อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2155 ทุกอย่างจบแล้วก็ดี
ที่ดวงตาของกลุ่มพลังงานวน เขาเห็นทางเดินสีดำสนิทซึ่งนำไปสู่อาณาเขตที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จางเซวียนรู้สึกว่ามีโลกแสนน่าอยู่อีกใบที่อีกฟากของทางเดินนั้น เขารู้สึกถึงความปรารถนาที่จะเข้าไปสำรวจ “หรือนี่คือทางเข้าสู่สรวงสวรรค์?”
จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงทางเดินแห่งมิติจากอาณาจักรคุนฉื่อที่นำไปสู่มิติเบื้องบน จากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์สู่ค่ายกลและศพของนักปราชญ์โบราณ มีร่องรอยของปรมาจารย์ขงอยู่ที่นั่น
เช่นเดียวกับทางเดินที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้
หอเทพเจ้าที่อยู่ด้านบนมีเจตจำนงของปรมาจารย์ขงอารักขาอยู่ และรังสีสวรรค์กลุ่มแรกที่เขาได้รับก็มาจากปรมาจารย์ขง
หลังจากที่เจตจำนงของปรมาจารย์ขงเข้าอารักขาหอเทพเจ้า เขาก็กลายเป็นผู้ควบคุมทุกกฎเกณฑ์ที่หอเทพเจ้ากำหนด ขอแค่ใครสักคนเอาชนะเจตจำนงของเขาได้ ก็จะได้รับรังสีสวรรค์เช่นกัน
เงื่อนไขเพียงข้อเดียวก็คือ…เจตจำนงของปรมาจารย์ขงนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่มีทางที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจะเทียบชั้นได้ ไม่อย่างนั้น เขาคงพาทุกคนเข้าไปเก็บเกี่ยวซึมซับรังสีแล้ว
“เราควรกลับไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับมาสำรวจที่นี่อีกครั้ง…”
จางเซวียนหันหลังกลับและบินออกจากกลุ่มพลังงานวน
จ้าวหย่า หานเจี้ยนชิวและคนอื่นๆคงวิตกกังวลอย่างหนักที่เห็นปรมาจารย์ขงไล่ตามเขาไปติดๆ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ควรกลับไปดูเสียหน่อย
จางเซวียนบินข้ามเส้นเขตแดนอีกครั้ง ไม่ช้าก็กลับถึงหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่
ด้วยการใช้ความคิดแวบเดียว เขาลดรังสีลงเป็นระดับของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์
เท่าที่เขารู้ มีการทดสอบวรยุทธสำหรับผู้ที่เข้าถึงระดับของเทพเจ้า หากเขาปกปิดวรยุทธสักหน่อย ก็น่าจะยับยั้งมันได้ระยะหนึ่ง
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนก็ฉีกกระชากมิติที่อยู่ตรงหน้าและก้าวเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ
เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มาอยู่เหนือโขดหินสมอสวรรค์
จางเซวียนรีบกำหนดพิกัดก่อนจะฉีกกระชากมิติครั้ง คราวนี้เขามาอยู่เหนือตำหนักคว้าดาว
เมื่อเห็นว่าการทดสอบวรยุทธยังไม่มา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะสำรวจบริเวณโดยรอบ
สงครามกับหอนิรันดร์ สำนักป้อมปราการกระจกดำ และสำนักอมตะเลือนหายจบสิ้นแล้ว เหลือไว้แต่ศพมากมายก่ายกองระเกะระกะ
“ท่านอาจารย์ คุณกลับมาแล้ว!”
เมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีของจางเซวียน จ้าวหย่ากับพรรคพวกรี่เข้ามาอย่างตื่นเต้น
แม้ทุกคนจะอยู่ในสภาพดูไม่ได้ แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัส จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ตั้งคำถาม “การสู้รบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พวกเราจับตัวเจ้าสำนักไป่กับเจ้าสำนักกู้แห่งสำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายไว้ ส่วนคนอื่นๆก็ยอมแพ้ เมื่อเจ้าสำนักถูกโค่น สองสำนักนั้นก็ไม่มีความหมาย ส่วนหอนิรันดร์ พวกเราก็จับตัวทุกคนไว้เช่นกัน!” จ้าวหย่าอธิบาย
เมื่อหัวหน้าขงออกจากสนามรบไปเพื่อไล่ล่าจางเซวียน การร่วมมือกันระหว่าง 3 กลุ่มอำนาจก็ระส่ำระสาย
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว และทุกคนล้วนมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่กับตัว ถึงคู่ต่อสู้จะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในสังกัดมากมาย แต่ก็ไม่อาจรับมือได้ ยิ่งไปกว่านั้น นักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตก็เข้าตะลุมบอนด้วย เกิดเป็นสงครามที่มีผู้โจมตีแค่ฝ่ายเดียว
