อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2171 ขอลองหน่อยเถอะ!
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้ฟังจากโม่หย่วนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย แต่แน่นอนว่าข้อมูลจากหนังสือย่อมละเอียดลออกว่า
จางเซวียนได้รู้ว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าคือยาที่มีราคาแพง การถดถอยของพลังจิตวิญญาณส่งผลให้สมุนไพรจำนวนมากเหี่ยวแห้งและตายไป ราคายาจึงพุ่งพรวด ความต้องการของท้องตลาดที่มีต่อยาเม็ดที่สามารถฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก
ด้วยเหตุนี้ แม้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจะไม่ได้ทรงพลังอะไรมากมาย แต่ก็มีราคาถึงเม็ดละ 1 เหรียญสวรรค์ ทำให้ใครๆอ้าปากค้างได้เลยทีเดียว
จะว่าไป ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าก็เหมือนกับยาเม็ดอมตะของมิติเบื้องบน มันแบ่งออกเป็น 4 ระดับขั้น คือขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสูงสุด
แน่นอนว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำก็เพียงพอสำหรับการฝึกฝนวรยุทธของนักรบระดับเทพเจ้า เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับเทพพระเจ้าสวรรค์สร้างแล้วเท่านั้นถึงจะต้องใช้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง
“ขอลองหน่อยเถอะ!”
จางเซวียนโยนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเม็ด 1 ใส่ปาก พลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลถูกปลดปล่อยเข้าสู่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์เพื่อขัดเกลาและซึมซับพลังจิตวิญญาณนั้น
ด้วยเทคนิควรยุทธที่เขาได้มาจากการต่อสู้กับตัวโคลนของปรมาจารย์ขง, สายสัมพันธ์พี่น้อง จางเซวียนสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งหนึ่งที่เขาได้จากการทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ก็คือ อารมณ์และความรู้สึกของเขาไม่ได้เป็นสิ่งที่แยกตัวออกจากสิ่งอื่นๆ หากมองอารมณ์ของเขาให้อยู่ในรูปของเทคนิควรยุทธ ก็จะเห็นได้ว่ามันเชื่อมโยงและถักทอกันอย่างแน่นหนา เกิดเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่
มันไม่ได้ทับซ้อนกันแบบง่ายๆ โดยแต่ละอารมณ์ที่เขาทำความเข้าใจจะหลอมรวมเข้ากับการรู้แจ้งในครั้งก่อนๆ ทำให้เกิดเป็นเทคนิควรยุทธที่พัฒนาตัวเขาให้ก้าวสู่ระดับใหม่
ภายใต้การบ่มเพาะของพลังจิตวิญญาณ จางเซวียนขัดเกลาวรยุทธระดับเทพเจ้าของเขาได้อย่างรวดเร็ว เกิดเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาวรยุทธให้สูงขึ้นต่อไป รังสีของเขาค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อยอย่างมั่นคง
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะรู้ตัว ก็มายืนอยู่ตรงหน้ามหาสมุทรเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เขารู้สึกได้ถึงพลังงานสวรรค์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในมหาสมุทร เห็นกระแสสีทองของรังสีสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วนแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างอิสระเสรี
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จางเซวียนต้องเพ่งสมาธิอย่างหนักในการเคลื่อนไหว เขาอยากจะคว้ากระแสรังสีสวรรค์จากน้ำให้ได้ แต่ทันทีที่ร่างกายขยับ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็หายวับไปราวกับคลื่นซัดสาด ผลักเขาเข้าสู่ความมืดมิด
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่ากำลังนั่งอยู่ในห้องเดิม
ราวกับสิ่งที่เพิ่งเห็นเป็นเพียงความฝัน
“มันคือภาพลวงตาหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
นับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนวรยุทธ เขายังไม่เคยพบปีศาจใต้สำนึกของตัวเองมาก่อน และปีศาจใต้สำนึกตัวที่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าเขาก็ลงเอยด้วยการเป็นลูกศิษย์ ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่เคยมีประสบการณ์การเห็นภาพหลอน ทำไมจู่ๆถึงมาเจอกับปัญหาแบบนั้นในเวลานี้?
หรือว่าเทคนิควรยุทธที่เขาทำความเข้าใจจะมีข้อบกพร่อง?
เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนรีบนำสมุดเปล่าออกมาและตั้งต้นเขียนความเข้าใจเรื่องเวทนาสวรรค์ลงไป แต่ยังไม่ทันจะเขียนเสร็จ สมุดก็สลายตัวกลายเป็นเถ้าถ่าน
สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจมาก
เขาไม่ได้ใช้เทคนิควรยุทธใดๆและไม่ได้สำแดงพละกำลังมากมาย ก็แค่เขียนลงไปตามธรรมดา แต่จู่ๆสมุดก็สลายตัวไป ราวกับหน้ากระดาษไม่อาจแบกรับความรู้เรื่องเวทนาสวรรค์ได้
จางเซวียนมองเถ้าถ่านที่อยู่ตรงหน้าอย่างงุนงงก่อนจะนำอัลลอยก้อนหนึ่งที่มีความทนทานออกจากแหวนเก็บสมบัติ
เท่าที่ดูจากคุณภาพของมัน ก็น่าจะใช้หลอมของล้ำค่าระดับเทพเจ้าขั้นกลางได้ ต่อให้มีพละกำลังแบบจางเซวียน ก็ยากจะสร้างรอยขีดข่วนบนนั้น
จางเซวียนถือพู่กันไว้ในมือ เขาตั้งต้นเขียนเวทนาสวรรค์ลงไป
ฟึ่บ!
ซึ่งก็อีกครั้ง ยังไม่ทันที่จะเขียนเทคนิควรยุทธเสร็จ อัลลอยก็สลายตัวกลายเป็นธุลี ราวกับมันไม่อาจแบกรับความรู้เรื่องเวทนาสวรรค์ได้…
เวทนาสวรรค์คือเทคนิควรยุทธที่อยู่เหนือกว่าความเข้าใจของสรวงสวรรค์ นี่เป็นสัญญาณว่าสรวงสวรรค์ของที่นี่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของมัน จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขารู้ดีว่าเวทนาสวรรค์มีพละกำลังแข็งแกร่งแค่ไหน หากไร้ซึ่งพันธนาการ ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่เขาเคยฝึกฝนเสียอีก นี่หมายความว่ามันคือเทคนิควรยุทธที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์
แล้วสวรรค์จะอนุญาตให้สิ่งที่แข็งแกร่งกว่ามันดำรงอยู่ในโลกได้อย่างไร?
“เรื่องนี้อธิบายได้เลยว่าทำไมเราถึงเรียกการทดสอบของเทพเจ้ามาไม่ได้เมื่อตอนที่อยู่ในมิติเบื้องบน…” จางเซวียนตาโต
การทดสอบวรยุทธคือการที่สวรรค์สำแดงความเกรี้ยวกราดใส่เหล่านักรบที่บังอาจเข้าใกล้พวกเขา
ด้วยเหตุนี้ ตอนที่จางเซวียนเรียกการทดสอบวรยุทธของเขามา เจ้านั่นจึงจึงไม่แยแสเขาโดยสิ้นเชิง กลับเลือกที่จะเล่นงานไก่น้อยแทน ปรากฏการณ์แปลกประหลาดในครั้งนั้นทำให้จางเซวียนงุนงงอยู่นาน แต่เมื่อลองคิดดู ก็เป็นได้ว่าเขาอาจก้าวล่วงเข้าสู่การพิพากษาของสวรรค์โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจหาญลงทัณฑ์
“ต่อให้เราหาวิธีเขียนเวทนาสวรรค์ออกมาได้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะสามารถประเมินมัน ดูเหมือนเราต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะ!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนอาศัยหอสมุดเทียบฟ้าในการขัดเกลาทุกเทคนิคที่เขาฝึกฝนให้สมบูรณ์แบบ ทำให้แน่ใจว่าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ดูเหมือนสุดท้ายเขาก็มาถึงจุดที่ไม่อาจพึ่งพามันได้อีกต่อไป
สิ่งที่พึ่งพาได้คือตัวเองเท่านั้น เขาคงต้องค่อยๆพิจารณาและทำความเข้าใจทุกอย่างผ่านการลองผิดลองถูกและก้าวไปข้างหน้าทีละขั้น
โชคดีที่จางเซวียนสั่งสมความรู้มากมายมหาศาลไว้จากการอ่านหนังสือเป็นล้านๆเล่ม ทำให้เขามีทั้งรากฐานความรู้และสัญชาตญาณที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติภารกิจสำคัญครั้งนี้
จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขารีบทบทวนความเข้าใจเรื่องเวทนาสวรรค์ แต่ก็ไม่พบข้อบกพร่องใดๆ จึงนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่อยู่ในขวดหยกออกมาและกลืนมันลงไปเม็ดแล้วเม็ดเล่า
ครู่ต่อมา…
เสียงครืดคราดเป็นชุดดังออกจากร่างของจางเซวียนขณะที่เขาลุกขึ้นยืน ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างดูเหมือนเขาจะสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงพลังงานสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา เท่าที่ดูจากปริมาณของมัน เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อยก็ 2 เท่า
“เราเข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ-สูงสุดแล้ว” จางเซวียนพึมพำขณะยืดตัวบิดขี้เกียจ
2-3 ชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้ไร้ประโยชน์ เขายกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำ-ขั้นต้นมาเป็นเทพเจ้าขั้นต่ำ-สูงสุดได้สำเร็จ และอยู่ไม่ไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธ
ถ้าไม่ใช่เพราะเขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไม่เพียงพอ ก็คงได้เป็นเทพเจ้าขั้นกลางไปแล้ว “แต่นั่นแหละ คงไม่ดีนักหากพยายามฝ่าด่านวรยุทธตั้งแต่ตอนนี้…”
จากการอ่านหนังสือหลายเล่มที่สายเทาทิ้งไว้ จางเซวียนได้รับความเข้าใจเรื่องวรยุทธของเทพเจ้าที่มีหลากหลายขั้น
ด้วยสภาวะของเขาในเวลานี้ หากมีพลังจิตวิญญาณมากพอ ก็สามารถยกระดับไปเป็นเทพเจ้าขั้นกลางได้
แต่จางเซวียนจะต้องขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งกายเนื้อและจิตวิญญาณของเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปตาม
หากเขาบีบบังคับตัวเองให้ฝ่าด่านวรยุทธ ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณจะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วงจากพลังงานสวรรค์ปริมาณมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในทางเดินพลังปราณของเขา
ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ยังไม่ต่างอะไรกับการฝังระเบิดเวลาไว้ในตัว เกิดเป็นความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
จางเซวียนมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นดวงอาทิตย์ลอยสูง น่าจะเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน
ทันทีที่เขาเดินออกจากห้อง ซุนฉางก็ตรงเข้ามาหา “นายน้อย ผมพอได้ข้อมูลเกี่ยวกับรังสีสวรรค์แล้ว เหมือนอย่างที่โม่หย่วนเคยบอกไว้นั่นแหละ รังสีสวรรค์เป็นทรัพยากรที่ถูกควบคุมดูแลอย่างถี่ถ้วน วิธีเดียวที่จะได้มันมาก็คือต้องขึ้นไปบนภูเขาสวรรค์สร้าง แต่ภูเขาสวรรค์สร้างก็ไม่ใช่สถานที่ที่นักรบคนไหนจะไปเยือนเมื่อไหร่ก็ได้ตามแต่ต้องการ ที่นั่นจะเปิดทุกๆครึ่งปี และมีแต่ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
“มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“ใช่ ในแต่ละครั้งจะมีนักรบที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเพียง 1,000 คนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องหาทางให้ตัวเองอยู่ในรายชื่อให้ได้ เพื่อให้ได้รับโอกาส!” ซุนฉางตอบ
“เข้าใจแล้ว…แล้วเรามีเวลาแค่ไหนก่อนที่ภูเขาสวรรค์สร้างจะเปิดอีกครั้ง?” จางเซวียนถาม
“เรามีเวลาไม่ถึง 1 วัน…ภูเขาสวรรค์สร้างจะเปิดวันพรุ่งนี้” ซุนฉางตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ
ข่าวที่ได้รับอย่างปุบปับทำให้จางเซวียนอึ้งไป เขาไม่คิดว่าเวลาจะกระชั้นชิดขนาดนี้ จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็ถามต่อ “ทำอย่างไรถึงจะได้อยู่ในรายชื่อ?”
“นักรบที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีลงไปและมีระดับวรยุทธต่ำกว่าเทพเจ้าจะมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่จะได้อยู่ในรายชื่อของการเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง แต่ผลการคัดเลือกถูกประกาศแล้ว…วิธีเดียวที่เราจะเข้าไปอยู่ในรายชื่อได้ในเวลานี้ก็คือท้าทายผู้ที่มีรายชื่ออยู่ก่อนและเอาชนะพวกเขา แล้วเราก็จะได้แทนที่”
ซุนฉางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่การประกาศรายชื่อทำให้ทุกคนที่มีรายชื่อพากันซ่อนตัว ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมเสี่ยงกับการสูญเสียโอกาสเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง อีกอย่าง ผู้ที่มีรายชื่อส่วนใหญ่ก็มาจากกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ เราเข้าไปแทนที่พวกเขาไม่ได้ง่ายๆหรอก”
ผู้ที่ได้เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างในวันพรุ่งนี้ล้วนมีโอกาสสูงที่จะได้เป็นเทพเจ้า แล้วใครเล่าจะโง่เง่าถึงขนาดยอมเอาอนาคตของตัวเองไปเสี่ยงกับการดวล?
วรยุทธระดับเทพเจ้ากับระดับที่ต่ำกว่าเทพเจ้านั้นมีความแตกต่างกันมาก หากพลาดโอกาสนี้ ก็คงสูญเสียสิทธิ์ที่จะได้ฝึกฝนวรยุทธต่อไป
“มีวิธีอื่นอีกไหม?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ด้วยความสามารถของตัวเขากับบรรดาลูกศิษย์ เขามั่นใจว่าจะคว้าที่นั่งได้ในวันพรุ่งนี้ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา
แต่จางเซวียนก็ไม่ค่อยสบายใจที่จะทำแบบนั้น เพราะนั่นเท่ากับเขาขโมยความหวังของการมีอนาคตที่ดีขึ้นไปจากคนอื่นๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้ทำให้เขาหนักใจ