ตอนที่ 2159 ฉันไม่บังอาจ…
สรวงสวรรค์
สิ่งมีชีวิตที่อยู่แถวนั้นดูเหมือนจะอยู่มาเนิ่นนานจนเกินจะจดจำ มีเทพเจ้าดึกดำบรรพ์จำนวนหนึ่งซึ่งเป็นที่สุดของสรวงสวรรค์มาตั้งแต่ตอนที่ผู้คนพอจะจำความได้ ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนสถานภาพของพวกเขา
ดวงอาทิตย์สีแดงก่ำสาดส่อง สายลมคมกริบพัดกระหน่ำอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างหนึ่งเดินท่อมๆอยู่กลางหุบเขาอ้างว้างห่างไกล
ทันใดนั้น เขาก็ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่งก่อนจะรีบหลบหลังโขดหินที่อยู่ใกล้ๆ ทันทีที่ซ่อนตัว ร่างสีเทาร่างหนึ่งก็กระโจนออกมาจากบริเวณที่ไม่ห่างออกไปมากนัก
มันคือกระต่ายป่าสีเทา
ร่างนั้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เขาเก็บไม้ท่อนหนึ่งขึ้นจากพื้นและกวัดแกว่งไปมา พลังงานคมกริบพุ่งออกจากปลายท่อนไม้ก่อนจะขยายตัวออกเป็นตาข่ายกระแสดาบฉี
ฟึ่บ!
แต่เมื่อใกล้ถึงตัวกระต่ายป่า ห่างกันเพียง 1 เมตร ตาข่ายกระแสดาบฉีก็สลายไป
เมื่อเห็นว่ากระแสดาบฉีของเขาไม่แข็งแกร่งพอจะเล่นงานกระต่ายป่า ร่างนั้นขว้างท่อนไม้เข้าใส่กระต่ายตัวนั้นอย่างลังเล มันพุ่งออกไปเหมือนลูกธนู
แต่คราวนี้กระต่ายป่าระวังตัว มันออกแรงกระโจนพรวดออกไปทีเดียว 6 เมตร ทิ้งไม้ท่อนนั้นไว้ตรงจุดที่เคยอยู่เมื่อครู่
กระต่ายป่าหันกลับมามองร่างที่เพิ่งโจมตีมัน จากนั้นก็ยิ้มเยาะ มันกระโดดอีก 2-3 ครั้ง แล้วหายลับไป
น่าเสียดาย…
ร่างนั้นส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน
เขาเป็นครูบาอาจารย์ของโลกในทวีปแห่งปรมาจารย์ เป็นชายผู้ทรงพลังที่สุดในมิติเบื้องบน แต่เมื่อมาถึงสรวงสวรรค์ ก็ไม่อาจจับได้แม้แต่กระต่ายป่าตัวเดียว แถมถูกมันยิ้มเยาะด้วย!
ถ้าใครๆรู้เรื่องนี้ คงอับอายขายหน้าจนตายไปข้าง!
ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถือว่าเขาลำบากมาก
ดูเหมือนวันนี้เราคงไม่มีทางเลือก ต้องกินหญ้าเป็นอาหารแล้วล่ะ…
รู้ดีว่าการหาเหยื่อตัวใหม่คงไม่ง่าย จางเซวียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา
เขามาถึงสรวงสวรรค์ได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว…
หลังจากผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ จางเซวียนพบว่าตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง ไม่เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่เข้าสู่มิติเบื้องบน เพราะคราวนี้เขาไม่ได้สลบ
แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าการเดินทางทำให้เขาบอบช้ำหนัก จางเซวียนคุ้มกันตัวเองด้วยตาข่ายกระแสดาบฉีที่ใช้ ‘เส้นด้ายสอดประสานหัวใจพันปม’ แต่คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติก็หนักหน่วงรุนแรงเสียจนเกือบจะฉีกร่างของเขาเป็นชิ้นๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะจี้สีแดงก่ำของหลัวลั่วชิงช่วยไว้ในยามคับขัน เขาคงเสียชีวิตแน่
แต่ก็นั่นแหละ หลังจากเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยแล้ว จางเซวียนก็ยังสลบไปชั่วระยะเวลาสั้นๆเพราะความรุนแรงของบาดแผลและอาการบอบช้ำ
พูดได้เลยว่าหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยเจตจำนงที่ผิดปกติของธรรมชาติ ลมแรงกล้าพัดโหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีทีท่าจะหยุด บ่อยครั้งที่ลูกเห็บขนาดใหญ่ตกหนักเสียจนอาจทำให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ไม่ทันระวังตัวเสียชีวิตได้
และที่เลวร้ายที่สุดของที่สุดก็คือในหุบเขาแห่งนี้แทบไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่เลย!
