Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 2209 จิตวิญญาณ…

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2209 จิตวิญญาณ…

อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 2209 จิตวิญญาณ…
เมื่อรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มจะต้องคุกคามแน่ถ้ามันไม่ยอมตกลง เสียงหึ่งก็ดังลั่นจากอนุสาวรีย์ขณะที่มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“ต้องแบบนี้สิ” จางเซวียนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ

เขาหยดเลือดหยดหนึ่งที่บรรจุเจตจำนงของเขาไว้ลงบนอนุสาวรีย์ มันถูกซึมซับเข้าไปทันที นี่คือสัญญาณว่าอนุสาวรีย์ยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้ว

“เอ่อ…” หมิงไล่เชียงถึงกับจังงัง

เธอพยายามทุกวิถีทางเท่าที่จะคิดได้เพื่อหว่านล้อมอนุสาวรีย์ให้ตอบตกลง แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้มันก็ไม่เคยตอบรับ แต่สิ่งที่ชายหนุ่มทำมีแค่การนับถอยหลังจากสิบ แล้วอนุสาวรีย์ก็ยอมจำนนให้เขาเสียอย่างนั้น…

ทำไมมันเหลื่อมล้ำกันขนาดนี้?

“ผมซึมซับอนุสาวรีย์ได้แล้ว แปลว่าตอนนี้ผมเป็นเจ้าเมืองแล้วใช่ไหม?” จางเซวียนถาม

เขารู้สึกได้ว่าเศษเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงของเขาฝังอยู่ภายในอนุสาวรีย์นั้น

หมิงไล่เชียงทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกเสียเกียรติมาก แต่ลงท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้า

ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือยอมรับ

“นี่คือยาเม็ดเพิ่มความงาม ผมให้คุณ ถึงมันจะเปลี่ยนรูปร่างของคุณไม่ได้ แต่ผมก็เชื่อว่าจะสร้างความแตกต่างได้มากทีเดียว” จางเซวียนพูดขณะนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำออกมาเม็ดหนึ่ง

“ส่วนข้อแลกเปลี่ยนก็คือ ผมหวังว่าคุณจะเจรจากับหลินชีและหวูหยางในนามของผม ภายใน 4 ชั่วโมงนับจากนี้ ผมต้องการให้ทั้งเมืองรู้ทั่วกันว่าผมคือเจ้าเมืองคนใหม่ และกฎเกณฑ์ต่างๆที่เจ้าเมืองคนก่อนตั้งไว้จะยังมีผลบังคับใช้อยู่”

จางเซวียนมีความชอบธรรมในการรับตำแหน่งเจ้าเมืองเพราะสามารถซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ แต่ในแง่ของอิทธิพล เขาเทียบชั้นกับหมิงไล่เชียงไม่ได้เลย คงจะดีกว่าหากมอบหมายภารกิจให้เธอจัดการแทน

“ตามนั้น” หมิงไล่เชียงพยักหน้า

เธอรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะช่วยหรือไม่ช่วยเขาก็ไม่มีอะไรแตกต่าง เพราะในเมื่อชายหนุ่มได้การยอมรับจากท่านเจ้าเมืองคนก่อนแล้ว ก็ไม่มีใครเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาได้

ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เธอก็ควรทำหน้าที่แทนเขาและสร้างความสัมพันธ์อันดีเอาไว้จะดีกว่า อันที่จริง ความพยายามของเธอก็ถือว่าคุ้มค่า แม้สิ่งที่ได้มาจะเป็นแค่ยาเม็ดเพิ่มความงาม

หลังจากตอบรับคำขอของจางเซวียนแล้ว หมิงไล่เชียงก็กลืนยาเม็ดเพิ่มความงามลงไป

เธอนำกระจกทองแดงออกมาส่องดูตัวเอง จากนั้นก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น

