนหายใจด้วยความยำเกรงเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่อยู่ในยาแต่ละเม็ด
แม้ด้วยระดับวรยุทธในปัจจุบันของเขา ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ก็ยังมีประโยชน์มาก
ขอแค่เราพบเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ดีๆสักเทคนิคหนึ่ง ก็คงฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้ยาเม็ดเหล่านี้ได้
พละกำลังของเขาในเวลานี้เทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไป หยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จึงไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก จางเซวียนครุ่นคิดหนักว่าทำอย่างไรจึงจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้
แต่เมื่อมียาเม็ดเหล่านี้ในมือ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นอีก!
จางเซวียนยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน เขาเหลียวมองรอบตัวอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอาเถอะ มันอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้…” เขาพึมพำอย่างโล่งอก จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจและหันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าสู่ตำหนักคว้าดาว
แต่ทันใดนั้น มิติที่อยู่โดยรอบก็เริ่มบิดเบี้ยว แสงแดดเจิดจ้าดูจะหายไปจากท้องฟ้า ผลักเขาเข้าสู่ โลกของความมืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ฟึ่บ!
ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้า
อีกฝ่ายดูมีอายุราว 50-60 ปี สวมเสื้อคลุมสีเทาแบบเรียบง่าย เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาก็ดูเหมือน ปีศาจที่อยู่ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน ทำให้ผู้พบเห็นหวาดกลัวจนจับขั้วหัวใจ
“คุณมาจากหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนหรี่ตา
แบบนี้ไม่ดีแน่ การที่ชายชราผู้ทรงพลังมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าก็คือความจริงที่ว่าชายชราปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่เขาใช้ตราสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขงในหอนิรันดร์
พูดอีกอย่างก็คือ ตราสัญลักษณ์ที่ปรมาจารย์ขงมอบให้เขาทำหน้าที่เหมือน GPS ที่ส่งข้อมูลให้หอเทพเจ้ารับรู้!
เท่าที่เขาได้ฟังจากหานเจี้ยนชิว ดูเหมือนปรมาจารย์ขงมอบตราสัญลักษณ์นี้ให้หานเจี้ยนชิวด้วยมือของเขาเอง โอกาสที่ใครจะได้แตะต้องมันจึงมีน้อยมาก หรือว่าครูบาอาจารย์ของโลกผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้า?
หรือเป็นแค่การเข้าใจผิด?
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และส่ายหน้า
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ก็ถือว่าดีที่เขาค้นพบเรื่องนี้ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้รู้ว่าต่อไปต้องระมัดระวังตัวจากใคร
จางเซวียนหันกลับไปมองชายชราขณะขับเคลื่อนพลังปราณของเขาอย่างดุเดือด
จางเซวียนต้องประหลาดใจที่แม้วรยุทธระดับตัวเขาก็ไม่อาจหยั่งถึงวรยุทธอันล้ำลึกของชายชรา
ถึงตอนนี้ นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบก็คือหานเจี้ยนชิว ฟู่เฉิงสื่อ และชายวัยกลางคน แต่ชายชราที่อยู่ตรงหน้าอยู่คนละระดับกับคนเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
รังสีที่เขาแผ่ออกมาดูจะกลืนกินโลกได้ทั้งใบ ความมืดมิดที่โอบล้อมพวกเขาอยู่เป็นผลจากรังสีของชายชราที่กลืนกินแสงสว่างในบริเวณนั้น ดูราวกับว่าจะไม่มีทางหนีพ้นจากเขาได้เลย
“ทำให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ยอมจำนนได้ถึง 4 ตัว ทั้งยังสังหารฟู่เฉิงสื่อกับหยิงเฉินด้วย ไม่แปลกใจแล้วที่นายท่านให้ความสำคัญกับคุณมาก ถึงขนาดเลือกผลักดันผมให้มารับมือกับคุณ” ชายชราตั้งข้อสังเกต “ช่างเหนือจินตนาการจริงๆที่คุณมาได้ไกลขนาดนี้ภายในเวลาเพียง 10 วัน แม้แต่ตัวผม กว่าจะจับตัวคุณได้ก็แสนยาก”
“คุณรู้ว่าผมคือผู้สังหารฟู่เฉิงสื่อกับชายวัยกลางคน” จางเซวียนตัวแข็งขึ้นมาเล็กน้อย
ดูเหมือนหยิงเฉินจะเป็นชื่อของชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าที่เล่นงานเจียงเหยาในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย
แต่เขาอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายตอนที่สังหาร 2 คนนั่น และสกัดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้อย่างดีเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแอบส่งข้อความออกไปถึงหอเทพเจ้าได้ แล้วทำไมชายชราผู้นี้ถึงรู้เรื่องทั้งหมด?
ที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขามีอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นของตัวเองถึง 4 ตัวนอกจากเจียงเหยา
การที่เขาทำให้เต่าหลังดำยอมจำนนได้ในนามของหลิวหยางคงไม่ได้ทำให้หอเทพเจ้าเกิดความระแวงในตัวเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงหรอกนะ?
เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้!
เขาไม่คิดว่าจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ได้ตลอดไป แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีใครล่วงรู้ได้รวดเร็วขนาดนี้!
“ไม่มีอะไรที่หอเทพเจ้าไม่รู้” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ “มากับผม คุณอาจมีอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 4 ตัวและของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่คุณสู้ผมไม่ได้หรอก”
“ผมจะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่ลอง?” จางเซวียนคำราม
เขาสะบัดข้อมือ นำเต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องออกมา ทั้ง 4 พุ่งเข้าใส่ชายชราอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นจางเซวียนก็เสริมกำลังการโจมตีด้วยของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีก 10 เล่ม เขาใช้ของเหล่านี้ตรงเข้าเล่นงานชายชรา
พละกำลังมหาศาลที่เกิดขึ้นแทบจะทำให้ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าร่วงลงมา แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ไม่ว่าพวกนั้นจะตรงเข้าเล่นงานหนักหน่วงแค่ไหน ก็ไม่อาจเข้าถึงตัวชายชราได้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่ช่องว่างเล็กๆนี้ดูเหมือนอยู่ไกลกันคนละโลก
จางเซวียนหรี่ตา ผืนทรายแห่งมิติ?
เขาเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เมื่อตอนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ในครั้งนั้น มิติแปรสภาพกลายเป็นผืนทราย ถึงขนาดที่ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเร็วแค่ไหนก็ไม่คืบหน้าเลยสักนิด
หรือว่าชายชราเข้าถึงความสามารถแบบนั้นด้วย?
การระเบิดมิติที่อยู่ตรงหน้าเขาให้กลายเป็นผุยผงทำให้ผู้ที่ก้าวเข้ามารู้สึกเหมือนกำลังเหยียบทรายดูด แม้จะทรงพลังแค่ไหน ก็ขยับตัวไม่ได้สักนิ้ว
จางเซวียนตาโต ไม่ล่ะ นี่ไม่ใช่แล้ว…มันไม่ใช่ผืนทรายแห่งมิติ เรารู้สึกเหมือนกับว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวคือบริวารของเขา ผู้ที่ก้าวเข้ามาในมิติแห่งนี้จะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เขาสร้างขึ้น ใครก็ตามที่อ่อนแอกว่าจะไม่มีทางเข้าถึงตัวเขาได้เลย เว้นเสียแต่เขาจะอนุญาต!
ต่อให้ผืนทรายแห่งมิติก็ไม่อาจยับยั้งการเคลื่อนไหวของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ขอแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปลดปล่อยพลังงานของพวกเขาออกมา ทรายดูดก็จะถูกกำจัดไป
แต่การที่เต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องไม่อาจเล่นงานอีกฝ่ายได้บ่งบอกว่าฝ่ายตรงข้ามมีพละกำลังมากกว่า
ดูๆไป ชายชราน่าจะกำลังใช้ความสามารถที่เหมือนกับกฎเกณฑ์ของโลกของปรมาจารย์ขง
พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนที่พลัดหลงเข้ามาในมิติแห่งนี้จะต้องทำตามกฎเกณฑ์ของเขา แล้วจางเซวียนจะเอาชนะการต่อสู้แบบนี้ได้อย่างไร?
ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าประเมินความเก่งกาจของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ต่ำไปอีกครั้ง
จางเซวียนเคาะกระสอบอสูรและถามว่า “ไก่น้อย ตอนนี้แกยังตายอยู่หรือ?”
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่อยู่ในกระสอบอสูรของเขาเป็นความหวังยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะช่วยพลิกผันสถานการณ์ แม้มันจะทำตัวไว้ใจไม่ค่อยได้จนน่ากลัว แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีพละกำลังที่สร้างปาฏิหาริย์ได้อยู่เนืองๆ
ไก่น้อยยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ในกระสอบอสูร ไม่มีปฏิกิริยาต่อเสียงเรียกของเขา
ตั้งแต่มันกลืนกินโลหิตเทพเจ้าที่ทะเลว่างเปล่า ก็เงียบกริบและแน่นิ่งมาตลอด
รู้ดีว่าคงทำอะไรไม่ได้ จางเซวียนได้แต่กัดฟันอย่างหงุดหงิด
เราคงต้องพึ่งตัวเองไปก่อนจนกว่าเจ้านั่นจะออกมา จางเซวียนคิดขณะประเมินชายชราที่อยู่ตรงหน้า
อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จางเซวียนรู้สึกเหมือนเขากำลังมองภาพวาด
แม้อีกฝ่ายจะไม่เคลื่อนไหว แต่อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 และกำลังเสริมอื่นๆของเขาก็เข้าไม่ถึงตัวชายชราเช่นกัน
“เสียเวลาเปล่า ในมิติแห่งนี้น่ะ ต่อให้คุณเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก” ชายชราเปรยขณะยกมือขึ้นโบก
พลั่ก!
