2 ปีที่แล้ว…ฝงจิ่วเกอคืออัจฉริยะชั้นนำในหมู่สมาชิกรุ่นเยาว์ คือผู้ที่ถูกมองว่ามีศักยภาพมากพอที่จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าในอนาคต จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา แม้แต่ฝงเจียงเองก็ยังต้องก้มหัวให้เมื่อเผชิญหน้ากับฝงจิ่วเกอ ไม่กล้าแสดงความกระด้างกระเดื่อง
ฝงเจียงไม่คิดว่าเจ้าขยะที่แสนจะไร้ค่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจะกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง เขาแทบไม่อาจยอมรับสถานการณ์แบบนี้ได้
“คุณอยากตรวจสอบสายเลือดอีกครั้ง?” ฝงเจียงหัวเราะลั่น “คิดว่าการตรวจสอบสายเลือดของพวกเราเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไง? ใครหน้าไหนจะมาทดสอบก็ได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ อย่างนั้นหรือ?”
การทดสอบสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไม่ใช่ของราคาถูก สมาชิกสายตรงส่วนใหญ่มีโอกาสเข้ารับการทดสอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชั่วชีวิตของพวกเขา ซึ่งก็เป็นเพราะเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับฝงจิ่วเกอที่ทำให้เขาได้รับการทดสอบถึง 2 ครั้ง แต่ถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังอยากจะเข้ารับการทดสอบอีก
เขาคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับเมื่อ 2 ปีก่อนหรือไง ที่นึกอยากทำอะไรก็ทำได้ตามใจ?
“ผมมีเงินจ่าย!” ฝงจิ่วเกอตอบอย่างเย็นชา
แม้วรยุทธของเขาจะถดถอยอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ชื่อเสียงที่มีมาแต่เดิมก็ทำให้เขามีเงินเก็บไม่น้อย ถึงจะไม่มากนักหากเปรียบเทียบกับจางเซวียน แต่ก็มากพอจะจ่ายค่าทดสอบ
“คุณจะควักเนื้อจ่ายเอง?” ฝงเจียงคำรามขณะพยายามเค้นหัวสมองเพื่อหาเหตุผลยับยั้งฝงจิ่วเกอ เขารู้สึกสังหรณ์ใจว่าเรื่องแปลกๆจะต้องเกิดขึ้นแน่หากปล่อยให้ฝงจิ่วเกอทำตามต้องการ
ในตอนนั้นเอง ฝงเจียงพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาเหยียดริมฝีปากเยาะ “เอาเถอะ ถึงอย่างไรคุณก็เคยเป็นสมาชิกสายหลักของตระกูลของเรา พวกเราควรให้โอกาส ผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไปให้ได้เสียก่อนสิ ถ้าคุณผ่านมันไปได้ พวกเราจะยอมให้คุณกลับเข้าตระกูลและเข้ารับการทดสอบ แต่ถ้าไม่…ผมก็เกรงว่าพวกเราคงช่วยอะไรไม่ได้!”
“ใช่ แบบนั้นน่ะถูกแล้ว! ผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ให้ได้เสียก่อน แล้วพวกเราจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง!”
“คุณก็ได้พละกำลังกลับคืนมาแล้วไม่ใช่หรือ? พิสูจน์สิ ขอแค่คุณผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไปได้ พวกเราก็จะยอมรับคุณ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ โทษตัวเองก็แล้วกันที่ไม่เอาไหน!”
ฝูงชนที่ออกันอยู่ตรงนั้นพากันหัวเราะลั่นขณะเฝ้าดูฝงจิ่วเกอถูกเย้ยหยัน
“ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์…” ฝงจิ่วเกอหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น
“แหม! ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ? ไม่มั่นใจว่าจะฝ่าค่ายกลได้หรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ พวกเราจะถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความพยายามลบหลู่เกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟนะ พวกเรา! จับเขาไว้และนำตัวไปที่หอสอบสวน เราจะต้องค้นหาแรงจูงใจที่แท้จริงของเขาให้ได้!” ฝงเจียงออกคำสั่งพร้อมกับโบกมืออย่างวางมาด
“ได้!” ชายหนุ่ม 4 คน ก้าวออกมาจากฝูงชนทันที
“ไปกันเถอะ นายน้อยจิ่วเกอที่รัก!”
“ต่อให้คุณได้วรยุทธกลับคืนมา แต่หากไม่มีสายเลือดของพวกเรา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบพเนจร คิดว่าทุกอย่างจะหวนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนเพียงเพราะคุณได้วรยุทธกลับคืนมาหรือไง?”
