แม้เหล่านักรบในสรวงสวรรค์จะมีความจำเป็นเลิศ แต่ก็ไม่มีทางจดจำอาการป่วยที่นับถอยหลังไปหลายพันปีได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีทางพบบันทึกการรักษาโรคของคนไข้ทุกคนที่มีอยู่ในศิลาจารึกอาการได้เช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้การคดโกงแทบจะเป็นไปไม่ได้
“หลังจากจบขั้นตอนการวินิจฉัย คุณจะต้องบันทึกข้อสันนิษฐานของคุณลงไป เมื่อเสร็จสิ้นการสังเกตอาการ การดมกลิ่น การซักถาม และการสัมผัสแล้ว คุณจะต้องสรุปวิธีการรักษาโรคและยื่นมันให้คนไข้ ถ้าวิธีการรักษาที่คุณเสนออยู่ในข่ายที่สามารถรักษาอาการป่วยของผู้นั้นได้ คนไข้เสมือนจริงก็จะมีอาการดีขึ้น แต่หากคุณวินิจฉัยผิดพลาด ผลลัพธ์ของความผิดพลาดนั้นก็จะถูกแสดงออกมา!”
จางเซวียนพยักหน้า
เขาเคาะศิลาจารึกอาการอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นอย่างที่ประธานเลี่ยวบอกไว้ คนไข้เสมือนจริงทั้ง 10 คนปรากฏตัวทันที
“ตอนนี้คุณก็รู้กติกาแล้ว เริ่มได้”
ประธานเลี่ยวยกมือ แล้วนายแพทย์ 2 คนก็นำกระดาษกับพู่กันมายื่นให้ทั้งคู่
ในฐานะนายแพทย์ การสังเกตอาการของคนไข้คือขั้นตอนแรกในการวินิจฉัย ด้วยการเก็บข้อมูลเรื่องสีหน้า สภาวะ สีสัน และรูปแบบต่างๆ นายแพทย์จะสามารถทำการประเมินเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการป่วยที่ปรากฏได้
เห็นประธานเลี่ยวเดินเข้าหาคนไข้ที่อยู่ซ้ายสุด จางเซวียนรีบเดินไปหาคนไข้ด้านขวาสุด
ด้วยการมองเพียงแวบเดียว จางเซวียนก็สรุปอาการได้ด้วยความมั่นใจราว 80-90 เปอร์เซ็นต์
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังตัดสินใจพึมพำ ‘ข้อบกพร่อง!’
ฟึ่บ!
หนังสือ 10 เล่มปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้าทันที
ถึงจางเซวียนจะมั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง แต่ก็อยากให้แน่ใจเต็มที่ จึงใช้ความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อตรวจสอบการวินิจฉัยของเขาอีกครั้ง
ผลการประลองนายแพทย์จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดและได้พบหลัวลั่วชิง เขาไม่อยากเสี่ยงกับการพ่ายแพ้การประลองและสูญเสียเวลาอันมีค่า
แม้คนไข้ทั้งสิบที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นแค่ภาพเสมือนจริง แต่จางเซวียนก็ประมวลการวิเคราะห์อาการของคนเหล่านั้นได้ผ่านค่ายกลที่ใช้ปล่อยภาพออกมา หลังจากกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่าการวินิจฉัยของเขาถูกต้อง
เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการรักษาโรคอย่างจริงจังอีกเลยตั้งแต่มาถึงสรวงสวรรค์ แต่เมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เคยเจออาการป่วยแปลกประหลาดมากมายและรักษาอาการเหล่านั้นได้โดยไม่ยากเย็นอะไร ความเข้าใจของจางเซวียนที่มีต่อร่างกายมนุษย์และการใช้สมุนไพรอยู่ในระดับที่เหนือกว่านายแพทย์ส่วนใหญ่จะเข้าถึง
ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคคือสภาวะร่างกายที่แตกต่างกันระหว่างเทพเจ้ากับนักรบทั่วไป ขอแค่เขาทำความเข้าใจจุดนี้ได้ ก็จะใช้ความรู้ที่มีอยู่มากมายในหัวรักษาคนไข้ได้สำเร็จ
จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและใช้เวลาเรียบเรียงความคิดครู่หนึ่งเพื่อหากระบวนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นก็รีบเขียนลงไป
“เอาล่ะ ผมทำเสร็จแล้ว” จางเซวียนพูดยิ้มๆ
“อะไรนะ? คุณทำเสร็จแล้ว?”
