ตอนที่ 2137 ขอดูหน่อยเถอะ
จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขากระโจนขึ้นสู่กลางอากาศ พุ่งเข้าใส่รังสีสีทอง
แต่ยังไม่ทันจะถึงที่หมาย กระแสดาบฉีก็ระเบิดและพาดผ่านเส้นทางของเขา มันตัดมิติให้แยกออกจากกัน เกิดรอยแยกแห่งมิติระหว่างจางเซวียนกับรังสีสีทองนั้น
ด้วยความประหลาดใจ จางเซวียนรีบหยุดการเคลื่อนไหว
“คุณได้รับความขอบคุณอย่างสูงสุดจากผม ผมรู้ว่าคุณทำได้ และคุณก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง…”
ฟึ่บ!
จากนั้น กระจกเงาบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มือหนึ่งยื่นออกมาจากผิวหน้าของกระจกเงาและใช้นิ้วคีบรังสีสีทองไว้
จากนั้น รังสีสีทองทั้งหมดก็ถูกซึมซับเข้าสู่ขวดหยกและหายวับไป
แล้วร่างนั้นก็หันกลับมา…ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ขง!
จางเซวียนกำหมัดแน่นด้วยความโมโห
“คุณไม่ใช่ปรมาจารย์ขง คุณเป็นใคร?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับหรี่ตา
เขาเคยคิดว่ามันออกจะประหลาดที่อีกฝ่ายไม่เคยปรากฏตัวแม้จะมีโอกาสเหมาะๆมากมายให้เล่นงานเขา กลับกลายเป็นว่าปรมาจารย์ขงซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่ามาตลอด รอคอยช่วงเวลาที่เขาจะได้รังสีสวรรค์ เพื่อจะได้ฉกฉวยมันไปจากเขา!
แต่…ก่อนที่จางเซวียนจะเข้าสู่พื้นที่นี้ เขาตรวจสอบทั่วทั้งบริเวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่พบว่ามีมิติลี้ลับหรืออะไรทำนองนั้น แล้วอีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นจากไหน เดินทางทะลุมิติมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?
ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเจตจำนงที่เขาได้พบในพระราชวังเป็นตัวจริง ก็แปลว่าผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาน่าจะเป็นตัวปลอม
นั่นอธิบายได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่รู้รายละเอียดของประตูทะลุมิติในเมืองชวนเจียง อีกทั้งเจตจำนงที่เขาพบในพระราชวังก็ดูจะไม่แน่ใจเรื่องการมีอยู่ของมลทินสวรรค์
“ผมจะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่ปรมาจารย์ขง?” สีหน้าของชายที่อยู่กลางอากาศบูดเบี้ยวด้วยแรงโทสะ “ผมเป็นเขา เป็นเขามาตลอด!”
ฟึ่บ!
ปรมาจารย์ขงปล่อยพลังออกจากฝ่ามือด้วยความโกรธเกรี้ยว
กระแสบรรยากาศเกิดความปั่นป่วนพลุ่งพล่าน พลังจากฝ่ามือทำให้รอยแยกแห่งมิติเกิดขึ้นทั่วไป จางเซวียนไม่กล้าเข้าใกล้กว่านั้น
เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก! จางเซวียนหรี่ตา
การที่อีกฝ่ายทำลายมิติได้อย่างง่ายดายบ่งบอกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าสมัยที่ปะทะกับตัวโคลนมาก แต่ไม่มีร่องรอยของลิขิตสวรรค์อยู่ในพลังฝ่ามือนั้น และเทคนิคการต่อสู้ที่เขาใช้ก็ไม่มีองค์ประกอบที่เป็นแก่นสารของโลก นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้เทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงการโจมตีของเขาจะทรงพลัง แต่ก็ไม่มากพอที่จะมีอิทธิพลต่อทุกกฎเกณฑ์ที่อยู่รอบตัวเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหมอนี่เป็นตัวปลอม…
ปรมาจารย์ขงครอบครองเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์เช่นกัน จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องใช้เทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้า
ก่อนหน้านี้จางเซวียนเคยสงสัย แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะไม่เคยเห็นผู้คนรอบตัวคนไหนใช้เทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้ามาก่อนนอกจากตัวเขา ดังนั้นจึงเข้าใจผิดว่าการโจมตีของอีกฝ่ายเข้าถึงระดับของเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้า
แต่เมื่อได้เห็นความเก่งกาจที่เจตจำนงของปรมาจารย์ขงสำแดงออกมา ก็ชัดเจนว่าการโจมตีของชายที่อยู่ตรงหน้าเขายังคงอ่อนด้อย
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว…
แม้เขาจะไม่อยากยอมรับ แต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นตัวปลอมแน่นอน!
“คืนรังสีสวรรค์ให้ผม!”
รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ควรครุ่นคิดสงสัย จางเซวียนชักดาบถงซังออกมา จากนั้นก็เรียกตัวโคลนให้ออกมาสมทบ ด้วยการกวัดแกว่งดาบเป็นชุดอย่างรวดเร็ว จางเซวียนสร้างตาข่ายดาบฉีร้อยรัดปรมาจารย์ขงตัวปลอมไว้
หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม!
