อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2117 หรือว่าคุณก็…
ปรมาจารย์ขงดูขบขันเล็กน้อยกับสีหน้างุนงงของจางเซวียน เขาหัวเราะหึๆขณะพูดต่อ “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ความจริงก็คือผมน่ะเหมือนคุณ ผมมีเศษเสี้ยวของสวรรค์อยู่ในตัวเหมือนกัน”
“คุณก็มีหอสมุดหรือ?” จางเซวียนตาโตจนแทบจะทะลุออกจากเบ้า
ตอนที่เขารับรู้เรื่องประสบการณ์ของปรมาจารย์ขงในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็นึกสงสัยอยู่ว่าปรมาจารย์ขงอาจมีหอสมุดเทียบฟ้าเช่นกัน ซึ่งนั่นอธิบายได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีเทคนิควรยุทธที่สมบูรณ์แบบและยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่มีต่ำมาก สุดท้ายเขาก็ละทิ้งข้อสันนิษฐานนั้น
“หอสมุด?” ปรมาจารย์ขงอึ้งไปเล็กน้อยกับคำถามของจางเซวียน “ไม่ ไม่ใช่หรอก สิ่งที่ผมได้รับ คือการควบคุมมิติและเวลาของสรวงสวรรค์ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ลิขิตสวรรค์’”
“ลิขิตสวรรค์?”
ก็เหมือนกับการที่ดวงอาทิตย์ตกและดวงจันทร์เต็มดวง หมุนเวียนกันไป ทุกอย่างในโลกใบนี้มีระเบียบกฎเกณฑ์ของมัน ซึ่งรากฐานของระเบียบนั้นก็อยู่ที่มิติกับเวลา” ปรมาจารย์ขงพูด
มิติกับเวลาคือองค์ประกอบพื้นฐานในการสร้างระเบียบให้กับโลกที่แสนวุ่นวายใบนี้ พวกมันเป็นรากฐานในการพัฒนาวัฏจักรของธรรมชาติ มีความจำเป็นต่อการเติบโตเบ่งบานของชีวิต ถ้าปราศจากมิติและเวลา โลกก็จะสับสนวุ่นวายและเข้าสู่ภาวะวิกฤติ
ดังนั้น มิติและเวลาจึงเป็นเสมือนกฎเกณฑ์แรกสุดของทั้งโลก หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ปฐมลิขิต’
เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมปรมาจารย์ขงถึงสร้างมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงขึ้นได้ โดยเป็นคัมภีร์ที่มีอำนาจของทั้งมิติและเวลา แม้เมื่อถูกผนวกเข้ากับหอสมุดเทียบฟ้า ก็ยังสามารถสร้างพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง
ดูเหมือน ‘ลิขิตสวรรค์’ จะเป็นความสามารถที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าหอสมุดเทียบฟ้าเลย
ก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนเห็นสายเลือด ‘วาจาสิทธิ์’ ของขงซือเหยา ก็อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าปรมาจารย์ขงมีความสามารถแบบไหน แต่เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ ทุกอย่างก็ดูจะปะติดปะต่อกันอย่างลงตัวราวกับจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์แบบ
เพราะปรมาจารย์ขงปรารถนาจะสร้างระเบียบให้กับโลก จึงก่อตั้งสภาปรมาจารย์และรังสรรค์แต่ละวิชาชีพรวมทั้งมรดกตกทอดของพวกเขาขึ้นมา ด้วยสิ่งนี้ มนุษยชาติจึงเติบโตและพัฒนามาได้ยาวนานตลอดหลายหมื่นปี มีพละกำลังและอำนาจมากพอจะต้านทานได้แม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ทรงพลังมาแต่กำเนิด
“หากปราศจากระเบียบกฏเกณฑ์ ก็ไม่อาจสร้างสิ่งสำคัญใดๆได้” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า จากนั้น ก็จ้องมองจางเซวียนด้วยแววตาที่บ่งบอกความสับสนเล็กน้อยขณะตั้งคำถาม “หรือว่า…เศษเสี้ยวของสวรรค์ที่คุณได้รับไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลิขิตสวรรค์เลย? เมื่อครู่นี้คุณพูดถึงหอสมุดนี่ ใช่ไหม?”
แม้จะรู้ว่าจางเซวียนมีเศษเสี้ยวของสวรรค์อยู่ในตัว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าความสามารถของชายหนุ่มคืออะไร สรวงสวรรค์นั้นกว้างใหญ่และโอบล้อมทุกอย่างไว้ ไม่มีทางทำความเข้าใจสรวงสวรรค์ทั้งหมดได้
“ใช่ ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อครู่นั่นแหละ ตอนที่ผมพูดว่ามันคือหอสมุดน่ะ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผมคิดว่ามันควรจะเรียกว่า ‘มลทินสวรรค์’!” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ
มันคือถ้อยคำที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาตอนที่เขาเปิดใช้งานหอสมุดเทียบฟ้าครั้งแรก
ก็เพราะความสามารถนี้ที่ทำให้หอสมุดเทียบฟ้ามองเห็นข้อบกพร่องของทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งและเปิดเผยเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดให้ เขามาไกลได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะมัน
“ลิขิตสวรรค์และมลทินสวรรค์…” ปรมาจารย์ขงพึมพำด้วยอาการครุ่นคิดก่อนจะตาโต “ผมเข้าใจแล้ว!”