ดังนั้น จางเซวียนจึงต้องใช้เวลาราวครึ่งเดือนเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ และกว่าจะฟื้นฟูร่างกายให้กลับสู่สภาพเดิมได้ก็เนิ่นนาน
อีกเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกก็คือ ยาเม็ดอมตะและทรัพยากรอื่นๆที่นำติดตัวมาจากมิติเบื้องบนนั้นแทบไม่มีประโยชน์เมื่ออยู่ที่นี่ ขนาดซุปไก่ก็เกือบจะใช้การไม่ได้ เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่สรวงสวรรค์มีบรรยากาศแตกต่างออกไป
พูดอีกอย่างก็คือ อาการเจ็บหนักของเขาทำให้เขาไม่สามารถออกล่าเหยื่อ ทำได้แค่เก็บหญ้าป่ามาประทังชีพ แต่ก็ยังโชคดี เพราะแม้พืชพวกนั้นจะรสชาติแย่ แต่ก็มีพลังจิตวิญญาณมากพอสมควรอยู่ในนั้น ช่วยให้เขาได้รับพลังงานเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน
เขาเรียกพวกมันว่า ‘หญ้าป่า’ ก็เพราะมันคือหญ้าป่าจริงๆ ไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่านี้ หากหญ้าป่าพวกนี้ถูกนำกลับไปยังมิติเบื้องบน พวกมันจะต้องเป็นทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีคุณสมบัติทางยาเทียบชั้นได้กับยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์เลยทีเดียว
โลกทั้ง 2 ใบแตกต่างกันมาก ลำพังแค่ความแตกต่างของกระแสกาลเวลาที่ต่างกันเป็นร้อยเท่าและความมั่นคงของมิติ ก็มากพอจะชี้ชัดถึงความแตกต่างของมันแล้ว
แม้จะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติเบื้องบน แต่ดูเหมือนเมื่ออยู่ในสรวงสวรรค์ จางเซวียนก็ไม่ต่างกับมนุษย์ทั่วไป
สรวงสวรรค์เป็นอย่างนี้!
ไม่เพียงแต่เราจะบินไม่ได้ คงเดินจนเหนื่อยตายด้วย อันที่จริง…ตอนนี้ก็เริ่มหิวอีกแล้ว!
การหวนนึกถึงประสบการณ์ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้จางเซวียนอ่อนล้า
ด้วยความลำบากยากเย็นต่างๆนานาที่เขาต้องฝ่าฟันกว่าจะได้เป็นเทพเจ้า เขาเคยคิดว่าอย่างน้อยที่สุด เมื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์แล้วก็คงได้เป็นบุคคลที่มีอำนาจระดับหนึ่ง แต่ในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนกลับคืนสู่สามัญ ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา…
การเดินไกลเกินไปทำให้เขาเหน็ดเหนื่อย การอดมื้อกินมื้อทำให้เขาหิวโซ การวิ่งเร็วเกินขนาดทำให้เขาหายใจหายคอไม่ทัน และการค้างเติ่งอยู่ที่นี่เนิ่นนานก็ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง…
จางเซวียนไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเท่านี้มาก่อนแม้เมื่อตอนที่ยังเป็นแค่ครูกระจอกคนหนึ่งของโรงเรียนหงเทียน!
ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองน่าจะเป็นนักรบที่มีวรยุทธต่ำสุดในสรวงสวรรค์ พูดง่ายๆก็คือแม้แต่กระต่ายป่าตัวหนึ่ง เขาก็แข็งแกร่งสู้มันไม่ได้!
อย่างกระต่ายตัวที่เขาได้พบเมื่อวาน หลังจากไล่ล่ากันอยู่พักใหญ่ ไม่เพียงแต่เจ้าบ้านั่นจะข่วนมือเขา ลงท้ายมันก็หนีไปได้
ไม่ต่างกับกระต่ายตัวเมื่อครู่
โครกกกกก!
จางเซวียนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ดูเหมือนการใช้ความคิดจะเผาผลาญพลังงานมากไป ทำให้เขาหิวโซกว่าเดิม
ช่างมันเถอะ สำรวจต่อไปก็แล้วกัน ใครจะรู้…กระต่ายโง่ๆสักตัวอาจวิ่งชนต้นไม้ตายก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็จะได้อาหารเย็นมื้อใหญ่!
จางเซวียนเลียริมฝีปาก กล้ำกลืนฝืนความอ่อนเพลียเอาไว้และเดินหน้าต่อไป
หลังจากวนรอบเนินเขา ก็เห็นบางอย่างที่ทำให้ตาโต
“ผลไม้!”
ต้นไม้ต้นหนึ่งเติบโตขึ้นจากรอยแตกของเนินเขา มีผลไม้สีเขียวสด 8 ลูก
แต่ละผลมีขนาดพอๆกับฝ่ามือเด็กทารก และดูเหมือนจะยังไม่สุก แต่สำหรับคนที่ได้กินแต่หญ้าป่า การได้พบมันก็ไม่ต่างอะไรกับเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย
จางเซวียนเด็ดออกมาผลหนึ่งด้วยความตื่นเต้นและยกขึ้นดม
มันมีกลิ่นเปรี้ยวที่ให้ความรู้สึกสดชื่น เขารู้สึกได้ว่ารูขุมขนทั้งหมดในร่างกายเปิดออกอย่างยินดีปรีดา
จางเซวียนรีบเด็ดผลไม้ทั้งหมดออกมาก่อนจะส่งลูกหนึ่งเข้าปาก แต่ยังไม่ทันจะได้กัด ก็เปลี่ยนใจและวางลง จากนั้นก็ห่อทุกผลไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินกลับ
ช่างเถอะ พวกนั้นมีระดับวรยุทธต่ำกว่าเรา คงหาอาหารได้ยากกว่า
ตอนนี้จางเซวียนเป็นเทพเจ้าแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกหิวหลังจากใช้พลังงานเกินขนาด ดูเหมือนวันนี้ ร่างกายของเขาจะอ่อนล้าถึงขีดสุด
ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น จ้าวหย่ากับคนอื่นๆที่เป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จะต้องรู้สึกแย่กว่าแน่ๆ
เพราะได้กินแต่หญ้าป่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทุกคนจึงผอมแห้งหัวโตเหมือนถั่วงอก กว่าเขาจะพบผลไม้ที่เปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณก็ไม่ง่าย จึงควรจะเก็บไว้ให้พวกนั้น
สายลมที่กรรโชกไม่หยุดหย่อนและพลังจิตวิญญาณที่แสนจะแร้นแค้น…นี่เราอยู่ในโลกผิดใบหรือเปล่า…
จางเซวียนส่ายหัวขณะเดินกลับ
เขาเคยคิดว่าสรวงสวรรค์จะต้องเป็นสถานที่ที่มีรังสีสวรรค์เต็มเปี่ยม ถึงขนาดที่ใครๆก็ซึมซับมันได้ตามใจและฝ่าด่านวรยุทธได้รวดเร็ว ตัวเขากับเหล่าศิษย์สายตรงคงก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของนักรบได้อย่างง่ายดาย
แต่ความเป็นจริงก็ถาโถมเข้าใส่อย่างโหดร้าย
สำหรับตอนนี้ ลำพังจะเอาชีวิตรอดก็ยากแล้ว ดูเหมือนพวกเขาคงขาดอาหารตายเสียก่อนที่จะได้เป็นสุดยอดนักรบของสรวงสวรรค์
ในวันที่ 7 ที่มาถึงสรวงสวรรค์ จางเซวียนก็เยียวยาร่างกายที่บอบช้ำจนเริ่มจะแข็งแรงและปล่อยไก่น้อยกับคนอื่นๆออกมา
ทันทีที่ทุกคนออกมาข้างนอก มิติลี้ลับที่พวกเขาเคยซ่อนตัวอยู่ก็ยุบและแหลกสลายไปเพราะแรงกดดันของสรวงสวรรค์ ในเวลาเดียวกัน ข้าวของทุกอย่างที่เก็บไว้ในนั้นก็แปรสภาพเป็นฝุ่นผง
การอดอาหารติดต่อกันถึง 7 วันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่หากอยู่ในมิติเบื้องบน แต่สำหรับที่นี่, บนสรวงสวรรค์ มันยาวนานพอจะทำให้พวกเขาปางตายเลยทีเดียว
ส่วนไก่น้อย บอกได้ยากว่ามันยังไม่ฟื้นตัวจากความบอบช้ำหรือเพราะยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของสรวงสวรรค์ แต่มันเอาแต่หลับอุตุอยู่ในจุดตันเถียนของเขาอย่างไม่มีทีท่าจะยอมตื่น
ตอนแรกจางเซวียนคิดจะใช้ไก่น้อยเป็นเหยื่อล่ออสูรให้เข้ามา เพื่อที่เขาจะได้ล่าและเอามากิน แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนคงพึ่งพามันไม่ได้
ขณะที่กำลังคิดไปสารพัด จางเซวียนก็กลับถึงถ้ำที่เขาใช้เป็นที่พักชั่วคราว
“ท่านอาจารย์!” จ้าวหย่ารีบเดินเข้ามาต้อนรับ “เร็วเข้า มาพักก่อน คุณยังบาดเจ็บอยู่นะ ควรจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีกว่านี้”
ขณะที่พูด เธอก็ช่วยจางเซวียนนำข้าวของที่เขาถือมาจัดเรียงที่มุมหนึ่งอย่างเรียบร้อย
“ท่านอาจารย์ควรจะอนุญาตให้พวกเราออกไปหาอาหารนะ พวกเราไม่ได้บาดเจ็บอะไร และช่วยแบ่งเบาภาระได้…”
ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในท้องของไก่น้อยขณะที่จางเซวียนฝ่าฟันคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
แรงกดดันมหาศาลจากสรวงสวรรค์ทำให้พวกเขารู้สึกอ่อนแอราวกับเป็นเด็กน้อย แต่การออกหาผลไม้ หญ้า หรือล่าอสูรที่อ่อนแอสักตัวเป็นสิ่งที่ยังพอทำได้
“ไม่ได้หรอก” จางเซวียนส่ายหัวอย่างหนักแน่น “หุบเขาข้างนอกนั่นมีอสูรสวรรค์เต็มไปหมด พลาดพลั้งเพียงนิดเดียวอาจถึงตาย! ตอนนี้พวกคุณควรอยู่นิ่งๆและหาทางยกระดับวรยุทธให้เทียบเท่ากับผมให้ได้เสียก่อน!”
“แต่…” จ้าวหย่าทักท้วงอย่างวิตก
พวกเขาไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้
ทุกคนติดตามท่านอาจารย์มายังสรวงสวรรค์เพื่อหวังจะช่วยแบ่งเบาภาระ แต่สุดท้ายกลับเป็นภาระของท่านอาจารย์เสียเอง
“พวกคุณไม่คิดจะฟังผมแล้วหรือไง?” จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
“ฉันไม่บังอาจ…” จ้าวหย่าตอบพร้อมกับก้มหน้า
“เอาเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้เสียที มาดูกันเถอะว่าคราวนี้ผมนำอะไรมา” จางเซวียนยิ้มขณะนำผลไม้ที่เขาเก็บติดตัวไว้ออกมาให้ทุกคนดู
เพียงชั่วพริบตา กลิ่นหอมสดชื่นของผลไม้ก็อบอวลทั่วถ้ำ
“นี่มัน…ผลไม้?” หยวนเทากับซุนฉางตาโต น้ำลายไหลยืด
ตลอดสองสามวันนี้พวกเขาได้กินแต่หญ้าป่า ทั้งเบื่อทั้งเอียน ผลไม้พวกนี้จึงเหมือนน้ำฝนที่โปรยปรายสู่พื้นดินแห้งแล้ง
“จัดการสิ!” จางเซวียนพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ “แต่มันมีไม่มากนะ ต้องแบ่งกัน ผมจะออกไปดูว่ายังมีอีกหรือเปล่า ซุนฉาง, ช่วยแบ่งผลไม้ที ดูให้แน่ใจล่ะว่าได้ส่วนแบ่งทั่วถึงกันทุกคน”
“ขอรับ นายน้อย!” ซุนฉางตอบขณะเดินเข้าไปหยิบผลไม้