ฝงจิ่วเกอไม่ใช่คนจิตใจชั่วร้าย แต่เพราะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย จึงเป็นธรรมดาที่จะหลงตัวเองและเย่อหยิ่ง อีกทั้งยังไม่มีใครกล้าติติงหรือพูดกับเขาตรงๆ สิ่งนี้ทำให้เขาดูถูกดูหมิ่นเพื่อนรุ่นเดียวกันมาตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับคนอื่นๆในตระกูลจึงไม่ดีนัก
“ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์คืออะไร?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ท่านอาจารย์ ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์เป็นหนทางเดียวที่เหล่าสมาชิกที่ถูกขับออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไปแล้วจะได้การยอมรับกลับเข้าสู่ตระกูลอีกครั้ง มันคือค่ายกลที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของ 9 ผู้เชี่ยวชาญในตระกูลของเรา ผู้เข้าท้าทายค่ายกลจะต้องเอาชนะทั้ง 9 คนให้ได้เพื่อให้ผ่านการทดสอบ” ฝงจิ่วเกอตอบด้วยสีหน้าที่ออกจะซีดเซียว
“ตลอดสามพันปีของประวัติศาสตร์ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟของเรา ในบรรดาสมาชิกที่ถูกขับออกจากตระกูลไปแล้ว มี 317 คนกลับมาท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ แต่ลงท้าย ก็ผ่านการทดสอบไปได้เพียง 3 คนเท่านั้น ส่วนที่เหลือ…เสียชีวิต!”
“พวกเขาตายหมดหรือ?” จางเซวียนผงะ
จาก 300 คน มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบไปได้ นั่นเท่ากับมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จเพียง 1%
แม้สมาชิกเหล่านั้นจะถูกขับออกจากตระกูลแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีสายเลือดเดียวกันกับสมาชิกคนอื่นๆ ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องโหดร้ายถึงขนาดนั้น
“โดยส่วนใหญ่ ผู้ที่ถูกขับออกจากตระกูลมักทำความผิดร้ายแรงที่สมควรแก่การถูกลงโทษ แทบไม่มีใครได้การต้อนรับเมื่อกลับมา ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จึงมักถูกมองอย่างเป็นปฏิปักษ์ การทดสอบเป็นไปอย่างรุนแรง ไม่มีการยั้งมือ ซึ่งพวกเขาก็ใช้วิธีการตอบโต้อย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเลเช่นกัน…”
“ถ้าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์อันตรายขนาดนั้น แถมยังไม่มีใครในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเต็มใจต้อนรับเมื่อพวกเขากลับมา…ทำไมถึงยังมีคนยอมเข้าท้าทายทั้งๆที่แสนจะเสี่ยง?” จางเซวียนถาม
ในความเห็นของเขา ช่างเลวร้ายสิ้นดีที่ผู้กล้าเผชิญอันตรายระดับนั้นจะกลายเป็นคนที่ใครๆในตระกูลพากันรังเกียจเดียดฉันท์
หากไม่มีใครเต็มใจยอมรับ การใช้ชีวิตในโลกภายนอกก็น่าจะง่ายกว่ามาก ซึ่งหากคนเหล่านั้นเก่งกาจพอจะผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไปได้ อยู่ที่ไหนก็คงสบายได้ไม่ต่างกัน
ฝงจิ่วเกอส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ การท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์มีเหตุผลล้ำลึกกว่านั้น สำหรับผู้เข้าท้าทาย ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านการทดสอบหรือไม่ ศพของพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ฝังไว้ในหลุมศพบรรพบุรุษ เรื่องนี้อาจดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่นั่นหมายความว่าเหล่าทายาทของเขาจะมีโอกาสกลับคืนสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟด้วย พูดอีกอย่างก็คือ หากพวกเขาไม่พยายามเข้ารับการทดสอบ ก็หมายความว่าจะถูกตัดออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไปตลอดกาล!”
ได้ฟังคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า
ใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงสู่พื้น
ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาจะกลับคืนสู่รากเหง้าของตัวเองหลังจากความตาย อีกทั้งเรื่องนี้ยังหมายถึงอนาคตของเหล่าทายาทของพวกเขาด้วย
“ด้วยเหตุนี้ ผู้เข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ส่วนใหญ่จึงมักเป็นผู้ที่ใกล้สิ้นสุดอายุขัยแล้ว พูดง่ายๆก็คือ พวกเขายินยอมพร้อมใจที่จะตายในการทดสอบ ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จึงมีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกขานกัน มันคือค่ายกลฆ่าตัวตาย!”
