องครักษ์หัวเราะหึๆ “คุณนี่ไม่เลวนะ การที่ภาพลวงตาของคุณมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก็บอกชัดแล้วว่าคุณไม่ได้เป็นที่จดจำของเหล่าเทพเจ้าเท่านั้น แต่ยังมีเทพเจ้าสวรรค์สร้างด้วย”
“เทพเจ้าสวรรค์สร้าง?” จางเซวียนพยักหน้าขณะครุ่นคิด
ฉีหลิงเอ๋อกับจางเจี้ยล้วนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง และทั้งคู่ก็จงรักภักดีต่อเขา ทั้งคู่เป็นที่มาของจิตปรารถนาส่วนหนึ่งที่เขาได้รับ
จางเซวียนเพ่งสมาธิไปที่จิตวิญญาณของเขา รู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงพลังงานที่ไหลเวียนและเชื่อมโยงระหว่างจิตวิญญาณกับภาพลวงตาที่ปรากฏ พลังงานนั้นมีอานุภาพบ่มเพาะระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้เพิ่มสูงขึ้น
เมื่อเห็นว่าได้ผล เขาประสานมือและกล่าวอำลา
จางเซวียนออกไปได้ไม่นาน องครักษ์อีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เขาถามองครักษ์คนก่อนหน้าด้วยความอยากรู้ “เป็นอย่างไร? คุณว่าหมอนั่นเป็นไงบ้าง?”
“ภาพลวงตาของเขามีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งปีก็คงสลายตัวหมด” องครักษ์คนแรกคำรามเยาะ
“แต่ก็ไม่แย่นะถ้าคิดว่าเขาเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก” องครักษ์คนที่ 2 ตอบ
“ผมว่าไม่ใช่” องครักษ์คนแรกพูด “ถ้าเขาเอาแต่คิดจะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้ ผมก็สงสัยว่าในอนาคตเขาจะทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้หรือเปล่า ในเมื่อแม้แต่ผมยังดูถูกคนขี้ขลาดแบบเขา แล้วทำไมผู้คนจะต้องพากันระลึกถึงและชื่นชมเขาด้วย? ผมเชื่อว่าเหตุผลเดียวที่ยังพอมีผู้คนระลึกถึงเขาอยู่ก็เพราะยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ถ้ารู้ขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ คงเลิกนึกถึงเขาทันที!”
“ก็ได้อยู่นะ รอดูไปก่อนละกัน” องครักษ์คนที่สองตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ
ในสรวงสวรรค์ ผู้คนให้ความเคารพยกย่องอย่างสูงต่อพละกำลังและความกล้าหาญ เรื่องนี้พอเข้าใจได้หากจางเซวียนอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตและอยากหาทางหลีกหนีความตาย แต่ในเมื่อตอนนี้เขาอายุเพียง 20 ต้นๆและยังมีชีวิตยาวไกลรออยู่เบื้องหน้า แต่กลับหวาดกลัวความตายเสียจนยอมจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ที่นี่…
เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าหมอนี่เป็นคนขี้ขลาด…คนขี้ขลาดแบบนั้นจะเอาชนะใจคนอื่นๆและได้รับการระลึกถึงได้อย่างไร?
ต่อให้เขาสร้างภาพลวงตาที่มีขนาดน่าพอใจขึ้นได้ ก็มีโอกาสที่มันจะสลายตัวไปในระยะเวลาไม่นาน!
“ไปกันเถอะ!” องครักษ์คนแรกพูดขณะหันหลังกลับเพื่อออกจากห้อง
แต่แล้วสระบาดาลก็เริ่มสั่นสะท้าน
ทั้งคู่หยุดกึกและหันขวับ
ภาพลวงตาที่ชายหนุ่มทิ้งไว้สั่นไม่หยุด แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ทำให้กระเพื่อมไปทั้งสระอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดละ
“เฮ้ยยยย…”
องครักษ์ทั้งคู่งงงันก่อนที่คนแรกจะพลันนึกได้ เขาหรี่ตา “หรือว่ามีผู้คนระลึกถึงเขาเพิ่มขึ้นอีก ทำให้กระแสจิตปรารถนาไหลเข้ามา?”
หลังจากพูดจบได้ไม่นาน ภาพลวงตาที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก็กระตุกและขยายตัวจนเท่าฝ่ามือ พร้อมกันนั้น ความโปร่งแสงของมันก็ค่อยๆทึบจนเกือบจับต้องได้ แทบจะดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ
“ต่อให้มีผู้คนนึกถึงเขามากขึ้นอีก ส่วนใหญ่ก็คงเป็นแค่เทพเจ้า อานุภาพของมันไม่ยาวนานนักหรอก…”
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้เวลานานกว่ากระแสจิตปรารถนาจะมาถึง แต่เท่าที่ดูจากความเข้มข้นของมัน ก็พอดูออกว่าส่วนใหญ่มาจากนักรบระดับเทพเจ้า ถึงกระแสจิตปรารถนานี้จะช่วยเพิ่มขนาดของภาพลวงตาได้ แต่ความแข็งแกร่งก็ยังมีน้อย และไม่น่าจะคงรูปอยู่ได้นานนักเพราะอายุขัยของเทพเจ้านั้นสั้นนิดเดียว
ยังไม่ทันจะพูดจบ ภาพลวงตาที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หรือว่า…มันคือจิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้า?”