“จริงหรือ? การประลองนายแพทย์เพิ่งเริ่มได้ไม่ถึง 10 นาทีเอง อีกอย่าง คุณยังไม่ได้ใช้การวินิจฉัยขั้นอื่นๆเลย แต่ก็ระบุวิธีการรักษาเสียแล้ว!”
คุณล้อเล่นแล้วล่ะ! การวินิจฉัยคนไข้สิบคนโดยได้ข้อสรุปรวดเร็วขนาดนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?
ทุกคนชะงัก
ว่ากันว่านายแพทย์จะต้องสู้รบกับเวลาอยู่เสมอเพื่อยื้อยุดฉุดกระชากคนไข้ของพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของความตาย แต่นั่นแหละ ก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่นายแพทย์สักคนจะวินิจฉัยและรักษาโรคที่มีอาการซับซ้อนถึง 10 โรคได้ภายในไม่ถึง 10 นาที!
แน่ใจนะว่าไม่ได้หลอกพวกเรา?
ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองประธานเลี่ยวว่ากำลังทำอะไร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงหน้าคนไข้คนแรก เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการสอบถามอาการและกำลังจะจับชีพจร
เขาอ่านการเต้นของชีพจรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาและเขียนอาการป่วยพร้อมกับวิธีการรักษาลงไป
เมื่อเขียนเสร็จ ประธานเลี่ยวถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปหาคนไข้คนที่ 2
ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้สึกว่าจางเซวียนไม่ได้ลงมือทำอะไร เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเร่ง “อย่ารีรอน่ะ ถ้าผลการวินิจฉัยของเราออกมาในทิศทางเดียวกัน จะต้องตัดสินกันที่เวลานะ!”
ก่อนหน้านี้ เขาหมกมุ่นกับการวินิจฉัยคนไข้จนไม่ได้ใส่ใจการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม
ทันทีที่พูดจบ ประธานเลี่ยวกำลังจะหันกลับไปสนใจคนไข้คนที่ 2 ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่านายแพทย์ทุกคนในห้องนั้นมองเขาด้วยสีหน้าอึ้งตะลึง ไม่มีใครพูดสักคำ
“มีอะไร?” ประธานเลี่ยวถาม
“ประธานเลี่ยว, นักปรุงยาจางเสร็จสิ้นการวินิจฉัยและบันทึกวิธีการรักษาคนไข้ครบทุกคนแล้ว คุณนั่นแหละคือคนที่ต้องรีบ…”
รองประธานหวังตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“เขาบันทึกวิธีการรักษาเสร็จแล้ว?” ประธานเลี่ยวถึงกับผงะ
เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการวินิจฉัยคนไข้คนแรก แต่คู่ต่อสู้ระบุวิธีการรักษาคนไข้ทั้ง 10 คนครบแล้ว…
ประธานเลี่ยวสายหน้าขณะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยในตัวชายหนุ่ม
การวินิจฉัยคนไข้ไม่ใช่แค่การซักถามข้อมูล มันคือการเจาะลึกทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นอายุ พละกำลัง สถิติด้านสุขภาพ หรืออาการแพ้ยา จากนั้นก็ประมวลเป็นภาพรวมที่สมบูรณ์ของคนไข้แต่ละคน หากละเลยปัจจัยข้อใดข้อหนึ่งไป อาจทำให้โรคร้ายบานปลายเกินจะควบคุม ชีวิตของคนไข้จะตกอยู่ในความเสี่ยง
ในความเห็นของเขา เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีที่ใครสักคนจะระบุวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้โดยไม่ผ่านการวินิจฉัยทั้ง 4 ขั้นตอน ความโอหังแบบนี้อาจทำให้คนไข้ต้องเสียชีวิต!
