ตอนที่ 2135 ไร้เทียมทานจริงๆ!
แม้ดูเผินๆ กระบวนท่าของชายกล้ามใหญ่จะซับซ้อน แต่อันที่จริง ทุกการโจมตีของเขาล้วนมีที่มาจาก 12 กระบวนท่าพื้นฐาน
ก็เหมือนกับศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าของจางเซวียนที่มีเพียงกระบวนท่าเดียว แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนที่แยกย่อยออกไปมากมายจนนับไม่ถ้วน เขาก็สามารถสำแดงกระบวนท่าที่แตกต่างกันออกไปเพื่อรับมือกับสถานการณ์หลากหลายรูปแบบได้
หัวใจของเทคนิคการต่อสู้คือเจตจำนง ไม่ใช่รูปแบบ ขอแค่เจตจำนงถูกต้องชัดเจน การโจมตีก็ย่อมได้ผล
จางเซวียนรีบศึกษารายละเอียดของทั้ง 12 กระบวนท่าพื้นฐานที่อยู่ในหัว จากนั้นก็ได้แต่อุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ
ศิลปะการใช้ค้อนนี้เหมือนกันมากกับเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินที่เขาเคยฝึกฝน ทั้ง 12 กระบวนท่าถูกสำแดงออกมาโดยเรียงลำดับแบบเดียวกัน
ประมวล!
จางเซวียนรีบจดจำทุกกระบวนท่าไว้ในหัวและประมวลเข้าด้วยกันให้เป็นศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้า การเรียงลำดับที่ถูกต้องปรากฏขึ้นตรงหน้า และเขาก็รีบขยับค้อนไปตามกระบวนท่านั้น
บึ้มมมม!
หลังจากสำแดงไปได้เพียง 2 กระบวนท่า จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงรังสีอันแตกต่างจากเดิมที่พุ่งขึ้นจากส่วนลึกของร่างกาย เขาเกิดแรงบันดาลใจและได้รับภูมิปัญญาใหม่
“นี่คือ…เจตจำนงเพลงค้อนของเทพเจ้า?” จางเซวียนอ้าปากค้าง
เขาคิดไม่ถึงว่าจะสามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์เพลงค้อนของเทพเจ้าได้จากการศึกษาศิลปะการใช้ค้อนของชายกล้ามใหญ่ แถมมันยังไม่ต่างอะไรกับเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่เขาได้เรียนรู้มาก่อน คือเข้าถึงระดับของเทพเจ้าตัวจริง
หลังจากทำความเข้าใจเจตนาเพลงค้อนของเทพเจ้าได้สำเร็จ กระบวนท่าของชายกล้ามใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ดูอืดอาดยืดยาดขึ้นมาทันที จางเซวียนมองเห็นข้อบกพร่องทุกชนิดในการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย และด้วยการโจมตีจุดอ่อนเหล่านั้น เขาก็เอาชนะชายกล้ามใหญ่ได้ด้วยการตอบโต้เพียงไม่กี่ที
สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาพร่าเลือนไป เมื่อรู้สึกตัว ก็มายืนอยู่ตรงหน้าภาพวาดทั้ง 8 อีกครั้ง จางเซวียนเห็นภาพวาดของชายกล้ามใหญ่ที่เคยเป็นภาพสีสูญเสียความเจิดจ้าไปต่อหน้าต่อตา มันแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา
เขากระพริบตาปริบๆ
เพราะฉะนั้น เหตุผลที่ภาพวาดสูญเสียสีสันของมันไปก็เพราะมีใครบางคนท้าทายพวกมันได้สำเร็จและสามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ของเทพเจ้าที่อยู่ในนั้น?
พูดอีกอย่างก็คือ…
ว่ากันว่าปรมาจารย์ขงฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาได้ทั้งหมดหลังจากที่เข้าสู่หอเทพเจ้า ส่วนผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินได้ตัวอักษรนั้นมาเพียงครึ่งเดียว…หรือนี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาพูดถึง?
ในบรรดาภาพวาดทั้งแปด มีภาพหนึ่งที่กลายเป็นภาพขาวดำเหมือนภาพของชายกล้ามใหญ่เมื่อครู่ และยังมีอีกภาพที่สูญเสียสีสันของมันไปครึ่งหนึ่ง เป็นภาพชายถือดาบ
สิ่งนี้ดูจะตรงกันกับเรื่องราวที่เขาได้รู้มา
“เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมกระบวนท่าของการใช้ค้อนทั้ง 12 กระบวนท่าถึงเหมือนกันกับ 12 กระบวนท่าของเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน” จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ
เป็นไปได้ว่าผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินได้ต่อสู้กับบุคคลที่อยู่ในภาพวาด จึงฉกฉวยตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ามาได้ครึ่งหนึ่ง แม้เขาจะศึกษาทั้ง 12 กระบวนท่าจนครบถ้วน แต่ก็ไม่สามารถเรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง
เรื่องนี้ส่งผลให้ สำนักดาบเมฆเหินมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยไม่ต้องท้าทายสะพานเบื้องบน เพียงแต่จำนวนของนักรบระดับนั้นก็มีน้อยมาก เทียบไม่ได้เลยกับหอนิรันดร์
“ในเมื่อเราเข้าใจศิลปะการใช้ค้อนทั้ง 12 กระบวนท่าแล้ว ก็หมายความว่าเราได้ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาทั้งคำ เหมือนที่ปรมาจารย์ขงเคยทำได้ในครั้งนั้น ใช่ไหม?”