องครักษ์คนแรกถึงกับผงะ
ชายหนุ่มเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ทำไมถึงได้รับจิตปรารถนาจากราชันย์เทพเจ้า?
ฟึ่บ!
ภาพลวงตาขยายขนาดขึ้นอีก
“ราชันย์เทพเจ้า 2 คน?”
องครักษ์คนที่ 2 ก็จังงัง
“ราชันย์เทพเจ้าถึง 3 คนมอบจิตปรารถนาให้เขา…หมอนั่นเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำจริงๆหรือ?” องครักษ์คนแรกพึมพำด้วยริมฝีปากสั่นเทา
เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาเพิ่งคุยกันว่าภาพลวงตาของชายหนุ่มคงสลายตัวไปภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับกระแสจิตปรารถนามากมายจากนักรบระดับเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วน แถมด้วยราชันย์เทพเจ้าถึง 3 คน?
ภาพลวงตาใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจนมีขนาดเท่ามนุษย์
สององครักษ์มองหน้ากัน ตัวสั่นไม่หยุดราวกับได้เห็นบางอย่างที่สุดแสนจะเหลือเชื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าคำพูดจะหลุดออกจากปากของทั้งคู่
“นั่นมัน…จิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ?”
อันที่จริง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็คือราชันย์เทพเจ้า
ความแตกต่างของทั้งคู่อยู่ที่เกียรติยศและการได้รับความยำเกรง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมีอำนาจของสรวงสวรรค์และจอมราชันย์ ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่กว่าราชันย์เทพเจ้าทั่วไป
ทั้งคู่เหลื่อมล้ำกันในระดับที่ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งยืนอยู่นิ่งๆ ราชันย์เทพเจ้าก็ไม่อาจสังหารเขาได้
นี่คืออำนาจและพละกำลังที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้ จึงมีแต่กลุ่มอำนาจที่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอยู่ด้วยเท่านั้นที่อยู่ยั้งยืนยง หากเป็นกลุ่มอำนาจชั้นนำ ก็จะรุ่งเรืองอยู่ได้หลายพันปี
ผู้ที่จะได้จิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเดียวกัน หรือไม่ก็จอมราชันย์เท่านั้น!
ช่างเหลือเชื่อที่ชายหนุ่มคนนี้ได้รับจิตปรารถนาจากราชันย์เทพเจ้าถึง 3 คน และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีก 1 คน…เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ใช่เทพเจ้าสวรรค์สร้างธรรมดา แต่เป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสรวงสวรรค์?
“ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ก็ไม่ใช่คนที่พวกเราควรซุบซิบนินทา!” องครักษ์คนแรกพูดออกมาขณะที่ฟันกระทบกันกึกกัก
เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เขาคิดว่าชายหนุ่มเป็นคนขี้ขลาด และถึงกับดูถูกอีกฝ่ายด้วย แต่ก็เห็นชัดแล้วว่าเขาด่วนสรุปเกินไป โลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่อยู่เหนือความเข้าใจของเขา
“เขาชื่ออะไร?” องครักษ์คนที่ 2 ตั้งคำถาม
องครักษ์คนแรกอึ้งไป เขาเค้นหัวสมองอยู่สักครู่ แต่พบว่าจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของอีกฝ่าย
“ผมก็ไม่รู้!”
เขาเดาว่าชายหนุ่มคงเป็นแค่นายน้อยผู้มั่งคั่งจากตระกูลผู้มีอิทธิพลสักตระกูลหนึ่ง จึงไม่ใส่ใจจะถามชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย คิดเอาเองว่าไม่ช้าภาพลวงตาของชายหนุ่มก็คงหายไป ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องจดจำชื่อของชายหนุ่มไว้
ไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
“วันนี้น่ะเราควรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าปากสว่างไปล่ะก็ อาจมีคนไม่พอใจก็ได้…” องครักษ์คนที่ 2 พูด
“ใช่ เราควรทำแบบนั้นแหละ” องครักษ์คนแรกพยักหน้า
หากพวกเขาพูดพล่ามในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ก็รังแต่จะสร้างปัญหาใส่ตัว อาจถึงกับหัวหลุดจากบ่าก็ได้
ทันทีที่ออกจากสระบาดาล จางเซวียนพลันรู้สึกว่าตัวเขาได้รับกระแสจิตปรารถนา ทำให้วรยุทธของจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กระบวนการคิดอ่านของเขาก็รวดเร็วขึ้น วรยุทธของจิตวิญญาณที่เป็นระดับเทพเจ้าขั้นต่ำส่ออาการว่ากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธ
“ได้ผลจริงๆ!” จางเซวียนตาโตด้วยความดีใจ
ถ้าเขาฝึกฝนวรยุทธตามวิธีการทั่วไป คงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณจนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง แต่ด้วยความเร็วระดับนี้ เพียงไม่กี่เดือนก็คงทำได้!