จางเซวียนสำแดงศิลปะเพลงดาบที่เพิ่งทำความเข้าใจได้หมาดๆโดยปราศจากความลังเล
เขารู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เคี้ยวยาก ถึงขนาดที่เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่เขาทำความเข้าใจได้สำเร็จก็ไม่มีประโยชน์มากนัก จึงเลือกใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขารู้จักตั้งแต่เริ่มการต่อสู้
“เป็นศิลปะเพลงดาบที่น่าทึ่ง…แต่วันนี้ผมจะไม่สู้กับคุณหรอก ทันทีที่ผมได้เป็นเทพเจ้า หอสมุดของคุณก็จะตกเป็นของผม จะไม่มีใครในโลกนี้ยับยั้งผมได้!” ปรมาจารย์ขงหัวเราะลั่นขณะกระโจนกลับเข้าไปในกระจกเงาและหายวับไป
“เวรละ!” จางเซวียนหน้าตึง
ไม่แปลกใจแล้วที่หมอนี่ไม่ยอมทำอะไรนับตั้งแต่หายตัวไปครั้งนั้น จางเซวียนคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังหาวิธีฟื้นฟูพละกำลังให้แข็งแกร่งดังเดิม ใครจะไปรู้ว่าเป้าหมายของหมอนี่คือยื้อเวลาเพื่อจะได้ฉกฉวยรังสีสวรรค์ของเขา!
อันที่จริง อีกฝ่ายคงรู้แล้วว่าไม่อาจนำหอสมุดเทียบฟ้าไปจากเขาได้ จึงจงใจจัดฉากให้เกิดเรื่องแบบนี้
ว่าแต่…ทำไมปรมาจารย์ขงถึงไม่เข้าท้าทายบททดสอบของพระราชวังด้วยตัวเอง? เป็นเพราะเขาไม่อาจเข้าท้าทายได้ หรือท้าทายแล้วแต่ไม่สำเร็จ?
ในเมื่อเจตจำนงที่ถูกทิ้งไว้บนชั้น 3 ของพระราชวังเป็นของปรมาจารย์ขงตัวจริง ก็เป็นไปได้ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะใช้วิธีการบางอย่างป้องกันไม่ให้ปรมาจารย์ขงตัวปลอมเข้ามา เหมือนกับการที่ตัวโคลนของเขาไม่อาจเข้าไปในพระราชวังได้
เดี๋ยวก่อน หรือว่า…
จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาหันไปจับจ้องตัวโคลนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ
ตัวโคลนของเขาดูจะไม่ได้รู้สึกอับอายที่ถูกพระราชวังปฏิเสธ ถ้าจะมีความรู้สึกใดๆอยู่บ้าง ก็คงเป็นแค่ความผิดหวังที่ไม่ได้โชว์เหนือ
จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับมา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมัวคิดเรื่องที่เกิดขึ้น เราจะปล่อยให้หมอนั่นหนีไปไม่ได้ ถ้าเขาได้ซึมซับรังสีสวรรค์และเข้าถึงระดับของเทพเจ้าเมื่อไหร่ เราคงไม่มีโอกาสเล่นงานเขาได้อีก
จางเซวียนอดกังวลไม่ได้กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ตั้งแต่แรก ปรมาจารย์ขงตัวปลอมก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเขาอยู่แล้ว ถ้าหมอนั่นฝ่าด่านวรยุทธได้จริงๆ เขาคงสู้ไม่ไหวแน่ ต่อให้สามารถรวบรวมนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาเป็นสมัครพรรคพวกได้มากแค่ไหนก็ตาม
เหตุผลเดียวที่ปรมาจารย์ขงตัวปลอมเก็บตัวเงียบก็เพราะยังหาตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไม่พบ แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างออกไปแล้ว เพราะเขาได้รับรังสีสวรรค์
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จางเซวียนต้องยับยั้งอีกฝ่ายให้ได้!
เพียงแต่…ตอนนี้หมอนั่นหนีไปไกลลิบ
ต่อให้มีอะไรที่เขาจะทำได้ ก็ต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน!
แท่นบูชาถูกทำลายไปแล้ว เขาไม่มีทางกลับสู่ทวีปที่ถูกลืมได้อีก ถ้าเมื่อครู่นี้ได้รังสีสวรรค์มา ก็จะ เข้าถึงระดับขั้นของเทพเจ้าได้สำเร็จ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แค่ฝ่ามิติกลับไป
แต่ตอนนี้เส้นทางของเขาถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
เหตุผลเดียวที่ทำให้ปรมาจารย์ขงเดินทางทะลุมิติได้ก็เพราะกระจกดำล้ำเลิศกับรองเท้าเลือนหาย จางเซวียนหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
แม้รองเท้าเลือนหายจะไม่ใช่ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ก็มีความสามารถพิเศษในการเดินทางทะลุมิติ เมื่อใช้ร่วมกับกระจกดำล้ำเลิศ ปรมาจารย์ขงก็สามารถเดินทางได้รวดเร็วชนิดที่จางเซวียนไม่อาจทำอะไรได้เลย!