นั่นหมายความว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในเวลานี้คือที่ที่ปรมาจารย์ขงและผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินเคยบุกเข้ามา!
ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาถึงไม่มีนักรบสักคนในมิติเบื้องบนประสบความสำเร็จ เว้นแต่ทั้งคู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะบรรดาผู้คนในภาพวาด
หลังจากทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์และยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปฐพีได้สำเร็จแล้ว นอกจากปรมาจารย์ขง จางเซวียนก็ถือเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของทวีปที่ถูกลืม
แม้จะมีพละกำลังระดับนี้ เขาก็ยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนไม่น้อยในการต่อสู้กับชายกล้ามใหญ่กว่าจะคว้าชัยชนะได้สำเร็จ
จากเรื่องนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าการจะคว้าตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาให้ได้นั้นยากเย็นแค่ไหน!
“คุณได้ตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าแล้ว มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เดินหน้าต่อไป”
ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดหนัก บันไดหินอันหนึ่งก็ทอดตัวลงมาจากด้านบนอีกครั้ง เผยให้เห็นเส้นทางที่ทอดยาวขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากำลังจะเหยียบบันไดขั้นแรก ก็พอดีกับที่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ในเมื่อยังพอมีเวลา ทำไมเราไม่คว้าเทคนิคการต่อสู้ชนิดอื่นๆที่อยู่ในภาพวาดที่เหลือไปด้วย?
แม้เขาจะเสียเวลาระยะหนึ่งในการทำความเข้าใจศิลปะการใช้ค้อนและเล่นงานชายกล้ามใหญ่ แต่อันที่จริงก็ผ่านไปอย่างมากเพียง 10 นาทีเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากความเร็วของน้ำที่หยดลงมา ก็ดูเหมือนจะใช้เวลาไปเพียง 1 ใน 4!
ในเมื่อยังมีเวลาเหลือมากมาย เขาก็น่าจะฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ให้ได้มากขึ้นอีกหน่อย
เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่ใช่ผู้นำของสำนักเดียว แต่เป็นผู้นำของ 4 สำนักใหญ่ ไม่อาจทำตัวลำเอียงด้วยการถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้ให้เพียงสำนักใดสำนักหนึ่งได้
เมื่อคิดได้ จางเซวียนยื่นมือออกไปสัมผัสภาพวาดของสุภาพสตรีคนหนึ่งที่กำลังถือดาบ
ก็เหมือนคราวก่อน สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาบิดเบี้ยวขณะถูกดึงเข้าสู่ภาพวาด ครู่ต่อมาสุภาพสตรีที่อยู่ในภาพวาดก็รี่เข้าใส่เขาพร้อมดาบในมือ
จางเซวียนปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าออกมาเป็นการตอบโต้ จากนั้นก็ชักดาบออกมาเพื่อต่อสู้กับเธอ
ผ่านไปเพียง 3 อึดใจ อีกฝ่ายก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นสีขาวและแปรสภาพเป็นหมึกหย่อมหนึ่ง
“แบบนี้เราก็ประกอบตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าของสำนักดาบเมฆเหินเข้าด้วยกันได้สำเร็จแล้วสิ” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับหัวเราะหึๆ
ศิษย์สายตรงไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นของสำนักดาบเมฆเหินฝึกฝนอย่างหนักจนสายตัวแทบขาดเพื่อหวังว่าจะนำตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมาเติมครึ่งแรกที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนช่วยเติมเต็มความปรารถนาอันยาวนานของพวกเขาได้แล้ว
หลังจากภาพวาดเปลี่ยนเป็นสีเทา จางเซวียนก็ย้ายไปอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพของชายชราที่กำลังสำแดงเทคนิคการต่อสู้ เขาตรงเข้าไปแตะภาพนั้นโดยไม่ลังเล
5 นาทีต่อมา จางเซวียนก็กลับมาปรากฏตัวในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ภาพวาดชายชราเปลี่ยนสภาพเป็นสีเทา
จากประสบการณ์ครั้งก่อนๆ เขารู้ว่าต้องทำอะไรบ้างทันทีที่ได้เข้าสู่ภาพวาด จึงใช้เวลาน้อยกว่าเดิมมาก
จางเซวียนทำแบบเดียวกันกับภาพวาดอีก 4 ภาพที่เหลือ เขาใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีในการจัดการภาพวาดเหล่านั้น เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ก็ก้าวขึ้นสู่บันไดหินและมุ่งหน้าไปยังชั้น 3
บริเวณชั้น 3 ก็เป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่เช่นกัน
มีแสงสว่างสาดส่องอยู่โดยรอบ แต่ไม่มีภาพวาดหรือค่ายกลให้เห็น หากจะมีสักคำที่ใช้บรรยายสถานที่แห่งนี้ ก็คือ ‘ว่างเปล่า’
จางเซวียนชะงักฝีเท้า เขาสำรวจรอบตัวและตะโกนก้อง “ปรมาจารย์ขง คุณจะปรากฏตัวได้หรือยัง?”
ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจจัดเตรียมทุกอย่างไว้และล่อเขามาที่นี่ ก็น่าจะถึงเวลาที่ควรปรากฏตัวได้แล้ว
เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดไว้ ทันทีที่เขาพูดจบ ร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ขง!
จางเซวียนหรี่ตาเพื่อจับจ้องปรมาจารย์ขง เขาชักดาบถงซังออกมากำไว้แน่น
นี่คือชายที่พยายามคร่าชีวิตเขามาแล้วหลายครั้งเพื่อให้ได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า ในเมื่อหมอนี่ปรากฏตัวตรงหน้าเขา เขาก็ต้องเอาคืนให้สาสม!
แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกๆ “เกิดอะไรขึ้น? คุณไม่กล้าเผชิญหน้ากับผมด้วยร่างกายปกติของคุณหรือไง?”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงของเขา ไม่ใช่ร่างที่สมบูรณ์
หรือว่าปรมาจารย์ขงรู้แล้วว่าเขาสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และเกรงว่าจะรับมือกับเขาไม่ไหว?
ปรมาจารย์ขงไม่ใส่ใจคำยั่วยุของจางเซวียน เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และเอ่ยอย่างสุขุม “น่าทึ่งเหลือเกินที่คุณเอาชนะภาพวาดทั้ง 7 ได้ด้วยฝีมือตัวเอง แต่นั่นแหละ คุณก็ต้องต่อสู้กับผมเพื่อให้ได้รังสีสวรรค์มาเสียก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ได้เป็นเทพเจ้าตัวจริง”
“คุณอยากจะสู้ไหม?”
เห็นปรมาจารย์ขงไม่หลบหนี จางเซวียนชูดาบถงซังขึ้นและฟาดฟันอย่างดุเดือด รู้ดีว่าคู่ต่อสู้คนนี้ทรงพลังมาก จึงใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม
“ผมไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ” ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆ
เขากดข่มวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ลงมาเป็นขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปฐพี ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับจางเซวียน
จากนั้นปรมาจารย์ขงก็กระดิกนิ้วและชักดาบออกมา ยากจะบอกได้ว่ามันอยู่ในระดับขั้นไหน ดาบนั้นแผ่รังสีสง่างามและเย็นเยือก เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน
ฟึ่บ!
เจตจำนงเพลงดาบของเขาระเบิดออกมาราวกับมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยว
“ไร้เทียมทานจริงๆ!”
เพียงแค่ 2-3 กระบวนท่านี้ก็เกินพอที่จะบอกจางเซวียนแล้วว่าปรมาจารย์ขงคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง แม้สิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าจะเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงของอีกฝ่าย แต่ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเขาเลย กลับตรงกันข้าม ดูจะเหนือชั้นกว่าด้วยซ้ำ
แม้จะลดระดับวรยุทธลงมาให้เป็นขั้นเดียวกัน จางเซวียนก็ไม่อาจถือไพ่เหนือกว่าได้!
“คุณทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?” จางเซวียนพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ
ก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์ขงยังทำได้เพียงแค่ต่อสู้กับตัวโคลนของเขาอย่างสมน้ำสมเนื้อ
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตัวโคลนแล้ว ทั้งยังสามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ของเทพเจ้าได้อีกมากมาย หากเป็นสถานการณ์ปกติ จางเซวียนน่าจะเอาชนะเจตจำนงของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ไม่นึกเลยว่าจะต้องเจอกับการต่อสู้ที่ลำบากลำบนแบบนี้
“เขาใช้ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าชนิดหนึ่งเช่นกัน”
ศิลปะเพลงดาบของปรมาจารย์ขงก็เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับโลกที่อยู่รอบตัวเขา ถึงจะเรียบง่าย แต่พละกำลังที่ถูกสำแดงออกมานั้นไม่อาจมองข้ามได้เลย
แม้พวกเขาจะใช้ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าเหมือนกัน แต่ธรรมชาติของศิลปะเพลงดาบของทั้งคู่แตกต่างกันมาก ศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนมุ่งเน้นการเล่นงานจุดอ่อนและข้อบกพร่องของอีกฝ่าย ขณะที่ศิลปะเพลงดาบของปรมาจารย์ขงสามารถสำแดงอิทธิพลดึงดูดเพลงดาบของคู่ต่อสู้ ทำให้อีกฝ่ายต้องทำตามคำสั่งของเขา