ตอนที่ 2126 แม้แต่ม้าก็ทำแบบนั้น?
ซุนฉางรู้ดีว่านั่นคือช่วงเวลาที่แสนน่าจดจำในชีวิต ซึ่งเขาโหยหามันมาก
เขาไม่อยากกักขังตัวเองไว้กับชีวิตที่แสนน่าเบื่อในโลกเล็กๆใบนี้ เขาอยากติดตามนายน้อยไป ซุนฉางรู้ดีว่ามีแต่การติดตามนายน้อยเท่านั้นที่จะทำให้เขามีชีวิตสดชื่นแจ่มใสอย่างที่เคยมีมา!
“เราจะฝ่าปราการแห่งมิติเข้าสู่มิติเบื้องบนโดยตรง สิ่งนี้อันตรายเกินไปสำหรับคุณ และผมก็ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องคุณได้ แต่ถ้าคุณอยากติดตามผมไปจริงๆ ก็สามารถเข้าสู่มิติเบื้องบนได้โดยใช้ทางเดินแห่งมิติ”
“นี่คือยา กินมันเสียก่อนที่คุณจะเข้าสู่ทางเดินแห่งมิติ มันจะช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บและป้องกันไม่ให้คุณสลบ”
จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำซุปไก่ออกมาขวดหนึ่งพร้อมของล้ำค่าสำหรับการคุ้มกันก่อนจะยื่นมันให้ซุนฉาง จากนั้นก็มองหน้าซุนฉางและพูดว่า “เมื่อคุณไปถึงมิติเบื้องบนแล้ว ให้ไปที่สำนักดาบเมฆเหินและระบุชื่อของผม จะมีคนพาคุณไปหาผมเอง”
แรงกดดันของการฝ่าปราการแห่งมิติโดยตรงนั้นมีมหาศาล นักปราชญ์โบราณขั้น 4 ไม่น่าจะเอาชีวิตรอดได้ในการเดินทางแบบนี้
ซุนฉางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
หลังจากสั่งเสียเรื่องที่จำเป็นแล้ว จางเซวียนก็ปลดปล่อยวรยุทธของเขา ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นกลางอากาศ
จากนั้น เขารู้สึกได้ว่าทั้งโลกปฏิเสธการมีอยู่ของเขา พละกำลังบางอย่างพยายามผลักดันเขาให้ออกจากโลกใบนี้
ฟึ่บ!
จางเซวียนปล่อยให้พละกำลังนั้นผลักดันเขาออกไปโดยไม่ขัดขืน เพียงครู่เดียวเขาก็มาอยู่ที่ปราการแห่งมิติของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่อันตรายยังไม่สิ้นสุด
ท่ามกลางมิติที่อยู่ระหว่างโลกสองใบ จางเซวียนเห็นคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติพุ่งเข้าหาตัวเขา พยายามจะฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ
เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อสร้างปราการคุ้มกันรอบตัวและปัดป้องคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติออกไป ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยให้แรงผลักดันจากทวีปแห่งปรมาจารย์ผลักเขาให้เดินหน้า
ไม่ช้าแสงสว่างก็ปรากฏ เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย จางเซวียนถูกบีบให้กระเด็นออกจากความว่างเปล่าและมาอยู่กลางอากาศเหนือเมืองชวนเจียง
“เรากลับมาได้อย่างสบายเลย” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตพร้อมกับหัวเราะหึๆ
เขาหันไปมองหวู่เฉิน อีกฝ่ายดูจะประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้
เท่าที่เห็น แม้การเคลื่อนย้ายจากโลกที่แข็งแกร่งกว่าไปสู่โลกที่อ่อนด้อยกว่าจะทำได้ยากมาก แต่การกลับจากโลกที่อ่อนด้อยมาสู่โลกที่แข็งแกร่งนั้นง่ายกว่ากันหลายเท่า
พวกเขาต้องอาศัยเครื่องรางแห่งการปลอมตัวและศิลปะการปลอมตัวของหลัวลั่วชิงเพื่อปกปิดตัวเองจากสรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ไม่อย่างนั้น หากทำแค่กดข่มระดับวรยุทธ ก็ไม่มีทางตบตาสรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ คงถูกผลักดันออกมาทันทีที่เข้าสู่โลกใบนั้น
“ขอผมสำรวจก่อนนะว่าจ้าวหย่ากับคนอื่นๆอยู่แถวนี้หรือเปล่า…” จางเซวียนพูดขณะขยายจิตใต้สำนึกของเขาให้แผ่ซ่านออกไปทั่วเมืองชวนเจียง
ด้วยวรยุทธที่มีอยู่ ขอแค่เขาต้องการ ก็สามารถรับรู้ได้แม้การกระพริบตาของใครก็ตามที่อยู่ในเมืองชวนเจียงแห่งนี้
“พวกเขาอยู่นั่น!”