ถือเป็นการกวาดล้างศัตรูอย่างราบคาบ ผู้รอดชีวิตทุกคนล้วนแต่ยอมแพ้
“ทุกอย่างจบแล้วก็ดี” จางเซวียนพยักหน้า
เมื่อจ้าวหย่ากับพรรคพวกออกโรง การเล่นงานคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากผู้นำพ่ายแพ้ ที่เหลือก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
การสู้รบช่วงแรกมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย แต่ก็ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วเมื่อจ้าวหย่ากับคนอื่นๆเข้าตะลุมบอน ดังนั้น ความเสียหายของทั้ง 4 สำนักและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำจึงไม่มากมายอะไร
“พวกคุณเก็บเถ้าถ่านของไก่น้อยไว้หรือเปล่า? ตอนนี้อยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม
ไก่น้อยต้องตายเพราะเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะมันสังเวยชีวิตเพื่อขัดขวางปรมาจารย์ขง ก็คงไม่มีทางที่เขาจะชำระรังสีสวรรค์ให้บริสุทธิ์ได้ทันเวลาและฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ
“พวกเราเก็บไว้ แต่…”
รู้ดีว่าท่านอาจารย์มีความรู้สึกอย่างไรกับอสูรของเขา จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจึงรีบรวบรวมเถ้าถ่านของไก่น้อยไว้ทันทีที่การต่อสู้สิ้นสุดลง
“แต่อะไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“ถึงเราจะรวบรวมเถ้าถ่านแล้ว มันก็ยังลุกไหม้อยู่” จ้าวหย่าตอบด้วยรอยยิ้มแหยๆขณะชี้นิ้วไปที่กองเถ้าถ่าน
จางเซวียนหันขวับไปมองและเห็นเปลวเพลิงสีทองลุกโพลงอย่างดุเดือด มันคือจุดเดียวกันกับที่ไก่น้อยถูกฆ่าและเผาจนเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมือตัวโคลนของปรมาจารย์ขง
ด้วยความงุนงง จางเซวียนรีบเข้าไปพิจารณาเปลวเพลิงสีทองใกล้ๆ รอยย่นปรากฏบนหน้าผากของเขา
เปลวเพลิงสีทองที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนไม่ได้มีพลังมากมายอะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงชีวิตที่ถูกบ่มเพาะอยู่ภายในนั้น
“แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ไก่น้อย…ยังมีชีวิตอยู่หรือ?” จางเซวียนถึงกับจังงัง
ไก่น้อยสีเหลืองถูกดาบเฉือนเป็นชิ้นๆและเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ต่อให้เทพเจ้าตัวจริงก็ต้องตายหากยับเยินขนาดนั้น! แต่ทำไมเขารู้สึกได้ถึงการปรากฏของชีวิตภายในเปลวเพลิงสีทอง?
ฟึ่บ!
ขณะที่จางเซวียนยังคงหรี่ตาเพื่อจับจ้องเปลวเพลิงสีทอง แท่นบูชาอันหนึ่งก็ปรากฏ
มันคือแท่นบูชาที่ตัวเขากับหวู่เฉินนำมาจากทวีปแห่งปรมาจารย์
ซรืดดดดด!
รังสีสีดำแผ่ซ่านออกจากแท่นบูชา พุ่งตรงเข้าหาเปลวเพลิงสีทอง
เปลวเพลิงสีทองลุกโชนราวกับจะตอบรับรังสีสีดำ จากเดิมที่มีขนาดเท่าลูกฟุตบอล มันยืดสูงขึ้นจนพอๆกับความสูงของมนุษย์คนหนึ่ง พร้อมกับเพิ่มความกว้างจนกลายเป็นลูกไฟที่มีรัศมีราว 10 เมตร
แต่ถึงอย่างนั้น รังสีสีดำที่แผ่ซ่านออกจากแท่นบูชาเข้าสู่เปลวเพลิงสีทองก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะหยุด
“นายน้อย ดูเหมือนแท่นบูชาจะสร้างการเชื่อมโยงกับแท่นบูชาอีกอันหนึ่ง เกิดเป็นประตู…”
หวู่เฉินกับตู้ชิงหย่วนรีบเข้ามาพิจารณาปรากฏการณ์นั้นใกล้ๆ
“ประตู?” จางเซวียนทวนคำพร้อมกับหรี่ตา
“ก็เหมือนประตูที่เราเคยใช้เพื่อทะลุมิติไปสู่หอเทพเจ้านั่นแหละ” หวู่เฉินพยักหน้า
ในครั้งนั้น จางเซวียนตั้งใจเดินทางเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อนำแท่นบูชามาใช้ประกอบพิธีกรรมและสร้างการเชื่อมโยงระหว่างแท่นบูชา 2 อัน เขาดูออกว่าเหตุการณ์แบบเดิมกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่…
“ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงทำลายแท่น…” จางเซวียนพูดไปได้เพียงครึ่งประโยคก็ตาลุกโพลงด้วยความงุนงง “เดี๋ยวก่อน หรือว่า…มันมาจากแท่นบูชาในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย?”