เกิดปาฏิหาริย์อย่างที่ผู้คนร่ำลือกันจริงๆ ยานี้ออกฤทธิ์ทันทีที่เธอกลืนมันลงไป

ผิวพรรณของเธอกระชับและเรียบเนียนกว่าเดิม ใบหน้าก็สวยโดดเด่นขึ้น แม้รูปร่างเทอะทะใหญ่โตของเธอจะยังไม่เปลี่ยน แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวในแบบที่ทำให้ใครๆต้องเหลียวหลัง

หมิงไล่เชียงมองว่าตัวเธอไม่ใช่คนไร้สาระ แต่ก็คงจะเป็นการโกหกหากจะบอกว่าเธอไม่กังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา ด้วยสถานภาพที่เป็นอยู่ เธอไม่จำเป็นต้องพยายามเอาอกเอาใจใคร แต่หากมีทางเลือก ก็อยากจะสวยงดงามและดูเป็นผู้หญิงมากกว่านี้

ดังนั้น เธอจึงแสนจะพอใจกับอานุภาพของยาเม็ดเพิ่มความงาม

หมิงไล่เชียงยิ้มร่า เธอพาจางเซวียนเข้าสู่คฤหาสน์เจ้าเมืองและหาที่ให้นั่ง ก่อนจะรีบขี่อสูรสวรรค์บินได้ตัวหนึ่งออกไปเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

ชื่อเสียงของเธอในฐานะผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพียงไม่ถึง 4 ชั่วโมง แทบทุกคนในเมืองแสงสนธยาก็รู้แล้วว่าชายที่ชื่อจางเซวียนกำลังจะรับตำแหน่งเจ้าเมือง

ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ตกเย็น ทางเมืองหลวงก็ส่งตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองมาให้เพื่อยอมรับการครองตำแหน่งของเขา

“เรียบร้อยเสียที…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก

ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถใช้ค่ายกลทะลุมิติของเมืองแสงสนธยาเพื่อเดินทางไปยังเมืองหลวงได้ด้วยความรวดเร็ว

“นี่คือตราสัญลักษณ์ของอาณาเขตปกครอง 3 แห่งของเมืองแสงสนธยา” ฉีหลิงเอ๋อพูดขณะยื่นตราสัญลักษณ์สามอันให้จางเซวียน

จะว่าไป เธอถึงกับพูดไม่ออกกับความเก่งกาจของชายหนุ่ม เพราะสำหรับตัวเธอ กว่าจะแก่งแย่งแข่งขันจนได้ตำแหน่งเจ้าเมืองมานั้นก็แทบจะต้องสิ้นชีพ!

แต่ชายหนุ่มทำทุกอย่างได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แค่คิดก็แทบจะบ้าแล้ว!

จางเซวียนมอบตราสัญลักษณ์ทั้งสามอันให้ซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาและพูดว่า “ซึมซับตราสัญลักษณ์นี้เสีย จะได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติ”

จากนั้น เขาหันไปถามฉีหลิงเอ๋ออีกครั้ง “ไก่น้อยกับจางเจี้ยเป็นอสูรของผม ผมพาทั้งคู่เดินทางไปกับผมได้ใช่ไหม?”

“ไม่มีปัญหา” ฉีหลิงเอ๋อตอบพร้อมกับพยักหน้า

ตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองถูกออกแบบมาให้มีอานุภาพครอบคลุมถึงอสูรของผู้ใช้โดยผ่านการทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าเมืองจะเดินทางไปไหนมาไหนพร้อมกับอสูรของเขา

ได้ยินคำนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหันกลับไปมองซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง “ถ้าเป็นไปได้ พยายามซึมซับตราสัญลักษณ์เสียวันนี้เลยนะ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางไปเมืองหลวง!”

…..

