ตอนที่ 2118 คุณรู้แล้วหรือ?
คงจะดีที่สุดถ้าเขาจะหลีกเลี่ยงการใช้หอสมุดเทียบฟ้าไปสักระยะหนึ่งก่อน
“วิธีแก้ไขนั้นง่ายนิดเดียว” ปรมาจารย์ขงจ้องหน้าจางเซวียนขณะพูดต่อ “คำถามคือคุณเต็มใจจะเสียสละหรือเปล่า”
“แล้วผมต้องเสียสละอะไร?” จางเซวียนย้อนถาม
“เหตุผลที่ไอสีเทาสะสมอยู่ในตัวคุณก็เพราะการแบกรับพละกำลังของสวรรค์ไว้นั้นเป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ” ปรมาจารย์ขงอธิบาย
“ขอแค่คุณยินยอมตัดการเชื่อมโยงระหว่างตัวคุณกับหอสมุดเทียบฟ้า คุณก็จะไม่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการถูกสวรรค์กลืนกินอีกต่อไป”
“ตัดการเชื่อมโยงกับหอสมุดเทียบฟ้า?”
“ใช่ หอสมุดเทียบฟ้าไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควบคุมได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง ถ้าคุณยังเก็บมันไว้กับตัว ไม่ช้าไม่นานคุณก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของสวรรค์” ปรมาจารย์ขงพูด “คุณบอกว่าความสามารถที่คุณได้รับคือมลทินสวรรค์ แต่ทำไมเทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนถึงปราศจากมลทิน ไร้ข้อบกพร่องล่ะ? นั่นไม่ใช่ช่องโหว่ในตัวมันหรือ?”
คำพูดเหล่านั้นทำให้จางเซวียนตัวแข็ง
ความขัดแย้งข้อนี้ติดค้างอยู่ในใจของเขามาสักพักหนึ่งแล้ว
ถ้าแม้แต่สวรรค์ยังมีข้อบกพร่อง แล้วทำไมเคล็ดวิชาเทียบฟ้าถึงปราศจากข้อบกพร่องได้?
ไม่ล่ะ ไม่ใช่แบบนั้นแน่ ตอนนี้มันอาจดูเหมือนไร้ข้อบกพร่องสำหรับเรา แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะยังคงเป็นแบบนั้นในโลกอื่นๆ จางเซวียนคิด
วรยุทธของเขาเคยถูกธาตุไฟเข้าแทรกหนหนึ่งแล้วเพราะเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นจี้ของหลัวลั่วชิงที่ช่วยชีวิตเขาไว้
‘ความสมบูรณ์แบบ’ คือแนวคิดที่ใช้ได้ในบริบทที่มีขีดจำกัด หากเป็นโลกคนละใบ ก็ย่อมมีกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่แตกต่างออกไป จึงเป็นธรรมดาที่ข้อบกพร่องซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนอาจเผยตัวออกมาให้เห็น
ดังนั้นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าจึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเทคนิควรยุทธที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ อย่างมากที่สุดก็เรียกว่าเป็นเทคนิคที่สอดคล้องกับสวรรค์มากที่สุดในโลกที่เขาพำนักอยู่
จางเซวียนไม่ได้พูดออกมาดังๆ แต่เลือกที่จะตั้งคำถาม “ปรมาจารย์ขง นี่หมายความว่าคุณตัดขาดจากลิขิตสวรรค์แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ผมตัดลิขิตสวรรค์ออกจากร่างกายของผมแล้ว ก็เหมือนที่ผมปฏิเสธสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทานในครั้งนั้นนั่นแหละ การจะได้บางอย่างมาก็ต้องยอมเสียบางอย่างไป มีแต่การเสาะแสวงหาหนทางของตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้คุณก้าวหน้ากว่าเดิม” ปรมาจารย์ขงพูดขณะเหม่อมองไปแสนไกลด้วยแววตาล้ำลึก
จากนั้นเขาก็หันมามองจางเซวียนและยิ้มให้ “ผมเชื่อว่าคุณคงคิดออกแล้วว่าควรทำอย่างไร”
จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
ในครั้งนั้น ถ้าเขาไม่ปฏิเสธสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็จะไม่มีวันยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ และแน่นอนว่าคงไม่อาจมาถึงจุดที่ยืนอยู่ในเวลานี้
จางเซวียนยังคงแคลงใจเรื่องแนวคิดของการละทิ้งหอสมุดเทียบฟ้า แต่สิ่งที่ปรมาจารย์ขงพูดก็มีความจริงอยู่
หรือว่านี่คือเส้นทางที่เขาต้องก้าวเดินไปเพื่อให้หลุดพ้นจากการตีกรอบของสวรรค์และพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ากว่าเดิม?