ในครั้งนั้น เขาได้รับข้อมูลว่าในทวีปที่ถูกลืมมีแท่นบูชาเพียงอันเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งใจเดินทางกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อนำแท่นบูชาอีกอันหนึ่งมา
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้พบแท่นบูชาที่มีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ตอนนั้นตู้ชิงหย่วนก็อยู่ด้วย เธอระบุว่าแท่นบูชาอันนี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับแท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวและเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้นมา จางเซวียนเดินเข้าไปตรวจสอบรังสีสีดำ
“มันคือบรรยากาศการเสื่อมถอย…”
อันที่จริง มันเป็นมากกว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอย เพราะถูกขัดเกลาและบีบอัดจนอยู่ในรูปแบบเดียวกันกับรังสีสวรรค์ปนเปื้อนที่จางเซวียนได้รับจากโครงกระดูกสีดำ
“หรือว่า…”
จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบฉีกกระชากมิติ ตั้งใจจะเดินทางทะลุมิติไปยังเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายเพื่อตรวจสอบข้อสันนิษฐานของเขา แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอย่างนั้น เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะระเบิดตูม เผยให้เห็นไก่น้อยสีเหลืองหน้าตาน่ารักตัวหนึ่ง
ไก่น้อยยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะเดินเตาะแตะออกมาจากเปลวเพลิง
“ไก่น้อย!” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น จากนั้นความยินดีปรีดาและความโล่งอกก็ท่วมท้นดวงตาของเขาขณะที่พุ่งเข้าหาไก่น้อย
ร่างที่อยู่ตรงหน้าดูไม่ต่างจากเดิมมากนัก มันมีขนสีเหลืองปกคลุมอยู่บางๆเหมือนลูกเจี๊ยบที่เพิ่งเกิดใหม่ แต่วรยุทธของมันอยู่ในระดับเดียวกันกับเขาแล้ว-เทพเจ้า
“แกฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ…” จางเซวียนพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ
ก่อนหน้านี้เขาให้ไก่น้อยกินยาเม็ดอมตะมากมาย รวมทั้งเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์…มันได้กินแม้กระทั่งเลือดของเทพเจ้า!
แต่วรยุทธของเจ้านี่ก็ไม่ยอมพัฒนาเลยสักนิด
การที่มันเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของปรมาจารย์ขงได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่วรยุทธของมันพุ่งพรวดขึ้นไปถึง 2 ขั้นและเข้าถึงระดับของเทพเจ้าได้อย่างไร?
จางเซวียนรู้สึกขัดใจหน่อยๆขึ้นมาทันที
เขาต้องใช้ทั้งสติปัญญาและความพยายามมากมายกว่าจะยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนี้ ส่วนเจ้าไก่ที่อยู่ตรงหน้าทำแค่กลืนของประหลาดนานาชนิดลงไป แต่วรยุทธของมันก็พัฒนาได้รวดเร็วเท่าเขาเหมือนกัน!
จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนผู้ขยันหมั่นเพียรที่ตั้งใจเรียนและตั้งใจทำข้อสอบเสมอ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง สหายคนหนึ่งที่เอาแต่ใช้เวลาเล่นเกมกลับได้คะแนนดีกว่าเขา!
“ใช่!” ไก่น้อยกระพือปีกพร้อมกับเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วแกได้ความทรงจำกลับคืนมาหรือยัง?” จางเซวียนถามต่อ
“ยัง!” ไก่น้อยตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเหมือนเดิม
จางเซวียนคันปากอยากติเตียนอีกฝ่ายที่ภูมิใจไม่เข้าเรื่อง แต่ขณะที่เฝ้าดูไก่น้อยเดินเตาะแตะไปรอบๆอย่างกระชุ่มกระชวย ก็พลันรู้สึกโล่งใจจนต้องระบายลมหายใจยาวออกมาและยิ้มอย่างจนปัญญาก่อนจะพูดต่อ “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวความทรงจำของแกก็กลับมาเองแหละ คงต้องใช้เวลาสักหน่อย”
เขาดีใจที่ไก่น้อยยังมีชีวิตอยู่
แต่ก็นั่นแหละ จางเซวียนอึดอัดใจอยู่บ้าง ดูเหมือนเขาตื่นตูมอะไรไม่เข้าเรื่อง แถมเจ้านี่ก็กลายเป็นเทพเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หรือนี่คือความหมายของประโยคที่ว่า ‘เกิดขึ้นจากเถ้าถ่าน’?
เมื่อลองคิดดู ก็ออกจะน่าประหลาดใจที่ไก่น้อยผ่านมาได้ เขายังสงสัยว่าตัวโคลนของเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือเปล่าหากอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน
“รังสีสวรรค์เป็นของจำเป็นในการเข้าถึงระดับของเทพเจ้า รังสีสีดำที่ไก่น้อยซึมซับเข้าไปก่อนหน้านี้ดูจะเป็นแบบเดียวกันกับที่โครงกระดูกสีดำมอบให้เรา…” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
มีความเป็นไปได้ว่าไก่น้อยใช้รังสีสวรรค์ปนเปื้อนเพื่อเข้าถึงวรยุทธระดับที่เป็นอยู่
แต่นั่นก็ยังน่าสงสัย เพราะรังสีสวรรค์ที่ปนเปื้อนมีบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่ต่อให้เทพเจ้าก็ยังต้องลำบากหากซึมซับมันเข้าสู่ร่างกาย