ประธานเลี่ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะบอกตัวเองว่าจะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กับชายหนุ่มให้ได้ จากนั้นก็ขยับเข้าหาคนไข้คนต่อไป
รวมแล้ว ประธานเลี่ยวใช้เวลา 2 ชั่วโมงเต็มๆกว่าจะวินิจฉัยคนไข้ครบทั้ง 10 คนและระบุวิธีการรักษาได้ครบถ้วน
เขานวดหว่างคิ้วด้วยความอ่อนล้าก่อนจะยื่นกระดาษคำตอบ
“มาตรวจสอบกัน!”
รองประธานหวังหยิบกระดาษคำตอบของประธานเลี่ยวก่อน ทุกคนในห้องพากันชะเง้อดูว่าในนั้นเขียนว่าอะไร
“…น่าจะเป็นอาการระบบแปรปรวน”
นี่คือข้อสันนิษฐานแรกที่เขาได้หลังจากวินิจฉัยคนไข้คนที่ 1
รองประธานหวังพลิกดูกระดาษคำตอบแผ่นที่ 2 และ 3 ซึ่งระบุการวินิจฉัยที่ได้จากการดมกลิ่นและการซักถาม ซึ่งคำตอบก็เป็นแบบเดียวกัน
แต่ในกระดาษคำตอบแผ่นที่ 4 ซึ่งประธานเลี่ยวเขียนไว้หลังจากจับชีพจรคนไข้ เขายกเลิกการวินิจฉัยก่อนหน้าและระบุใหม่ “ไม่ใช่อาการระบบแปรปรวน แต่เป็นอาการขวัญผวายามวิกาล, วิธีรักษา…”
อาการระบบแปรปรวนเป็นโรคที่กัดกร่อนทำลายจิตวิญญาณ คนไข้จะทุกข์ทรมานจากการฝันร้ายทุกค่ำคืนราวกับถูกภูตผีปีศาจหลอกหลอน เมื่อเวลาผ่านไป จิตวิญญาณของพวกเขาจะหมดพลังลงไปเรื่อยๆ นำมาซึ่งความเศร้าซึมและวิตกกังวล
อันที่จริง อาการระบบแปรปรวนเป็นแค่ผลข้างเคียงที่เกิดกับจิตวิญญาณของนักรบ เป็นความบอบช้ำที่มีสาเหตุจากการที่วรยุทธของผู้นั้นถูกธาตุไฟเข้าแทรก หากนักรบฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณเสียใหม่และพยายามหลีกเลี่ยงความเครียดและความกดดัน อาการนั้นก็จะหายไป
อาการที่กล่าวมาแทบจะเหมือนกันเป๊ะกับสิ่งที่คนไข้ต้องเผชิญเมื่อเกิดอาการขวัญผวายามวิกาล ความแตกต่างข้อเดียวก็คือ อาการระบบแปรปรวนจะเกิดขึ้นขณะที่คนไข้นอนหลับและไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงถึงตาย ขณะที่อาการขวัญผวายามวิกาลจะเกิดเมื่อคนไข้หลับลึกเท่านั้น และเมื่อเกิดอาการนี้ ก็มีโอกาสที่คนไข้จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
ด้วยการสังเกตอาการ การดมกลิ่น และการซักถาม ข้อมูลที่นายแพทย์คนหนึ่งจะได้จากคนไข้ที่เผชิญกับ 2 โรคนี้แทบจะเหมือนกันทุกข้อ เว้นเสียแต่จะได้จับชีพจรและรับรู้ถึงกระแสความสั่นสะเทือนของพลังงานที่ต่างกัน ไม่อย่างนั้นก็แทบแยกแยะความแตกต่างไม่ได้
“เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ” รองประธานหวังพยักหน้า
ในกระบวนการวินิจฉัย ขั้นแรก, คือการสังเกตอาการ ย่อมเพียงพอต่อการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น การสังเกตอาการไม่อาจทำให้ได้ข้อมูลมากพอที่จะระบุอาการป่วยให้แน่ชัด สำหรับนายแพทย์ส่วนใหญ่ พวกเขาจะตัดสินใจได้เมื่อเสร็จสิ้นการวินิจฉัยขั้นที่ 4
ประธานเลี่ยวใช้วิธีนี้ระบุสาเหตุของอาการป่วยและปัจจัยหลักที่ต้องแก้ไข
รองประธานหวังถือกระดาษคำตอบที่มีรายละเอียดของการรักษา เขาเดินไปหาคนไข้คนแรกแล้ววางกระดาษลงในมืออีกฝ่าย
วิ้งงงง!