ด้วยความสงสัยมากมายที่ยังค้างคาใจ จางเซวียนหันไปถามปรมาจารย์ขง “มลทินสวรรค์เกี่ยวพันกับผมในรูปแบบที่ซับซ้อน ผมจะตัดความเชื่อมโยงกับมันได้อย่างไร?”
หอสมุดเทียบฟ้าเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของเขา ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาใช้มันได้แม้จะอยู่ในรูปของจิตวิญญาณ
แม้เมื่อตอนที่เขาเฉือนจิตวิญญาณออกไปเพื่อสร้างตัวโคลน หอสมุดเทียบฟ้าก็ยังอยู่
ในเมื่อเป็นแบบนั้น จางเซวียนจึงนึกภาพไม่ออกว่าจะตัดการเชื่อมโยงกับหอสมุดเทียบฟ้าได้อย่างไร
“ผมไม่ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างหรอกหรือ?” ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆ “ผมผ่านกระบวนการนั้นมาแล้ว คุ้นเคยกับมันดี ตอนนี้มันอาจฟังดูไม่น่าเชื่อสำหรับคุณ แต่แท้ที่จริงแล้ววิธีการนั้นง่ายมาก อันที่จริง คุณเองก็เพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา”
“คุณหมายถึงพิธีกรรมของหัวหน้าหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนถามด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง
“ใช่” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “ผมใช้วิธีการนั้นเพื่อตัดลิขิตสวรรค์ออกจากร่าง และผมเชื่อว่าหอเทพเจ้าทำแบบนั้นก็เพราะคิดว่าจะสามารถตัดคุณออกจากมลทินสวรรค์และเข้าแทนที่คุณได้”
“ถ้าอำนาจสวรรค์มีช่องโหว่ใหญ่โตขนาดนั้น ทำไมหัวหน้าหอเทพเจ้าถึงอยากได้มลทินสวรรค์ของผมล่ะ?” จางเซวียนออกจะงง
อย่างที่ปรมาจารย์ขงพูด ผู้ที่มีสวรรค์อยู่ในตัวจะถูกสวรรค์กลืนกินจนในท้ายที่สุดก็ทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมพยายามหลีกหนีจากเรื่องอันตรายแบบนั้น จึงดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่หัวหน้าหอเทพเจ้าจะยอมลงทุนมากมายเพื่อให้ได้ครอบครองมัน
“เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอก็คือเรามักไม่ได้รับสิ่งที่ดูจะเหมาะสมที่สุดสำหรับเรา อีกอย่าง ทุกคนก็ล้วนมีความปรารถนาของตัวเอง อย่างคุณกับผม เป้าหมายของเราคือการขึ้นสู่สรวงสวรรค์และเฝ้าดูโลกจากมุมที่สูงกว่า ส่วนหัวหน้าหอเทพเจ้าก็หวังจะยึดครองอำนาจเหนือทวีปที่ถูกลืม ในเมื่อเป้าหมายของเราแตกต่างกัน ก็เป็นธรรมดาที่สิ่งที่เราอยากได้ย่อมแตกต่างกันออกไป” ปรมาจารย์ขงอธิบาย
“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า
ขอบเขตความทะเยอทะยานของคนคนหนึ่งจะชี้ชะตาของเขา ผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูงกว่าจะมุ่งมั่นไม่หยุดเพื่อก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น ขณะผู้ที่มีความฝันเรียบง่ายจะจำกัดตัวเองให้อยู่กับสิ่งที่พวกเขามองเห็นและเอื้อมถึง
“แต่ตอนนี้แท่นบูชาอยู่กับหอเทพเจ้านี่? คงนำมันมาจากพวกเขาไม่ได้ง่ายๆหรอก” จางเซวียนพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ถ้ากรรมวิธีการตัดความเชื่อมโยงกับหอสมุดเทียบฟ้าเป็นแบบเดียวกับที่หัวหน้าหอเทพเจ้าใช้ เขาก็น่าจะต้องใช้แท่นบูชาของตำหนักคว้าดาว และน่าจะต้องการให้ตู้ชิงหย่วนมาช่วยประกอบพิธีกรรมด้วย
ในเมื่อตอนนี้ทั้งตู้ชิงหย่วนและแท่นบูชาอยู่ในกำมือของหอเทพเจ้า ในระยะเวลาอันใกล้นี้พวกเขาคงไม่อาจประกอบพิธีกรรมได้แน่
“ไม่ต้องกังวลหรอก ดูสิว่าผมมีอะไร”
ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆและสะบัดข้อมือ
ฟึ่บ!