ครู่ต่อมา จางเซวียนก็ตาโต
เขายังกังวลอยู่ว่าบรรดาศิษย์สายตรงของเขาอาจออกจากเมืองชวนเจียงไปแล้ว เพราะตอนนี้ก็ผ่านมา 9 วันแล้วนับตั้งแต่พวกนั้นมาถึง จึงดีใจมากเมื่อรู้ว่าทุกคนยังอยู่ที่นี่
จางเซวียนยังรู้ด้วยว่าบ้านพักที่ทั้งกลุ่มอาศัยอยู่กำลังจัดเตรียมอสูรบินได้ที่พร้อมใช้งาน ดูเหมือนพวกมันกำลังจะออกเดินทาง
เขาจึงรุดหน้าไปที่นั่นทันที
…..
“จางหย่วนไว่ เกิดอะไรขึ้นถึงรีบร้อนขอยืมอสูรบินได้ของผมแบบนี้ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยคนหนึ่งเดินเข้ามาและมองจางหย่วนไว่อย่างสงสัย
มีไม่กี่ตระกูลในเมืองชวนเจียงที่มีอำนาจและความมั่งคั่งพอจะครอบครองอสูรบินได้ แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้, อู๋เจียงเฉิง เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากการล่มสลายของตระกูลเฉว่ อสูรบินได้ในตระกูลของเขาก็เป็นอสูรที่รวดเร็วและแข็งแกร่งที่สุดของเมืองชวนเจียง
ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้จางหย่วนไว่มาพบเขาเพื่อขอยืมอสูร
“คุณจำเด็กวัยรุ่นทั้งกลุ่มที่ผมช่วยชีวิตไว้ได้ไหม?” จางหย่วนไว่ถามยิ้มๆ
“ผมจำได้ คุณกำลังจะเสี่ยงโชคแบบตั้นเฉี่ยวเทียนหรือไง?”อู๋เจียงเฉิงหัวเราะร่วน
ความโชคดีของตั้นเฉี่ยวเทียนคงมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก คงไม่อาจคาดหวังว่าจะทำแบบเดียวกับเขาได้ เพราะถึงอย่างไรในโลกนี้ก็คงมีเจ้าสำนักจางเซวียนเพียงคนเดียว
คนอย่างจางหย่วนไว่คงไม่ปัญญาอ่อนถึงขนาดคิดว่าจะพบทองคำเพียงเพราะช่วยคนข้างถนนไว้กลุ่มหนึ่ง ใช่ไหม?
ส้มหล่นแบบนั้นจะเกิดขึ้นง่ายๆได้อย่างไร?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงไม่ต้องทำอะไรอื่นแล้ว เอาเวลาไปช่วยชีวิตคนข้างถนนก็พอ!
“บอกคุณตามตรงนะ ผมคิดว่าเทพธิดาแห่งโชคลาภฉายแสงให้ผมแล้วล่ะ” จางหย่วนไว่ตอบพร้อมเผยรอยยิ้มลึกลับ
เขาสนิทสนมกับอู๋เจียงเฉิง จึงไม่คิดจะปิดบังความจริงจากอีกฝ่าย
“อย่างนั้นหรือ?” อู๋เจียงเฉิงแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ฟังคำพูดของจางหย่วนไว่ “อย่าบอกนะว่าคุณช่วยชีวิตเจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสสักคนไว้…ต่อให้อยากล้อเล่น ก็ควรมีขอบเขตบ้าง! บรรดาเจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสคงไม่ตกที่นั่งลำบากแบบนั้นหรอก”
“ฮ่าฮ่า ไม่ใช่หรอกน่ะ คุณก็คิดมากไป!” จางหย่วนไว่เหลียวซ้ายขวาอย่างระแวงก่อนจะเอนตัวเข้าใกล้อู๋เจียงเฉิง “ผมแค่จะบอกคุณว่าเด็กวัยรุ่นทั้ง 9 คนที่ผมช่วยชีวิตไว้น่ะ แท้ที่จริงแล้วคือศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียน!”
“ศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียน? ฮ่าฮ่าฮ่า! คุณนี่ก็มุกเยอะนะ” อู๋เจียงเฉิงหัวเราะลั่น
“เจ้าสำนักจางเซวียนคือผู้นำของ 4 สำนักใหญ่ เป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนอยากเป็นศิษย์ของเขาจนตัวสั่น แค่เดินไปตามถนน ไม่ช้าคุณก็จะพบคนกลุ่มหนึ่งที่อยากเป็นศิษย์ของเขา และอาจถึงขนาดอวดอ้างด้วยว่าเคยร่ำเรียนอะไรจากเขาสักอย่าง…คุณแน่ใจหรือว่าเชื่อถือคำพูดเหล่านั้นได้? เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมจับม้าตัวหนึ่งได้จากในป่า เจ้านั่นใช้กีบเท้าเขียนบอกผมว่ามันเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักจางเซวียน!”
“แม้แต่ม้าก็ทำแบบนั้น?” จางหย่วนไว่ผงะ
“ก็ใช่น่ะสิ! ผมไม่ได้อยากทำลายความฝันของคุณ แต่คุณไม่ควรคาดหวังอะไรให้มากนัก รับประกันได้เลยว่าวัยรุ่นกลุ่มนั้นน่ะพยายามจะต้มตุ๋นเอาเงิน มีแต่คนโง่อย่างคุณเท่านั้นแหละที่ตกหลุมพรางของพวกเขา…” อู๋เจียงเฉิงคำราม
“ลองคิดดูนะ ในฐานะผู้นำ 4 สำนักใหญ่ ใครกันที่จะกล้าทำร้ายศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนจนได้รับบาดเจ็บ? แล้วต้องบังเอิญขนาดไหนคุณถึงได้ช่วยชีวิตพวกเขา? เห็นชัดๆว่าเป็นการจัดฉาก!”
จางหย่วนไว่พูดไม่ออก สิ่งที่อู๋เจียงเฉิงพูดมีเหตุผลเสียจนเขาไม่รู้จะคัดค้านอย่างไร
เมื่อลองนึกดู เหตุผลเดียวที่เขาเชื่อว่าเด็กกลุ่มนั้นเป็นศิษย์สายตรงของจางเซวียนก็เพราะพวกเขากล่าวอ้าง…คนคนหนึ่งอาจพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น
หรือว่าเขาถูกหลอกจริงๆ?
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปพบพวกเขาด้วยกันเถอะ ผมจะฉีกหน้านักต้มตุ๋นพวกนั้นเอง!” เห็นสหายมีสีหน้าไม่สู้ดี อู๋เจียงเฉิงยืดตัวและแขม่วพุงพลุ้ยของเขา แม้จะไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างอะไรมากมายก็ตาม และพูดกับจางหย่วนไว่อย่างวางมาด
“ผมรบกวนพี่อู๋ด้วยก็แล้วกัน…” จางหย่วนไว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขารีบนำทางไปจนถึงลานบ้านที่จ้าวหย่ากับพรรคพวกพรรคอยู่
“คุณคือผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนหรือ?”
ทันทีที่เข้าสู่ลานบ้านและเห็นเด็กวัยรุ่นที่อ่อนระโหยโรยแรงกลุ่มหนึ่ง อู๋เจียงเฉิงยิ่งเชื่อมั่นในความคิดของเขามากขึ้นอีก เขาคำรามเยาะ
ส่วนจ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็รับรู้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของอู๋เจียงเฉิงได้ทันที ทุกคนหน้านิ่วคิ้วขมวด
พวกเขาคือผู้ที่ทำให้ทวีปแห่งปรมาจารย์สั่นสะเทือนได้เพียงแค่กระทืบเท้า จึงไม่พอใจที่ถูกใครคนหนึ่งแสดงทีท่าหยาบคายใส่ทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
“ทำไมพวกคุณไม่พูดอะไรล่ะ?” อู๋เจียงเฉิงจ้องหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว “คุณรู้ไหมว่าโทษของการอ้างตัวเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนคืออะไร? อย่าว่าแต่จะเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินเลย ถ้าผมรายงานเรื่องของคุณให้เจ้าเมืองรับทราบตอนนี้ พวกคุณทุกคนจะถูกจับขังคุกทันที!”