ยังมีบางเรื่องที่เขาต้องจัดการในฐานะเจ้าเมืองคนใหม่ อันดับแรกสุดก็คือต้องให้ทุกคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวเขา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้จิตปรารถนาของคนเหล่านั้นมา

จางเซวียนจึงเดินออกไปยังจัตุรัสขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์เจ้าเมือง เขากระโจนขึ้นไปบนอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองและนั่งลงบนนั้นอย่างสบายใจ

ในเวลานี้ ฝูงชนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้วหลังจากได้ข่าวเรื่องเจ้าเมืองคนใหม่ พวกเขาทั้งอยากรู้อยากเห็นและออกจะหวาดกลัวเล็กน้อยที่จะได้รู้ว่าเจ้าเมืองคนใหม่เป็นใคร

เพราะถึงอย่างไร เจ้าเมืองก็คือผู้ที่มีอำนาจตัดสินชะตากรรมของพวกเขา

“พวกคุณคงรู้แล้ว แต่ก็ขอประกาศอีกครั้ง ผมคือเจ้าเมืองแสงสนธยาคนใหม่ ชื่อจางเซวียน ผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงกลไกการทำงานของเมืองนี้ แต่ก็ปรารถนาจะเห็นเมืองแสงสนธยาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ใน 4 ชั่วโมงนับจากนี้ ผมจะเปิดการบรรยายเพื่อถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องวรยุทธของผมให้กับพวกคุณ” จางเซวียนพูดกับฝูงชนที่อยู่ด้านล่างด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายทว่าทรงอำนาจ

พูดกันตามตรง เขายังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าจิตปรารถนาคืออะไร แต่เท่าที่รู้มา ก็น่าจะได้รับมันอย่างต่อเนื่องหากทำให้ผู้คนในเมืองเกิดความประทับใจในตัวเขาได้

ซึ่งวิธีที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จางเซวียนคิดออกก็คือเปิดการบรรยาย

เหมือนกับการที่ปรมาจารย์ขงมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาเพราะคำสอนของเขา คำสอนนั้นยังคงเป็นที่จดจำต่อๆกันมายาวนานหลายหมื่นปีในทวีปแห่งปรมาจารย์

กว่าจะถึงวันที่การถ่ายทอดความรู้ของเขาเสื่อมสลายและถูกหลงลืมไป ชื่อของเขาก็คงเป็นที่กล่าวขานของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น

ข่าวเรื่องเจ้าเมืองคนใหม่เปิดการบรรยายแพร่สะพัดออกไปราวกับไฟป่า ตลอด 4 ชั่วโมงให้หลัง นักรบหลายล้านคนก็มาออกันอยู่ในจัตุรัสและบริเวณใกล้เคียง

จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจและตั้งต้นบรรยาย

“วรยุทธอยู่ในหัวใจ และจิตวิญญาณ…”

เสียงของเขาแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ ให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ มีอานุภาพบ่มเพาะผู้ที่ได้ฟัง

ทุกคนถูกการบรรยายนั้นตรึงไว้

คนหนึ่งที่ยืนอยู่ในหมู่ฝูงชนคือหวูหยาง, ผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองอีกคนหนึ่ง เขายังสงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ๆหมิงไล่เชียงถึงยอมจำนนให้ชายหนุ่มที่มีอายุเพียง 20 ต้นๆ แถมยังเตือนเขาด้วยว่าอย่าทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ

หวูหยางจึงมาฟังการบรรยายด้วยตัวเอง ซึ่งสาระสำคัญของถ้อยคำเหล่านั้นก็กระจ่างอยู่ในหัวใจของเขา

ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ชายหนุ่มได้เป็นเจ้าเมือง

เพราะลำพังแค่ความเข้าใจเรื่องวรยุทธของอีกฝ่ายก็เหนือชั้นกว่าผู้เชี่ยวชาญคนไหนๆที่เขาเคยพบ

แนวคิดอันลึกซึ้งถูกถ่ายทอดออกมาด้วยคำพูดที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย ทำให้ฝูงชนพากันพยักหน้ารับ ราวกับเกิดภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจ พวกเขาเข้าใจทันทีว่าแนวคิดที่เคยทำให้เกิดความสงสัยมาก่อนนั้น แท้จริงแล้วหมายความว่าอย่างไร

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ นับจากวันนี้ไป เมืองแสงสนธยาจะไม่มีวันเหมือนเดิม

ด้วยความเก่งกาจเหนือชั้นของหลินชี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหลินก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองแสงสนธยา พละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่าแม้แต่ท่านแม่ของเขา, นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริง ความเก่งกาจของทั้งคู่ทำให้แทบไม่มีใครในเมืองแสงสนธยากล้ามีเรื่องกับพวกเขา

ส่วนตระกูลจ้าวคือผู้อ่อนด้อยที่สุดของสามตระกูลใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดหรือหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน ก็เทียบไม่ได้เลยกับหลินชีและท่านแม่ของเขา เหตุผลเดียวที่ตระกูลจ้าวได้เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ก็เพราะกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้านการค้าขายในเมืองเอาไว้ ทำให้พวกเขาเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุด

…..

ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน…

“หลินชี พละกำลังของคุณในเวลานี้ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าหมิงไล่เชียงคนนั้นเลย ทำไมคุณต้องคล้อยตามเธอและถึงกับเลิกล้มการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมือง? คุณก็รู้นี่ว่าคุณไม่ได้สู้ตามลำพัง มีตระกูลหลินทั้งตระกูลคอยหนุนหลังอยู่!” หัวหน้าตระกูลหลินมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างหงุดหงิด

แน่นอนว่าหลินชีคือหนึ่งในนักรบที่ทรงพลังที่สุดของเมืองแสงสนธยา ทั้งตระกูลหลินตั้งหน้าตั้งตารอวันที่หลินชีจะได้ครอบครองตำแหน่งเจ้าเมืองและนำพาทั้งตระกูลไปสู่ความยิ่งใหญ่กว่าเดิม ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆชายที่มาจากไหนก็ไม่รู้มาตัดหน้าเขาได้?

ต่อให้มีใครสักคนคว้าตำแหน่งเจ้าเมืองไป ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือแย่งชิงตำแหน่งนั้นกลับมา แต่หลินชีกลับเลือกที่จะยอมรับ ไม่แม้แต่จะคิดต่อสู้

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห

นี่เป็นโอกาสเดียวที่ตระกูลหลินจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของเมืองแสงสนธยา แต่หลินชีกลับขว้างโอกาสนั้นทิ้งไปอย่างง่ายๆ!

“ถ้าหมิงไล่เชียงสู้เขาไม่ได้ ผมก็ปราบเขาไม่ได้เหมือนกัน อีกอย่าง เขาซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ด้วย แทนที่จะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า ผมควรยอมรับเสียดีกว่า” หลินชีส่ายหัวและตอบอย่างสุขุม “เอาเถอะ ผมจะฝึกฝนวรยุทธแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่น อย่ารบกวนผมอีก”

เมื่อพูดจบ ก็เตรียมตัวกลับห้อง

ในตอนนั้น พ่อบ้านคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาและประสานมือ “ท่านหัวหน้า, นายน้อยหลินชี เจ้าเมืองคนใหม่ประกาศว่าเขาจะเปิดการบรรยายสาธารณะ ซึ่งเริ่มได้สักครู่หนึ่งแล้ว คนจำนวนหนึ่งไปรวมตัวกันเพื่อฟังการบรรยายของเขา เราควรส่งคนของเราไปฟังด้วยไหม?”

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Status: Ongoing

ตอนที่ 1 – 2100 อ่านนิยาย

อ่านต่อเลือกตอนข้างล่าง


จางเซวียนข้ามไปอีกโลกหนึ่งโดยบังเอิญ ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นครูไปเสียแล้ว ซ้ำยังเป็นครูที่ไม่เก่งและกำลังจะถูกไล่ออกอีกด้วย ทว่าจางเซวียนกลับพบความลับอันยิ่งใหญ่ของร่างใหม่ร่างนี้ นั่นก็คือ… เขามีสมองเพชร! ในสมองของครูหนุ่มคนนี้แอบซ่อน ‘หอสมุด’ ขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จางเซวียนเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ล้วนถูกเก็บสู่คลังหนังสือในรูปแบบของสมุดเล่มหนึ่ง ก็ถ้าในเมื่อมีไอเท็มสุดยอดนี้อยู่กับตัวแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกเขาว่าครูกระจอกอีก?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท