ตอนที่ 2022 เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?
ในตอนแรก การเคลื่อนไหวของพวกเขายังคงงุ่มง่ามเพราะไม่มีเวลาทดสอบทักษะที่ได้เรียนรู้ใหม่ แต่เมื่อการต่อสู้ดำเนินไป กระบวนท่าของพวกเขาก็ลื่นไหลขึ้นเรื่อยๆ
ถึงเจ้าสำนักจางจะไม่เคยบอกข้อบกพร่องของนักรบจากหอเทพเจ้า แต่เทคนิคการต่อสู้ที่เขาถ่ายทอดให้พวกเราก็ดูเหมือนจะกดข่มกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ…
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้ให้พวกเขาเพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น อีกฝ่ายบอกพวกเขาให้มุ่งเน้นการสะสมพลังปราณแทนที่จะมัวกังวลว่าจะรับมือกับนักรบจากหอเทพเจ้าอย่างไร
ตอนนั้นพวกเขายังไม่เข้าใจถ่องแท้ แต่ในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลของการกระทำนั้น
ในชั่วพริบตา นักรบจากหอเทพเจ้าที่ดูจะไร้เทียมทานก็ไม่น่าสะพรึงอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป
ใช่…พวกเราก้าวหน้าขึ้นมากในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน…
ทั้งสามพลันถึงบางอ้อ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน นักรบจากหอเทพเจ้าคงเล่นงานพวกเขาจนราบคาบได้ภายใน 3 กระบวนท่า การที่พวกเขายืนหยัดต้านทานคนเหล่านั้นและถึงกับกดข่มกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ด้วยเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย
พวกเขาตั้งใจฝึกฝนวรยุทธจนไม่รู้ว่ามันพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน แต่เมื่อได้เห็นพลังปราณของตัวเองที่ถูกขัดเกลา การตัดสินใจที่แม่นยำในการต่อสู้ รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองอันรวดเร็ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยังคงไม่รู้ไม่เห็น!
ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่คนเดิมแล้ว
ต้องขอบคุณเจ้าสำนักจาง…ทั้งสามครุ่นคิด
การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจางเซวียนต้องใช้ความคิดไม่น้อยเพื่อผลักดันพวกเขาให้ก้าวหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกเขาต่อสู้กับนักรบจากหอเทพเจ้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าจางเซวียนคงเล่นงานพวกนั้นได้ไม่ยากเช่นกัน
ทุกคนรู้ดีว่าจางเซวียนสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยังสละเวลามาทุ่มเทฝึกฝนพวกเขา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทำเพื่อความก้าวหน้าของพวกเขาเอง
มีแต่ประสบการณ์ของการต่อสู้กับนักรบจากหอเทพเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาพัฒนาไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้
“เล่นงานพวกนั้นพร้อมๆกันเถอะ!”
เมื่อรู้สึกถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม ผู้เข้าท้าทายทั้งสามสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาพร้อมกัน
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
เกิดเสียงตุ้บสามครั้ง สามนักรบจากหอเทพเจ้าถูกผลักดันให้ถอยกลับไป
หลายนาทีต่อมา สามนักรบจากหอเทพเจ้าก็ล้มลงไปกองกับพื้น หมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“เฮ่อออออ!”
ผู้เข้าท้าทายทั้งสามถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากปฏิบัติภารกิจที่ถูกคาดหวังไว้จนสำเร็จ ในตอนนั้น ทุกคนพลันนึกได้ว่ายังเหลือนักรบอีกสองคน จึงรีบหันไปมอง
แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือนักรบทั้งสองนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น จางเซวียนยืนยิ้มอ่อนอยู่ใกล้ๆ กำลังจ้องมองคนเหล่านั้น
ถึงจางเซวียนจะปล่อยการโจมตีช้ากว่าพวกเขา แต่ก็เล่นงานอีกฝ่ายได้เร็วกว่า ที่น่าสะพรึงก็คือทุกคนไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าเขาปล่อยการโจมตีอย่างไร!
คนที่รู้สึกแบบนั้นไม่ได้มีแต่ผู้เข้าท้าทายทั้งสาม ก่อนหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย สองนักรบจากหอเทพเจ้าต่างก็พรั่นพรึง
พวกเขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ลงไปกองกับพื้น ทำได้แค่เฝ้ารอความตาย!
“ไปกันเถอะ!”
หลังจากเล่นงานนักรบทั้ง 5 จากหอเทพเจ้าแล้ว ทั้งกลุ่มก็รุดหน้าต่อไป
ไม่มีวี่แววของสองอัจฉริยะที่ล่วงหน้าไปก่อน สะพานเบื้องบนดูเหมือนจะทอดยาวทะลุผ่านความมืดมนอนธการอันไร้ขอบเขต ยาวไกลจนสุดขอบฟ้า
พวกเขาเดินไปตามสะพานครู่หนึ่ง ก่อนในที่สุดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตรงหน้า
แท่นรูปวงกลมที่มีลักษณะเหมือนศาลาริมทางปรากฏขึ้นบริเวณด้านข้างสะพานเบื้องบน
อัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำนั่งอยู่ที่ใจกลางแท่นนั้น
มีรังสีพิเศษแผ่ซ่านออกจากแท่น รูขุมขนของเขาเปิดกว้างขณะซึมซับรังสีนั้นอย่างดุเดือด ทำให้ระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธเต็มที
“เขากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!” ผู้อาวุโสหงอู่ร้องออกมา
ตามที่เหล่าบรรพบุรุษบันทึกไว้ หลังจากเอาชนะ 5 นักรบจากหอเทพเจ้าได้แล้ว จะมีสถานที่หลายแห่งในบริเวณของสะพานเบื้องบนที่เหล่าผู้เข้าท้าทายสามารถใช้ฝ่าด่านวรยุทธ ขอแค่ผู้นั้นสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ โอกาสของการจะเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็มีสูงมาก
แท่นรูปวงกลมนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสถานที่เหล่านั้น
“ในเมื่อที่นี่มีคนจับจองแล้ว พวกเราก็เดินต่อไปดีกว่า ดูว่ามีแท่นรูปวงกลมแท่นอื่นอีกไหม” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ
เขาไม่ค่อยประทับใจอัจฉริยะสองคนนี้ และไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบังความรู้สึกนั้น
ในเมื่อเหล่าบรรพบุรุษของ 6 สำนักสามารถฝ่าด่านวรยุทธที่สะพานเบื้องบนได้ ก็ควรจะมีแท่นรูปวงกลมลักษณะแบบเดียวกันอยู่โดยรอบ
เพราะไม่อย่างนั้น อัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายก็คงอยู่ที่นี่แล้ว
ทั้งกลุ่มพยักหน้าและกำลังจะรุดหน้าต่อไป ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงคำรามทุ้มลึกดังขึ้นด้านหลัง กระแสพลังปราณระเบิดออกจากร่างของอัจฉริยะที่อยู่บนแท่น พุ่งขึ้นสู่ความว่างเปล่าด้านบน
บึ้มมมมม!
“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?”
ทุกคนตกตะลึงขณะหันขวับไปมอง เห็นร่างของชายวัยกลางคนผู้นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พลังงานจากสวรรค์ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ราวกับมีมังกรร้อยรัด เขาลอยตัวขึ้นเหนือแท่น ดูจะเป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วงที่ฉุดรั้งร่างของเขาอยู่
ฟึ่บ!
เมื่อซึมซับพลังงานทั้งหมดเข้าสู่ร่างแล้ว ในที่สุดชายวัยกลางคนก็ลืมตา
แสงเจิดจ้าสว่างวาบออกจากดวงตาของเขา
ชายวัยกลางคนเหยียดริมฝีปากเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย เขาหันมามองจางเซวียนกับคนอื่นๆ นัยน์ตาฉายแววของความประหลาดใจเล็กน้อย
แต่เขาก็รีบลุกขึ้นยืน “การที่พวกคุณมาได้ไกลขนาดนี้แปลว่าพวกคุณเอาชนะเหล่านักรบจากหอเทพเจ้าได้แล้ว แต่โชคดีของพวกคุณน่ะจบลงเท่านี้แหละ ไม่มีทางไปได้ไกลกว่านี้หรอก…”
ฟึ่บ!
พริบตาต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสี่
เห็นภาพนั้น จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“คงจะดีกว่าถ้าพวกคุณตายด้วยน้ำมือของเหล่านักรบ ไม่มีประโยชน์หรอกที่เราทุกคนจะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ด้วยกัน เพราะเราก็จะกลับไปเสมอกันเหมือนเดิม” ชายวัยกลางคนคำราม
เหตุผลที่พวกเขาร่วมมือกับหอนิรันดร์โดยไม่ลังเลก็เพราะมั่นใจว่าสองสำนักของพวกเขาจะมีจำนวนนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากขึ้น ทำให้มีสถานภาพสูงกว่าเดิมในกลุ่มของ 6 สำนักใหญ่
แล้วถ้าคนพวกนี้ประสบความสำเร็จกันหมด ความพยายามของพวกเขามิสูญเปล่าหรือ?
“คือคุณคิดจะฆ่าพวกเราตรงนี้ใช่ไหม?” จางเซวียนถามอย่างไม่ยี่หระ
เขารู้แล้วว่าสองสำนักนี้เล่นไม่ซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะเกินเลยขนาดนี้
ชายวัยกลางคนคำรามเยาะ “ผู้บาดเจ็บล้มตายน่ะเป็นเรื่องธรรมดาของสะพานเบื้องบน โลกจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากปากของผู้รอดชีวิตเท่านั้น”
ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตที่มีมากมายเพราะสะพานเบื้องบน คงไม่มีใครตำหนิเขาแน่หากจางเซวียนกับคนอื่นๆเสียชีวิตกันหมด และต่อให้หานเจี้ยนชิวหรือใครต่อใครสงสัย ก็ทำอะไรไม่ได้หากไม่มีหลักฐานแน่นหนา เว้นเสียแต่พวกเขาจะอยากเปิดสงคราม
เห็นความมั่นใจของอีกฝ่าย จางเซวียนอดหัวเราะไม่ได้ “อะไรทำให้คุณแน่ใจว่าจะสามารถเล่นงานพวกเรา?”
“ผมรู้ว่าคุณทำให้เต่าหลังดำยอมจำนนได้ แต่สะพานเบื้องบนคือสิ่งที่ถูกสร้างโดยผู้ที่เหนือชั้นกว่าความคาดหมายของพวกเรา คุณคิดว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของสะพานเบื้องบนได้ง่ายๆหรือ?” ชายวัยกลางคนตอบพร้อมกับยิ้มเยือกเย็น
“ถ้าสะพานเบื้องบนมีช่องโหว่ใดๆล่ะก็ บรรพบุรุษของพวกเราคงพบมันไปนานแล้ว!”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยายามเพ่งสมาธิไปที่กระสอบอสูรของเขา แต่ก็พบว่ามันถูกปิดกั้นไว้ด้วยพลังลึกลับบางอย่าง เขาไม่อาจนำเต่าหลังดำกับอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตัวอื่นออกมาได้
แต่สำหรับอสูรระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์นั้นไม่มีปัญหา
เพียงแต่สะพานเบื้องบนเป็นพื้นที่แคบ และเหล่าอสูรที่เขามีก็ล้วนแต่รูปร่างใหญ่โต หากเขาเรียกมันออกมาก็มีแต่จะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก
ดูเหมือนเทพเจ้าจะใคร่ครวญดีแล้วก่อนสร้างหอนานาอสูร พวกเขาไม่อาจปล่อยให้ใครทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของบททดสอบนี้
“พวกคุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าทำไมผมถึงสามารถทำให้เต่าหลังดำยอมจำนน? ผมนึกไม่ออกเลยว่าเด็กใหม่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างคุณคิดได้อย่างไรว่าจะฆ่าผมได้” จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาอาจใช้พละกำลังของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 ไม่ได้ แต่ด้วยวรยุทธของเขาตอนนี้ก็ถือว่าเกินพอที่จะต่อสู้กับนักรบที่เพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์
“แล้วถ้าผมร่วมวงด้วยคนล่ะ?”
ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา
อัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายปรากฏตัวขึ้นอีกด้านหนึ่ง ขวางทั้งกลุ่มไว้
ก็เหมือนกับอัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำ เขาสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว เมื่อทั้งคู่แผ่รังสีออกมาพร้อมกัน ก็สร้างความกดดันหนักหน่วงให้ผู้อาวุโสหงอู่กับพรรคพวก ทั้งสามหน้าถอดสี
จางเซวียนอาจเอาชนะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เพียงคนเดียวได้ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึงสองคนพร้อมกัน…
โอกาสชนะก็ริบหรี่เต็มที!
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังเป็นอัจฉริยะระดับหัวกะทิของทวีปที่ถูกลืมด้วย ต่อให้พวกเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ แต่ก็ไม่อาจสบประมาทพละกำลังนั้นได้
“คุณไม่กลัวว่าทวีปที่ถูกลืมจะเกิดความวุ่นวายหรือถ้าเล่นงานพวกเรา?” จางเซวียนถามอย่างสุขุม
“ไม่ต้องห่วง หลังจากคุณตาย สำนักป้อมปราการกระจกดำและสำนักอมตะเลือนหายของเราจะค่อยๆครอบงำสำนักของคุณ สถานที่ที่เคยมีชื่อว่าตำหนักคว้าดาว สำนักดาบเมฆเหิน หอนานาอสูร และสำนักดาวเจ็ดดวงจะกลายเป็นเพียงเศษซากของอดีต” ชายวัยกลางคนจากสำนักป้อมปราการกระจกดำคำรามขณะพุ่งเข้าใส่
เขาปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียนในชั่วพริบตาและปล่อยพลังจากฝ่ามือ
พละกำลังของชายวัยกลางคนหนักหน่วงราวกับขุนเขา เรี่ยวแรงของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หมาดๆพลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำเชี่ยว ผู้อาวุโสหงอู่กับคนอื่นๆอยากเข้าไปช่วย แต่รู้สึกเหมือนมีแรงกดดันในอากาศตรึงร่างของพวกเขาไว้ ก้าวขาไม่ออกแม้สักก้าว
“นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นแบบนี้เองหรือ?” ผู้อาวุโสหงอู่ใจคอไม่ดี
เขาเคยพบผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายสำแดงพละกำลังที่แท้จริง จึงไม่รู้ว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทรงพลังแค่ไหน เพิ่งตอนนี้เองที่เข้าใจกระจ่างว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จะเอาชนะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ตาม
นี่คือเหตุผลที่ทำให้การปรากฏตัวของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สักคนในแต่ละสำนักเป็นเรื่องสำคัญมาก