ฝงจิ่วเกอมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งขรึม “การยื่นเงื่อนไขให้ผมเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งผมไปตาย”
เขาอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น ยังมีชีวิตยาวไกลรออยู่ข้างหน้า ถือว่าไม่เหมาะสมเลยหากจะเข้าท้าทายค่ายกลในสภาวะแบบนี้
“คู่ต่อสู้ที่เราจะต้องเจอมีความแข็งแกร่งขนาดไหน?” จางเซวียนถาม
“ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ประกอบด้วยนักรบ 9 คน ถึงค่ายกลจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าก็คือพละกำลังของนักรบทั้ง 9”
“พวกเขาจะมีวรยุทธระดับเดียวกันกับผู้เข้าท้าทาย เป็นการต่อสู้แบบเก้ารุมหนึ่ง เรามีสายเลือดเดียวกันก็จริง แต่พวกเขาได้รับการเสริมกำลังจากค่ายกล แล้วผู้เข้าท้าทายจะผ่านการทดสอบได้อย่างไร?” ฝงจิ่วเกอร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง
ส่วนจางเซวียนกลับหัวเราะลั่น
เขากำลังสงสัยอยู่ว่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จะน่าสะพรึงขนาดไหน แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ขนาดค่ายกลประตูมังกรที่เจิ้งหยางต้องผ่านไปให้ได้เพื่อให้ได้รับตำแหน่งยอดขุนพลก็ยังยากเย็นกว่านี้หลายเท่า!
ค่ายกลประตูมังกรที่เจิ้งหยางเคยผ่านประกอบด้วยส่วนหาง ส่วนลำตัว และส่วนหัวของมังกร ซึ่งในแต่ละขั้นตอนของการทดสอบ เจิ้งหยางจะต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเขาต้องเอาชนะทุกคนให้ได้เพื่อให้ผ่านบททดสอบ
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ยังอ่อนด้อยกว่ามาก
แน่นอนว่าลำพังตัวค่ายกลก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว แต่หากผู้เข้าท้าทายใช้ค่ายกลเป็นเครื่องเสริมกำลังให้ตัวเองได้ การต่อสู้ก็จะง่ายขึ้นอีกมาก
ค่ายกลทุกอันมีจุดอ่อนของมัน แค่หาให้พบและเล่นงานได้ตรงจุด ก็จะกลายเป็นเครื่องเสริมพละกำลังได้อย่างดี ยิ่งค่ายกลมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ การเล่นงานจุดอ่อนต่างๆของมันก็จะยิ่งได้ผลกว่าเดิม
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝงเจียงจะต้องมีส่วนร่วมในค่ายกลด้วย เมื่อ 2 ปีก่อน แม้จะยังมีช่องว่างในประสิทธิภาพการต่อสู้ของเราสองคนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป ซึ่งระหว่างที่วรยุทธของผมถดถอย ตัวเขาฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่ทางตระกูลมอบให้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด ด้วยเหตุนี้ การที่ผมจะเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้แบบทั่วไปก็ยากพออยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการเผชิญหน้ากับค่ายกลที่มีตัวเขากับคู่ต่อสู้อีก 8 คนที่แข็งแกร่งพอๆกัน…” น้ำเสียงของฝงจิ่วเกอแสนจะสิ้นหวัง
เขาไม่คิดว่าจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธใดๆจากทางตระกูลเลย ด้วยเหตุนี้ แม้ตอนนี้จะได้วรยุทธกลับคืนมาแล้ว แต่ความก้าวหน้าของเขาก็ย่อมช้ากว่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
แถมฝงเจียงก็ยังไม่ใช่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับขั้นของพวกเขาด้วย
บอกได้เลยว่ารับประกันความตายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หากเขาตอบรับการเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์
เห็นความหวั่นไหวของฝงจิ่วเกอ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่าย “จิ่วเกอ คุณไว้ใจผมไหม?”
“แน่นอน!” ฝงจิ่วเกอพยักหน้า
ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ เขาคงต้องจมอยู่กับความหดหู่และสิ้นหวัง ท่านอาจารย์คือผู้มอบความหวังและชีวิตใหม่ให้เขา หากไม่ไว้ใจท่านอาจารย์ แล้วจะไว้ใจใคร?
“ถ้าคุณไว้ใจผม ตอบรับคำท้าของพวกเขาและเข้าไปเผชิญหน้ากับค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์เสีย” จางเซวียนพูด
“เราจะตอบตกลงเข้ารับการทดสอบหรือ?” ฝงจิ่วเกอผงะ “แต่นั่น…”
“วางใจน่ะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหรอก” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“ก็ได้…”
ฝงจิ่วเกอไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร แต่เห็นความมั่นอกมั่นใจของท่านอาจารย์ ลงท้ายเขาก็พยักหน้า
ฝงจิ่วเกอโบกมือเพื่อยับยั้งชายหนุ่มสองคนที่กำลังเดินตรงเข้าหา “ผมตกลง ผมจะท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์!”
“คุณจะท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์?”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง
แม้แต่ฝงเจียงก็ยังคิดว่าตัวเองหูฝาด “คุณแน่ใจนะ?”
เขาคือผู้ยื่นข้อเสนอ แต่ไม่เคยคิดว่าฝงจิ่วเกอจะยอมรับเงื่อนไขเหลวไหลแบบนี้