ครู่ต่อมา ราวกับได้กินยารักษา ผิวพรรณและจิตวิญญาณของคนไข้เสมือนจริงค่อยๆฟื้นตัว
มีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะเกิดภาพแบบนี้ได้ คือวิธีการรักษานั้นได้ผล!
ประธานเลี่ยวลูบคางอย่างพอใจ
เนิ่นนานหลายปีแล้วตั้งแต่เขาเข้าร่วมการประลองนายแพทย์ครั้งล่าสุด แต่ดูเหมือนสนิมจะยังไม่เกาะ เขารักษาคนไข้คนแรกได้อย่างไร้ที่ติ
รองประธานหวังหันไปมองจางเซวียน
เขาอยากรู้ว่าคำตอบที่ชายหนุ่มเขียนไว้ตั้งแต่เวลายังผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีนั้นคืออะไร
จางเซวียนยิ้มและยื่นกระดาษคำตอบให้
รองประธานหวังรับกระดาษมา แต่เมื่อเห็นก็ขมวดคิ้ว
ทุกคนรีบชะเง้อมอง แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเช่นกัน
“ไม่มีอาการป่วยระบุไว้เลย?”
“เขาวินิจฉัยคนไข้ไม่ได้หรือ?”
“แต่ทำไมถึงเขียนวิธีการรักษาไว้ล่ะถ้าวินิจฉัยอะไรจากคนไข้ไม่ได้?”
“ผมก็ไม่รู้…”
ในกระดาษแผ่นนั้นคือรายชื่อสมุนไพร แต่ไม่มีการระบุอาการป่วยของคนไข้คนแรกไว้
“แถมใบสั่งยาที่เขาเขียนก็ดูจากต่างกับของประธานเลี่ยวนิดหน่อย…”
“นิดหน่อยที่ไหน? มันคือสมุนไพร 2 ชุดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะ!”
“แต่ใบสั่งยาของประธานเลี่ยวถูกต้องนี่ ใช่ไหม? ในเมื่อใบสั่งยาของนักปรุงยาจางต่างกันอย่างสิ้นเชิง ก็หมายความว่าเขาทำไม่สำเร็จ?”
ถึงตอนนี้ ทุกคนในห้องพากันลงความเห็น
ชายหนุ่มเป็นแค่นักปรุงยาจริงๆ เขาไม่รู้อะไรเลยเรื่องการวินิจฉัยและรักษาคนไข้
การที่เขาวินิจฉัยอาการของคนไข้ไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่…แม้ใบสั่งยาก็ยังไม่ถูกต้อง โชคดีที่เป็นแค่คนไข้เสมือนจริง ถ้าเป็นคนไข้ที่มีเลือดเนื้อจริงๆล่ะก็ ผลที่ตามมาคงย่ำแย่
“จำเป็นต้องพิจารณาต่อไหม?” รองประธานหวังเปรยอย่างหงุดหงิด
ในความเห็นของเขา จางเซวียนไม่มีความเป็นนายแพทย์สักนิด การประลองนายแพทย์ไม่ควรจะดำเนินต่อ
“คุณตัดสินว่าผมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้ทดสอบวิธีการรักษาของผมอย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“แล้วเท่านี้ยังไม่ชัดหรือไง?”
“ก็ทำไมคุณไม่ลองมอบวิธีการรักษาของผมให้คนไข้เสมือนจริงล่ะ แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ทำแบบนั้น คุณก็มีแต่จะอับอายขายหน้านะ แต่ถ้าคุณยืนกราน…” รองประธานหวังพึมพำอย่างจนปัญญาขณะเดินเข้าหาคนไข้เสมือนจริงและดึงวิธีการรักษาของประธานเลี่ยวออกไป