เมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามที่ท่านอาจารย์ของเขาวางแผนไว้ ในที่สุดฝงจิ่วเกอก็สลัดความหวาดกลัวทั้งหมดทิ้งไปและทุ่มเทพละกำลังที่เขามีอยู่ให้กับการต่อสู้
…..
ระหว่างนั้น นอกสังเวียนประลอง…
ที่อีกฟากหนึ่งของสังเวียนประลอง ห่างจากจุดที่จางเซวียนยืนอยู่ มีหอคอยสูงเสียดเมฆ ผู้อาวุโสหลายคนกำลังเฝ้ามองจากหน้าต่างของหอคอยนั้น
“ฝงจิ่วเกอได้วรยุทธกลับคืนมาแล้วจริงๆ และยินยอมพร้อมใจเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ด้วย ผมต้องบอกเลยว่าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะพัฒนาตัวเองได้ขนาดนี้” ผู้อาวุโสเคราสีเทาพูด
เขาคือผู้อาวุโสที่ 1 ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ, ฝงตั้นชิง
ก่อนหน้านี้ เขามีความคาดหวังสูงในตัวฝงจิ่วเกอ เคยคิดว่าชายหนุ่มคงจะเหมือนกับหัวหน้าตระกูล ที่สุดท้ายก็จะก้าวขึ้นไปจนมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าและขยายอาณาเขตอิทธิพลของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟให้กว้างไกลออกไปอีก
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจู่ๆ ศักยภาพทั้งหมดของชายหนุ่มก็จะหายวับไปแบบนั้น
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เขาเรียกตัวและขอคำปรึกษาจากเพื่อนสนิทมากมายที่เป็นนายแพทย์ แต่ไม่มีใครรักษาอาการของฝงจิ่วเกอได้ เพราะไม่มีทางเลือก จึงต้องขับไล่อีกฝ่ายออกไป
เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้อาวุโสที่ 1 มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบสมาชิกที่เหลือทุกคนในตระกูล
แต่ใครจะไปรู้ว่าฝงจิ่วเกอจะกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ได้ภายในเวลาไม่นานหลังจากที่ถูกขับออกจากตระกูล ไม่เพียงเท่านั้น ยังเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์อย่างมั่นใจด้วย
ภายในเวลาชั่วโมงเดียวที่ฝงจิ่วเกอหายไป เขาไปพบอะไรมา?
“ผมส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ดูเหมือนทันทีที่เขาออกจากตระกูล ก็ได้พบกับทายาทคนหนึ่งของตระกูลของเราที่ข้างนอกนั่น อีกฝ่ายรักษาอาการป่วยให้เขาและช่วยให้เขาฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ” ชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างฝงตั้นชิงตอบ
เขาคือผู้อาวุโสที่ 2, ฝงเทียนอวิ๋น
“ผมได้ยินว่าทายาทคนนั้นเอาชนะฝงเจียงในการต่อสู้ได้ด้วยหรือ?” ฝงตั้นชิงถาม
“ใช่ ผมได้ยินมาแบบนั้นแหละ ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนธรรมดา” ฝงเทียนอวิ๋นตั้งข้อสังเกต
“ฝงจิ่วเกอดูจะเปลี่ยนไปมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา โชคร้ายที่วรยุทธของเขาถดถอยลงเรื่อยๆโดยไม่มีสาเหตุ แต่นั่นก็ช่วยให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ต่อให้เขาฝ่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไม่สำเร็จ เขาก็ยังมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้กลับสู่ตระกูลของเราอยู่ดี” ฝงตั้นชิงลูบเคราขณะออกความเห็น
ฝงเทียนอวิ๋นก็พยักหน้า
ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ พวกเขาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตระกูลเหนือสิ่งอื่นใด จึงเป็นธรรมดาที่จะยินดีหากจะได้ฝงจิ่วเกอที่มีวรยุทธสมบูรณ์แบบแล้วกลับมา
เพียงแต่การถูกขับออกจากตระกูลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากมองในแง่เกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูล พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ใครเข้าและออกจากตระกูลได้ตามอำเภอใจเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ การทดสอบจึงต้องดำเนินต่อไป
แต่พวกเขาก็แอบคาดการณ์ไว้ว่าใครน่าจะชนะ
ฝงตั้นชิงรีบนับเวลาตั้งแต่ที่ฝงจิ่วเกอเข้าสู่ค่ายกลก่อนจะสั่งการ “การที่ฝงจิ่วเกอจะต้องเจอกับความยากลำบากสักหน่อยในการทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่บอกฝงชู่กับคนอื่นๆด้วยว่าเล่นงานเขาแค่เบาะๆ ให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็พอ อย่าทำอะไรที่เป็นการทำลายรากฐานและอาจส่งผลกระทบต่อวรยุทธของเขาในอนาคต!”
ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์คือค่ายกลที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลของพวกเขา ถึงขนาดที่แม้แต่ฝงตั้นชิงกับฝงเทียนอวิ๋นก็ไม่อาจแอบดูผ่านม่านหมอกเพื่อสอดส่องสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในได้
ค่ายกลอนุญาตให้ฝงชู่ ฝงหยวนเจิง ฝงชิงเหยียนและคนอื่นๆผนึกพละกำลังกันได้ ดังนั้น ต่อให้ฝงจิ่วเกอแข็งแกร่งกว่าเดิมอีก 3 เท่า ก็ไม่น่าจะมีโอกาส
เหตุผลเดียวที่ฝงตั้นชิงปล่อยให้การทดสอบดำเนินต่อไปก็เพื่อขัดเกลาบุคลิกและนิสัยของฝงจิ่วเกอ หวังว่าเขาจะละทิ้งความโอหังของตัวเองและมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักต่อไปในอนาคต
“ได้ ผมจะส่งข้อความไปเดี๋ยวนี้…” ฝงเทียนอวิ๋นพยักหน้า
ครู่ต่อมาก็ขมวดคิ้ว “พวกนั้นไม่ตอบ หรือว่า…ฝงจิ่วเกออ่อนแอเสียจนไม่อาจเอาตัวรอดผ่านขั้นตอนแรกของการทดสอบไปได้?”
ต่อให้พวกเขาอยากบ่มเพาะใครสักคน อย่างน้อยที่สุด ผู้นั้นก็จะต้องแข็งแกร่งพอที่จะอดทนรับการบ่มเพาะไหว ถ้าฝงจิ่วเกออ่อนแอเสียจนหมดสภาพตั้งแต่ยังไม่มีใครทันได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ก็คงต้องโทษตัวเขาเองที่ไม่เอาไหน
“ถูกฆ่าหรือ?” ฝงตั้นชิงขมวดคิ้ว เขารีบสั่งการ “หยุดค่ายกล!”
“ขอรับ!”
ฝงเทียนอวิ๋นกระดิกนิ้วและปล่อยกระแสพลังงานสายหนึ่งเข้าสู่ม่านหมอก
แม้ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จะดูเหมือนถูกนักรบทั้ง 9 ที่อยู่ด้านในควบคุมอยู่ แต่อันที่จริง กุญแจหลักอยู่ในมือของพวกเขา เหล่าผู้อาวุโสสามารถหยุดค่ายกลได้เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว
ครืนนนน!
บรรยากาศในสังเวียนประลองสั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนที่ม่านหมอกจะหายไป
“ถ้าฝงจิ่วเกอทนไม่ไหวแม้เพียง 3 นาที ผมก็คงต้องบอกว่า…ต่อให้เขาตายในการทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่…” ฝงเทียนอวิ๋นพึมพำ
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ สถานการณ์บนสังเวียนประลองก็ทำให้เขายืนตัวแข็ง
นัยน์ตาของฝงตั้นชิงแทบทะลุออกจากเบ้า
บนสังเวียนประลอง ฝงจิ่วเกอ…คนที่พวกเขาคิดว่าอาจเสียชีวิตไปแล้วกำลังไล่ล่าคู่ต่อสู้คนอื่นๆอย่างไม่ลดละ ขณะที่ฝงชู่กับคนอื่นๆที่เหลือได้แต่ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวขณะถอยกรูดครั้งแล้วครั้งเล่า…
“เป็นไปได้อย่างไร?” ฝงเทียนอวิ๋นพูดไม่ออก
ขนาดตัวเขาก็ยังมีพละกำลังไม่มากพอที่จะรับมือกับฝงชู่และคนอื่นๆ อันที่จริง ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็คงลำบากไม่น้อยหากจะต้องเอาชนะนักรบจำนวนมากขนาดนี้…
แล้วฝงจิ่วเกอใช้เวลานานแค่ไหนกัน?
5 นาที?
เพียงไม่ถึง 5 นาที นักรบทั้ง 9 ก็ถูกซ้อมยับถึงขนาดหวาดกลัวฝงจิ่วเกอและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน…
เกิดอะไรผิดปกติขึ้นที่นี่หรือเปล่า?