“ปรมาจารย์ขง เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าอายุขัยของผมใกล้สิ้นสุด…เรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมลทินสวรรค์ของผมหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม
“เกี่ยวสิ” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “การได้รับเศษเสี้ยวของสวรรค์มาคือโชคลาภครั้งใหญ่ มันเป็นสิ่งที่นักรบทุกคนล้วนใฝ่ฝัน แต่พลังนี้ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงไม่น้อย ยิ่งคุณใช้มันบ่อยขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะถูกสวรรค์ค่อยๆกลืนกินไป จนสุดท้ายก็สูญเสียเจตจำนงเดิมของคุณเอง”
จางเซวียนถึงกับผงะ
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่รู้อยู่แก่ใจก็คือนับวันหอสมุดเทียบฟ้าก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แถมเขาก็มักจะพึ่งพามันไม่ได้ จนถึงขนาดที่การใช้งานมันเป็นเรื่องยากหากไม่มีเคล็ดวิชาเทียบฟ้าอยู่กับตัว
หรือว่านี่คือผลกระทบจากการถูกสวรรค์กลืนกิน?
“อำนาจสวรรค์เป็นดาบสองคมเสมอ เมื่อมีได้ก็ย่อมมีเสีย คุณฝึกฝนวรยุทธได้รวดเร็วเพราะเศษเสี้ยวของสวรรค์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีราคาที่ต้องจ่าย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนจะต้องเป็นเทคนิคเทียบฟ้าเท่านั้น ใช่ไหม?” ปรมาจารย์ขงตั้งคำถามด้วยแววตาแข็งกร้าว
“คุณอยู่กับมันมาก็นานโข แต่รู้สึกบ้างหรือเปล่าว่ามีไอสีดำสนิทตกค้างในส่วนลึกของร่างกาย? ไม่ว่าคุณพยายามผลักดันมันแค่ไหน จะด้วยการใช้เปลวเพลิงสวรรค์หรือสายฟ้า ก็กำจัดมันให้หมดสิ้นไปไม่ได้”
คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน…คุณกำลังพูดถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหรือเปล่า? จิตวิญญาณเศษเสี้ยวหนึ่งของคุณเคยบอกผมไว้เมื่อตอนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์”
ตอนแรกเขาก็ออกจะกังวลใจ แต่ในเมื่อที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ตัดสินใจไม่แยแสมัน จนสุดท้ายก็ลืมสนิท
เมื่อปรมาจารย์ขงพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนึกขึ้นได้
เมื่อย้อนคิดดู เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของปรมาจารย์ขงเคยเตือนเขาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นทั้งคู่ไม่มีเวลาคุยกันให้ละเอียด
ปรมาจารย์ขงพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ใช่ พิจารณาให้ถี่ถ้วนเถอะ คุณรู้สึกว่ามีบางอย่างแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่คุณเห็นมันหรือเปล่า?”
“แตกต่าง?” จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่ร่างกายเพื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ครู่ต่อมาก็ตัวแข็ง
“ดูเหมือนมัน…จะขยายตัวใหญ่กว่าเดิมมาก! แถมไม่ใช่สีดำสนิทแล้ว ตอนนี้มันดูจะเป็นสีเทา!”
ก่อนหน้านี้ ไอสีดำสนิทที่อยู่ในร่างกายของเขามีความยาวประมาณ 1 นิ้วมือ เพราะมันเล็กเกินไป จางเซวียนจึงไม่ได้สังเกต ในตอนนั้นเขาเห็นมันเป็นสีดำ แต่เมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมราว 2 เท่า ก็คล้ายกับมีงูตัวจิ๋วขดอยู่ในร่างกายของเขา
“มันนั่นแหละ” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้คุณรู้สึกถึงความผิดปกติบ้างหรือเปล่า?”
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
สิ่งนี้อยู่ในตัวเขามานานแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเข้าใจว่าแท้ที่จริงมันคืออะไร จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ
มันไม่ได้กีดขวางการฝึกฝนวรยุทธหรือการไหลเวียนของกระแสพลังปราณ เขาจึงไม่คิดว่าจะมีอันตราย
“ลองใช้มลทินสวรรค์ของคุณสิ เพ่งสมาธิไปที่ไอสีเทานั่น” ปรมาจารย์ขงพูด
“ผมจะลองดู” จางเซวียนใช้ความคิดขณะหันไปทางค่ายกลที่ปรมาจารย์ขงเพิ่งติดตั้งไว้และเพ่งสมาธิ ‘ข้อบกพร่อง!’
ฟึ่บ!
หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเล่มหนึ่งที่มีรายละเอียดของค่ายกลปรากฏขึ้น
จางเซวียนพลิกหนังสือดู และต้องยอมรับว่าประทับใจมาก
ความเข้าใจเรื่องค่ายกลของปรมาจารย์ขงถือว่าอยู่ในระดับน่าทึ่ง เขาติดตั้งค่ายกลที่ซับซ้อนไร้ที่ติขนาดนี้ได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จางเซวียนในเวลานี้ก็ทำไม่ได้
“ว่าอย่างไร? รู้สึกถึงความแตกต่างไหม?” ปรมาจารย์ขงตั้งคำถาม
จางเซวียนเพ่งสมาธิไปที่ไอสีเทานั้นครู่หนึ่ง เขาได้แต่ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ…ไม่ ไม่ใช่หรอก มันโตขึ้นนิดหน่อย แถมยังแข็งแกร่งกว่าเดิม…”
การเปลี่ยนแปลงมีน้อยมาก ถึงขนาดที่มองไม่เห็นด้วยสายตาของคนทั่วไป แต่จางเซวียนก็รับรู้ได้แม้ความแตกต่างที่เล็กน้อยที่สุดหลังจากใช้หอสมุดเทียบฟ้า
“ใช่ มันควรจะโตขึ้นนิดหน่อย” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “ทุกครั้งที่คุณใช้มลทินสวรรค์ ไอสีเทานั้นจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย”
จางเซวียนชะงักกับความพิลึกพิลั่นนี้ “แต่ทำไมก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้สึกอะไรเลย?”
นักรบที่มีวรยุทธระดับเขาควรจะมีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นในร่างกาย ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็น่าจะรู้
ปรมาจารย์ขงตอบคำถาม “เทคนิคการต่อสู้และของล้ำค่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย ต่อให้คุณใช้มลทินสวรรค์กับพวกมัน การเติบโตของไอสีเทานั้นก็ไม่มากมายอะไร แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อคุณอยู่ในมิติเบื้องบน ขณะที่ศักยภาพของคุณเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบก็จะมากและรุนแรงขึ้นตามไปด้วย ที่จริงมันเกิดผลกระทบมานานแล้ว แต่จะเริ่มส่งผลเมื่อคุณสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และสูงกว่านั้น”
ถ้าจะพูดกันตามหลักเหตุผล ก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างการเข็นเกวียนเปล่ากับเกวียนที่บรรจุข้าวของอยู่เต็ม แน่นอนว่าการเข็นเกวียนที่มีข้าวของเต็มยอมทำให้เหนื่อยเร็วกว่ากันมาก
ข้าวของต่างๆที่อยู่ในมิติเบื้องบนล้วนแต่มีระดับขั้นสูงกว่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ หอสมุดเทียบฟ้าจึงต้องทำงานหนักกว่าเดิม ส่งผลให้ไอสีเทานั้นขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นชัด
“ไอสีเทานี้เป็นอันตรายถึงชีวิตหรือเปล่า?” จางเซวียนตัวสั่นเล็กน้อยขณะตั้งคำถาม
“คงจะดีถ้ามันแค่อันตรายถึงชีวิต” ปรมาจารย์ขงตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ที่น่าสะพรึงกว่านั้นก็คือไอสีเทาจะเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอะไรทำให้มันลดน้อยลงได้ เมื่อเวลาผ่านไป มันจะกลืนกินคุณให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสรวงสวรรค์ ทำให้คุณสูญเสียสติสัมปชัญญะ!”
จางเซวียนตัวแข็ง
ความรู้สึกส่วนลึกบอกเขาว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ขงพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง
ที่ผ่านมา เขาพยายามใช้หลากหลายวิธีเพื่อกำจัดไอสีเทานั้น แต่ไม่ได้ผล มันจึงน่าจะสะสมกันในร่างกายของเขาและหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหอสมุดเทียบฟ้า สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกและสติสัมปชัญญะ
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จะต่างอะไรกับความตาย?
“หรือว่าคุณก็…”
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของจางเซวียน เขาหันขวับมามองปรมาจารย์ขงอีกครั้ง
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็มีเศษเสี้ยวของสวรรค์อยู่ในตัวเช่นกัน ทำให้มีความสามารถในการรับรู้ลิขิตสวรรค์ และเท่าที่เขาได้ฟังจากเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของอีกฝ่ายในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ขงเองก็ถูกไอสีเทานี้รบกวน
“ใช่ ผมเองก็ตกที่นั่งลำบากเหมือนคุณ ผมไม่สามารถกำจัดไอสีเทาออกจากตัวได้ และแทบเสียสติไปเพราะมัน แต่โชคดีที่ผมรู้ตัวก่อนจะสายและแก้ปัญหาได้สำเร็จ” ปรมาจารย์ขงตอบ
“คุณแก้ปัญหาได้?” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ เขารีบประสานมือ “ผมขอวิงวอนให้คุณถ่ายทอดวิธีการแก้ปัญหานี้ให้ผมด้วย ผมจะรู้สึกสำนึกในบุญคุณอย่างมาก”
จางเซวียนชื่นชมความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้า มันช่วยเขาไว้หลายครั้งหลายหนและทำให้เขาพัฒนาตัวเองได้เหนือชั้นกว่าใครๆ แต่ทุกอย่างคงไร้ความหมายหากสุดท้ายเขาต้องสูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องรักษาตัวให้รอดพ้นจากไอสีเทานี้ให้ได้!