พูดอีกอย่างก็คือ การทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลทำให้เขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่า
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่นานก็คงยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้ถึงระดับราชันย์เทพเจ้า
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่จัวเฟิงแนะนำวิธีนี้ มันได้ผลดีกว่าที่คิดไว้มาก
แถมเขายังไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย ตอนนี้ก็มอบหมายงานให้คนอื่นๆแล้ว ที่เหลือก็คือ เฝ้ารอให้กระแสจิตปรารถนาจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้ามา ช่วงนี้ก็นั่งนอนอย่างสบายใจได้
นอกเหนือจากการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ จางเซวียนยังแวะไปเยือนสภาปรมาจารย์เพื่อเปิดการบรรยายและถ่ายทอดความรู้ให้คนที่นั่น
การบรรยายของเขาได้รับความนิยมคลั่งไคล้จากบรรดาลูกศิษย์ แต่ก็ยังไม่ได้หน้าหนังสือสีทองมา
เป็นอย่างที่จางเซวียนเคยคิดไว้ เพราะวัฒนธรรมของสภาปรมาจารย์ยังไม่ถูกฝังรากลึกในสรวงสวรรค์ ความเคารพและการยอมรับในตัวครูบาอาจารย์จึงมีไม่มาก
สิ่งที่เกิดขึ้นกับจัวเหยียนและจัวเฟิงถือเป็นข้อยกเว้นเพราะสถานการณ์ที่แปลกประหลาดของพวกเขา แต่โดยรวม การจะได้หน้าหนังสือสีทองในสรวงสวรรค์มีความยากกว่ากันมาก
แต่ก็นั่นแหละ ถึงจางเซวียนจะไม่ได้หน้าหนังสือสีทอง แต่ก็สร้างชื่อเสียงได้ไม่น้อย เมื่อจำนวนผู้คนที่เกิดความสำนึกในบุญคุณต่อเขามีมากขึ้น ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ในวันที่ 5, วรยุทธของจิตวิญญาณของเขาเพิ่มจากเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง
เขารีบสั่งการให้ฉีหลิงเอ๋อนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงบางส่วนมาให้ ไม่ช้าวรยุทธของพลังปราณของจางเซวียนก็เพิ่มสูงขึ้นจนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง ทัดเทียมกับวรยุทธของจิตวิญญาณ
ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงคือทรัพยากรที่ใช้กันเฉพาะในหมู่ราชันย์เทพเจ้า นักรบทั่วไปไม่อาจเอื้อมถึง แต่เมื่อได้รับคำอนุมัติให้ ‘เดินหน้า’ จากหัวหน้าตระกูลและบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลฉี ฉีหลิงเอ๋อก็มีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่เข้าถึงยากเย็นนี้อย่างง่ายดาย อีกทั้งเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก
7 วันผ่านไปราวกับติดปีก
“ในจำนวนยาเม็ดเพิ่มความงาม 10,000 เม็ด ตระกูลฉีซื้อไป 1,000 เม็ด และฉันก็ขายได้อีก 6,000 เม็ด แต่ฉันเชื่อว่าตลาดของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนถึงจุดอิ่มตัวแล้วล่ะ หลังจากนี้คงขายไม่ได้แล้ว” ฉีหลิงเอ๋อรายงาน
ด้วยราคาสูงลิ่วของยาเม็ดเพิ่มความงาม แม้มันจะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์ในแง่ของความสวยงามและระดับวรยุทธ แต่จำนวนผู้คนที่ซื้อหามันได้ก็มีน้อยมาก
“เท่านั้นก็ดีกว่าที่ผมคิดไว้แล้วล่ะ” จางเซวียนตอบ
เขาพอใจการปฏิบัติงานของฉีหลิงเอ๋อมาก เธอนำยาเม็ดเพิ่มความงามเข้าสู่ตลาดได้เร็วกว่าที่คิดไว้ ทั้งยังขายดิบขายดีโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน
ด้วยสนนราคาเม็ดละ 1,500 เหรียญสวรรค์ มูลค่าของยาเม็ดเพิ่มความงาม 7,000 เม็ดถือเป็นจำนวนเงินที่ทำให้ใครๆอ้าปากค้างเลยทีเดียว – 10,500,000 เหรียญสวรรค์!
ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน มีกลุ่มอำนาจไม่ถึง 20 กลุ่มที่มีทรัพย์สินมากมายระดับนั้น
พูดง่ายๆก็คือ ภายในเวลาเพียง 7 วัน จางเซวียนเปลี่ยนสภาพจากคนหน้าใหม่กระเป๋าแฟบ กลายเป็น 1 ใน 20 นักรบที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!