แท่นบูชาอันหนึ่งปรากฏขึ้น
“คุณนำแท่นบูชาออกมาจากหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนแทบไม่เชื่อสายตา
ขณะที่รับมือกับการโจมตีของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 8 เพื่อช่วยชีวิตเขา อีกฝ่ายยังสามารถนำแท่นบูชาออกมาได้ด้วย…ความเก่งกาจของเขาช่างน่าสะพรึงเสียจริง!
“แต่แค่มีแท่นบูชาก็ไม่น่าจะเพียงพอหรอก เท่าที่ผมรู้ พิธีกรรมนี้ซับซ้อนมาก จึงต้องใช้คนระดับหัวหน้าตู้”
“ในครั้งนั้นผมเรียนรู้พิธีกรรมด้วยตัวเอง และมั่นใจว่าจะประกอบพิธีกรรมได้ราบรื่นกว่าเธอเสียอีก” ปรมาจารย์ขงตอบอย่างมั่นใจ
“ถ้าอย่างนั้น…ผมก็คิดว่าคงไม่ต้องรีรออะไรแล้ว เราเริ่มกันเลยไหม?” จางเซวียนหัวเราะลั่นก่อนพยักหน้ารับ
“ได้สิ”
ปรมาจารย์ขงพยักหน้า เขาโบกมือ แล้วทรัพย์สมบัติกองหนึ่งก็ร่อนลงมาบนแท่นบูชา ปรมาจารย์ขงร่ายเวทมนตร์แปลกประหลาดบางอย่าง แล้วเปลวเพลิงสีน้ำเงินก็ลุกโชนบนแท่นบูชา
“คุณไปอยู่ตรงนั้นได้แล้ว” ปรมาจารย์ขงสั่งการ
จางเซวียนพยักหน้าขณะออกเดินไปยังแท่นบูชา แต่ครู่ต่อมาปรมาจารย์ขงก็ขัดขึ้น “เดี๋ยว ผมอยากให้คุณมอบจี้ที่คุณสวมอยู่ให้ผมก่อน”
“จี้ของผม?” จางเซวียนหยุดกึกและมองหน้าปรมาจารย์ขง
“ผมเห็นมันตั้งแต่ตอนพิธีกรรมเมื่อครู่แล้ว มีบางอย่างอยู่ในจี้ที่คุณสวมอยู่ มันพันธนาการหอสมุดเทียบฟ้าไว้กับคุณ ทำให้คุณไม่อาจตัดการเชื่อมโยงกับมันได้ ผมเกรงว่าจี้อันนี้อาจขัดขวางพิธีกรรม ไม่ต้องห่วง ผมจะเก็บมันไว้ให้คุณก่อน เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็จะคืนให้” ปรมาจารย์ขงอธิบาย
จางเซวียนออกจะลังเล แต่สุดท้ายก็ปลดจี้ออกจากลำคอและมอบให้อีกฝ่าย
ปรมาจารย์ขงรับจี้ไปจากจางเซวียน เขาเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะเก็บมันไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
จากนั้นก็เร่งจางเซวียนให้รีบเดินไปยังแท่นบูชา
จางเซวียนก้าวออกไป แต่แล้วก็หันกลับมาถามอย่างไม่สบายใจ “ผมจะเป็นอะไรไหมหลังจากนำหอสมุดเทียบฟ้าออกไปจากตัวแล้ว?”