เต่าหลังดำกับอสูรตัวอื่นๆลอยละลิ่วไปกระแทกกับผิวหน้าของมหาสมุทร พวกมันพยายามตั้งตัวและลุกขึ้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง มันรู้สึกราวกับโลกทั้งโลกถล่มทับ ทำให้ขยับตัวไม่ได้
หลังจากเล่นงานอสูรทั้ง 4 แล้ว ชายชราก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง แล้วโซ่โลหะที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ลอยเข้าสู่มือของเขา “ผมจะเอามันไปด้วย”
ทันทีที่มือของชายชราแตะโซ่โลหะ จางเซวียนเลิกคิ้ว “จัดการ!”
ศพที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 2 ศพตรงเข้าประกบหน้าหลังชายชรา
บึ้มมมม! บึ้มมมม!
เสียงระเบิดดังสนั่นดังขึ้น 2 ครั้งพร้อมกัน ทำให้บริเวณนั้นถูกฉีกกระชากเพราะคลื่นความสั่นสะเทือน ราวกับผืนผ้าสีดำที่ห่อหุ้มท้องฟ้าไว้ถูกกระชากออกอย่างแรง รอยแยกมากมายปรากฏบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ชายชรานึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะโหดเหี้ยมถึงขนาดขัดเกลาศพที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 2 ศพและระเบิดพวกมันใส่เขาโดยปราศจากความลังเล ยิ่งไปกว่านั้น ยังใช้ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นเหยื่อล่อให้เขาไม่ทันระวังตัวด้วย…
จากความรุนแรงของการระเบิดเมื่อครู่ เป็นไปได้ว่าของล้ำค่าชิ้นนั้นน่าจะได้รับความบอบช้ำรุนแรงจนเสียหายอย่างถาวร
อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะดินแดนแห่งนี้ปกป้องเขาไว้ แรงระเบิดคงทำให้เขาเสียชีวิตไปแล้ว
ชายชรานัยน์ตาแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทสะ เขาตวาดก้องด้วยแววตาที่เป็นประกายโหดเหี้ยม “คุณมันเจ้าหนุ่มอวดดี ผมไว้ชีวิตคุณแล้ว แต่คุณก็ทดสอบความอดทนของผมอยู่นั่น ใช่ไหม?”
“ทั้งที่เป็นแค่หนังหุ้มกระดูกแก่ๆ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าคุณน่ะทนทายาดเหมือนแมลงสาบ” จางเซวียนคำรามโต้
เขาหลอมศพของฟู่เฉิงสื่อกับชายวัยกลางคนให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ คิดว่าลำพังหุ่น 2 ตัวนี้ก็คงเป็นไม้ตายที่รุนแรงพอจะใช้ตอบโต้หอเทพเจ้าแล้ว ซึ่งก็โชคดีเหลือหลายที่เขาทำแบบนั้น
เขายังสงสัยอยู่ว่าจะส่งหุ่น 2 ตัวนี้เข้าประชิดชายชราได้อย่างไร ซึ่งหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลงท้ายก็ตัดสินใจใช้โซ่โลหะเป็นเหยื่อล่อ
โซ่โลหะเป็นของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ที่หายากมาก มันปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวเองได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะกับการต่อสู้ จางเซวียนมั่นใจว่าชายชราจะต้องอยากครอบครองโซ่เส้นนั้น และนั่นจะเป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดที่เขาจะเข้าโจมตี
เขาจึงสร้างมิติลี้ลับเล็กๆขึ้นที่บริเวณด้านหน้าและด้านหลังของโซ่โลหะ และใส่หุ่นโลหะไร้วิญญาณทั้ง 2 ตัวไว้ข้างใน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด มันทำงานได้ดี
เพียงแต่เขาไม่คิดว่าชายชราจะทรงพลังถึงขนาดเอาชีวิตรอดจากแรงระเบิดของหุ่นโลหะไร้วิญญาณทั้ง 2 ตัวได้ทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนั้น
ไม่แปลกใจแล้วที่คราวนี้หอเทพเจ้าส่งคนมารับมือกับเขาเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นรู้ว่า การส่งนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไปมาเล่นงานเขาย่อมไม่ได้ผล จึงตัดสินใจส่งนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดมา
โชคดีที่เขาไม่ได้วางใจ แถมยังเตรียมการล่วงหน้าไว้อย่างดี ไม่อย่างนั้นคงต้องจนมุมแน่