คำพูดนั้นทำให้หยวนเทาผู้ใจร้อนทะลึ่งพรวด ส่วนคนอื่นๆก็จับจ้องอู๋เจียงเฉิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับพร้อมจะซ้อมอีกฝ่ายให้จมดิน
เกรงว่าจะเกิดการปะทะขึ้นจริงๆ ขงซือเหยาลุกขึ้นยืนและประสานมือ “พวกเราไม่ได้เป็นตัวปลอม จางเซวียนคือท่านอาจารย์ของพวกเราจริงๆ”
“ใครก็พูดแบบนี้ได้ คุณมีหลักฐานพิสูจน์หรือเปล่า?” อู๋เจียงเฉิงคำราม
ขงซือเหยาเงียบกริบ
พวกเขาไม่อาจนำแหวนเก็บสมบัติหรือข้าวของอื่นใดติดตัวเพื่อเข้าสู่ทางเดินแห่งมิติ จึงไม่มีอะไรสักอย่างที่จะพิสูจน์ตัวตนในเวลานี้ หรือต่อให้นำออกมาได้ ชายผู้นี้ก็คงไม่รู้จักมัน
“เงียบทำไมล่ะ? ทำไมไม่แก้ตัว?”
อู๋เจียงเฉิงโบกมืออย่างวางมาด เสียงของเขาดังขึ้นและเฉียบขาดกว่าเดิม “พวกคุณกล้าดีอย่างไรถึงปลอมตัวเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียน? เก่งกาจมาจากไหนถึงกล้าทำอะไรเหลวไหลแบบนี้?”
“พวกเราเป็นศิษย์สายตรงของจางเซวียนจริงๆ” ขงซือเหยาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
“พอได้แล้ว! ผมไม่เหมือนจางหย่วนไว่นะที่จะตกหลุมพรางของพวกคุณง่ายๆ ถ้าพวกคุณเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนจริงๆล่ะก็ ผมก็คงเป็นอาจารย์ของเขาแล้วล่ะ พวกเรา!” อู๋เจียงเฉิงคำราม
เขายกมือขึ้น จากนั้นก็เรียกเหล่าบริวารให้ตรงเข้าจับกุมกลุ่มนักต้มตุ๋นเพื่อนำตัวไปส่งที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ “คุณบอกว่าคุณเป็นอาจารย์ของผม? ทำไมผมไม่เห็นรู้เลยล่ะ?”
“ใครน่ะ?” อู๋เจียงเฉิงชะงักและรีบเงยหน้า เห็นสองร่างลอยตัวอยู่กลางอากาศ หนึ่งในนั้นกำลังจับจ้องลงมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“เจ้าสำนักจางเซวียน…”
อู๋เจียงเฉิงตัวแข็งทื่อ หัวเข่ากระทบกันด้วยความหวาดกลัว เขาแทบลมจับ
ตัวเขาเคยเฝ้าดูการไต่สวนตั้นเฉี่ยวเทียนที่มีขึ้นในคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง และในวันนั้นก็ได้รับเกียรติให้พบเจ้าสำนักจางเซวียนตัวเป็นๆ ผู้ที่ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของเขาในเวลานี้มีหน้าตาเหมือนเจ้าสำนักจางเซวียนเป๊ะ และการที่เขาลอยอยู่กลางอากาศได้ก็แปลว่าอย่างน้อยต้องเป็นนักรบอมตะขั้นสูง…
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องพิสูจน์
“ท่านอาจารย์!”
ตรงกันข้ามกับความตกตะลึงของอู๋เจียงเฉิง เมื่อเห็นร่างที่อยู่กลางอากาศ นัยน์ตาของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆแดงก่ำ ทุกคนรีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น
“อือ…พวกคุณคงลำบากไม่น้อยสินะ”