เขารู้ว่าหอสมุดเทียบฟ้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา แม้ปรมาจารย์ขงจะรับประกันว่าทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้
“ผมยืนอยู่ตรงหน้าคุณ อยู่ตรงนี้แล้ว คุณน่าจะตอบคำถามเองได้ ผมเข้าใจว่าคุณกังวล แต่คุณจะไม่เป็นอะไรหรอก” ปรมาจารย์ขงตอบ
ได้ยินคำนั้น ในที่สุดจางเซวียนก็กระโจนขึ้นไปอยู่เหนือเปลวเพลิงสีน้ำเงิน
“เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ผมจะต้องสกัดกั้นคุณให้อยู่กับที่สักระยะหนึ่ง มันจะช่วยป้องกันแรงตีกลับจากสวรรค์” ปรมาจารย์ขงพูดขณะยกมือขึ้น
บึ้มมมมม!
ทันทีที่ปรมาจารย์ขงพูดจบ พละกำลังมหาศาลก็แผ่ลงมาจากสวรรค์ โซ่ที่มีลักษณะเหมือนกับโซ่ที่หอเทพเจ้าใช้ตรงเข้าพันธนาการร่างของจางเซวียนไว้อย่างแน่นหนา ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร ร่างของเขาก็ถูกมัดติดไว้กับแท่นบูชา
จางเซวียนขมวดคิ้วเพราะไม่ทันระวังตัวกับการเคลื่อนไหวอันปุบปับนั้น
“ผมจะเริ่มพิธีละนะ”
ปรมาจารย์ขงสะบัดมืออีกครั้งพร้อมกับคลี่ยิ้ม แล้วแท่นบูชาอีกอันก็ปรากฏใต้ฝ่าเท้าของเขา เปลวเพลิงสีน้ำเงินลุกโชนจากแท่นบูชานั้น กลืนกินร่างของปรมาจารย์ขงไว้ทั้งตัว
“ไม่สิ แบบนี้ไม่ใช่แล้ว…คุณกำลังจะนำหอสมุดเทียบฟ้าของผมไปและถ่ายทอดมันเข้าสู่ร่างของคุณเอง!” จางเซวียนร้องออกมา
หลังจากได้เห็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงทำ เขาจะยังคงไม่รู้ไม่เห็นวัตถุประสงค์ของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
“คุณรู้แล้วหรือ? เอาเถอะ แต่มันก็สายไปแล้ว!” ปรมาจารย์ขงหัวเราะลั่นก่อนจะร่ายมนต์อีกครั้ง
เปลวเพลิงบนแท่นบูชาทั้งสองอันเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว มันส่องแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
“เพื่ออะไรกัน? คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่าสวรรค์จะกลืนกินและเปลี่ยนผู้นั้นให้กลายเป็นหุ่นเชิด?”
จางเซวียนกระเสือกกระสนดิ้นรน แต่พบว่าตัวเขาถูกพันธนาการไว้กับแท่นบูชาอย่างแน่นหนา ไม่มีทางหลบหนีได้เลย
“ตอนที่ผมพูดแบบนั้น ผมก็ไม่ได้โกหกนะ แต่ถ้าไม่มีหินรองฝ่าเท้า แล้วผมจะก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้อย่างไร? คุณคิดหรือว่ามันเป็นไปได้จริงๆที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะกลายเป็นเทพเจ้าได้เพียงเพราะความเก่งกาจของเขา? คุณไร้เดียงสาขนาดไหนถึงเชื่อว่านักรบคนหนึ่งจะฉีกกระชากประตูสู่สรวงสวรรค์ได้ง่ายดายขนาดนั้น?” ปรมาจารย์ขงคำรามเยาะ
“คุณกำลังหลอกตัวเอง!”
“ผมพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง และจะไม่ทำพลาดแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง ในตอนนั้น ผมทิ้งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของผมไว้ที่พระราชวังชิวอู๋เพื่อจับตัวคุณ ตอนนั้นคุณยังอ่อนแอ และผมก็ควรจะทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย แต่แม่ผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้นที่อยู่ข้างคุณเข้ามาขัดขวางแผนการของผม…”
“พระราชวังชิวอู๋?” จางเซวียนถึงกับจังงัง
ความทรงจำค่อยๆทยอยเข้ามาในหัวสมอง
ในครั้งนั้น ด้วยลูกบอลคริสตัลที่ควบคุมพระราชวังชิวอู๋ เขาได้พบเจตจำนงที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ อีกฝ่ายกำลังจะเตือนเขาตอนที่เขายกมือขึ้น แต่ก่อนที่จะทันได้เกิดอะไร…หลัวลั่วชิงก็เรียกหา ทำให้เขาต้องกลับสู่โลกของความเป็นจริง