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนัก มันหมายความว่าถ้าปรมาจารย์ขงคิดจะทำร้ายบรรดาศิษย์สายตรงของเขา เขาก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้
จางเซวียนร้อนใจไม่น้อย แต่ก็ยังคงขบคิดโดยใช้เหตุผล เขารีบทบทวนทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาเพื่อหาวิธีแก้ไขสถานการณ์
“ปรมาจารย์ขงฉกฉวยคำตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ไปจากที่นี่ และผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินก็นำตัวอักษรไปอีกครึ่งหนึ่ง การที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยที่นี่ก็หมายความว่าพระราชวังแห่งนี้น่าจะเป็นหอเทพเจ้าของจริง แปลว่าสถานที่ที่เราเคยเข้าไปในครั้งนั้นเป็นหอเทพเจ้าของปลอม!”
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเคยคิดว่าจุดที่เขาถูกนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 10 คนโจมตีคือหอเทพเจ้าของจริง แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิด
เป็นไปได้ว่าที่นั่นคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงตัวปลอมจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้เล่นงานให้เขาจนมุม ซึ่งแท้ที่จริง มันอาจเป็นสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์ก็ได้!
เมื่อลองนึกดู ก็ออกจะประหลาดที่ไม่มีใครอยู่ในสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์สักคนตอนที่เขาไปถึง แถมทั่วทั้งบริเวณก็มีค่ายกลระเบิดถูกติดตั้งไว้มากมาย…
คนสติดีที่ไหนจะฝังระเบิดไว้รอบๆสำนักงานใหญ่ของตัวเอง ราวกับคาดเดาไว้แล้วว่าจะถูกศัตรูบุก มันดูไม่สมเหตุสมผลเลย!
เป็นไปได้ว่าตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา สะพานเบื้องบนน่าจะเชื่อมโยงกับพระราชวังที่เขาเข้าไปเมื่อครู่นี้ ซึ่งก็คือหอเทพเจ้าของจริง ไม่อย่างนั้น ปรมาจารย์ขงตัวจริงกับผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินจะเข้าไปฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากที่นั่นได้อย่างไร?
แล้วพวกเขากลับสู่มิติเบื้องบนและก่อตั้งสำนักของตัวเองขึ้นเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ของทวีปที่ถูกลืมด้วยวิธีไหน?
ถ้าที่นี่คือหอเทพเจ้าของจริง ก็น่าจะเชื่อมโยงกับสะพานเบื้องบนด้วย
จางเซวียนตั้งต้นสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนโดยใช้ดวงตาหยั่งรู้
พื้นที่ที่แท่นบูชาถูกทำลายไปว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น บริเวณโดยรอบมืดมิด ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตให้เห็นแม้แต่ชนิดเดียว
ไม่มีร่องรอยของสะพานเบื้องบนด้วย
หรือเขาเข้าใจผิด?
จางเซวียนเดินวนรอบวัง แต่ไม่มีเส้นทางหรือทางเดินใดๆให้เห็น ราวกับวังนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ขณะที่เขากำลังจนปัญญา สายตาก็พลันจับจ้องที่เสาหิน 2 ต้นที่ดูเหมือนจะตรึงพระราชวังให้อยู่กับที่
เขาเห็นเสาคู่นี้ตั้งแต่แรกที่มา
พวกมันดูเหมือนจะพุ่งทะลุความว่างเปล่าขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเขาก็ไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่ามันทำจากวัตถุชนิดไหน ทั้งหมดที่พอจะสันนิษฐานได้ก็คืออย่างน้อยพวกมันจะต้องเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ อยู่ในระดับที่จางเซวียนไม่อาจใช้พละกำลังของเขาทำลายมัน
หรือว่านี่คือสะพานเบื้องบนของจริง?
จางเซวียนตรวจสอบบริเวณโดยรอบอีกหลายครั้ง แต่ไม่มีอะไรที่ดูจะใกล้เคียงกับการเป็นสะพานเบื้องบนเลย บางทีเสาหิน 2 ต้นนี้อาจเป็นกุญแจ!
ขอดูหน่อยเถอะ
จางเซวียนรีบเก็บตัวโคลนเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะกระโจนเข้าไปในพระราชวัง เขาคว้าเสาต้นหนึ่งไว้แน่นและเริ่มปีนป่ายขึ้นไป
จางเซวียนไม่รู้ว่าเสาหินมีความสูงแค่ไหน แต่ก็ปีนขึ้นไปเรื่อยๆจนพระราชวังที่อยู่ด้านหลังกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ
เขาใช้เวลาปีนขึ้นไปราว 4 ชั่วโมง ก่อนในที่สุดจะพบกับชั้นบรรยากาศ ลำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายสุดของความว่างเปล่าอันมืดมิด
จากนั้น จางเซวียนพลันรู้สึกว่ารอบตัวเขากลายเป็นสิ่งที่ดูไม่คุ้นเคย เขาเพิ่งปีนขึ้นมาได้ครู่เดียว แต่จู่ๆก็ต้องกอดเสาหินไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้ตัวเองร่วงลงไป