ฝงตั้นชิงก็งุนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
เขาแอบลงความเห็นในใจแล้วว่าฝงจิ่วเกอจะต้องพ่ายแพ้ยับเยินในการทดสอบครั้งนี้ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อมองสังเวียนประลอง ก็กลับกลายเป็นคู่ต่อสู้ของฝงจิ่วเกอที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนราวกับอีกฝ่ายคือปีศาจ
“พวกคุณทุกคน นั่งลงกับพื้น เงยหน้า และประกาศว่าพวกคุณพ่ายแพ้การต่อสู้แล้ว!”
“พวกเราแพ้แล้ว…”
ฝงชู่ ฝงเจียงกับคนอื่นๆที่ยังตัวสั่นลนลานทำตามคำสั่งทันที ใบหน้าของพวกเขาถูกชกจนบวมเป่ง แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
“ต้องแบบนั้นสิ!” ฝงจิ่วเกอพยักหน้าอย่างพอใจ
จากนั้น เขาก็กระโดดลงจากสังเวียนประลองและเดินไปหาจางเซวียนก่อนจะโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์ ผมผ่านการทดสอบแล้ว…”
ไม่มีคำไหนจะบรรยายความเคารพในตัวท่านอาจารย์ที่ฝงจิ่วเกอรู้สึกในเวลานั้นได้
เพราะการถ่ายทอดความรู้ของท่านอาจารย์ ตัวเขาจึงทำนายการโจมตีครั้งต่อไปที่จะเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังจับจุดอ่อนของค่ายกลได้ด้วย
ด้วยการเล่นงานจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เขาก็เอาชนะพวกนั้นได้สบายเหมือนอย่างที่อาจารย์บอกไว้
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากระยะไกล “ขอแสดงความยินดีด้วย, จิ่วเกอ คุณผ่านการทดสอบค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์แล้ว ผมขอต้อนรับคุณกลับเข้าสู่ตระกูลของเรา!”
จากนั้น ผู้อาวุโสที่ 1, ฝงตั้นชิง กับผู้อาวุโสที่ 2, ฝงเทียนอวิ๋นก็เดินเข้ามา
ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ฝงจิ่วเกอเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ
“ผู้อาวุโสที่ 1! ผู้อาวุโสที่ 2!” ฝงจิ่วเกอรีบประสานมือเพื่อทักทาย 2 ผู้อาวุโส
ทั้งคู่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองจางเซวียน “ผมได้ยินว่าคุณเป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลของเรา” ฝงตั้นชิงพูด
จางเซวียนประสานมือ “ใช่ ผมคือฝงเซวียน”
“ดี มาทดสอบสายเลือดของคุณพร้อมกับจิ่วเกอก็แล้วกัน ขอแค่ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของคุณเข้าถึงระดับที่กำหนดไว้ของสมาชิกสายนอก ผมก็จะมอบสิทธิพิเศษของสมาชิกสายหลักให้คุณทันที” ฝงตั้นชิงพูดต่อ
เท่าที่พวกเขารู้มา การเปลี่ยนแปลงของฝงจิ่วเกอจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับจางเซวียนคนนี้ อีกอย่าง ความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าฝงจิ่วเกอเลย
หากชายผู้นี้มีสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟจริงๆ พวกเขาก็คงโง่เง่าเต็มทีหากไม่คิดจะดูแลอัจฉริยะที่มีความปราดเปรื่องระดับเขา
หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสที่ 1 สะบัดข้อมือและนำหินก้อนกลมออกมาก้อนหนึ่ง
“เราเรียกของล้ำค่าชิ้นนี้ว่าหินสะท้อนฟีนิกซ์ ทดสอบสายเลือดได้แม่นยำยิ่งกว่าคลังสำรองเลือดเสียอีก” ฝงตั้นชิงอธิบาย “หากผู้ที่มีสายเลือดตระกูลนกฟีนิกซ์หยดเลือดของเขาลงไปบนหินก้อนนี้ นกฟีนิกซ์ไฟจะปรากฏบนผิวหน้าของมัน ยิ่งปรากฏชัดขึ้นเท่าไหร่ ก็แปลว่าสายเลือดของผู้นั้นมีความบริสุทธิ์มากขึ้นตามไปด้วย!”
“ผมเข้าใจ” ฝงจิ่วเกอพยักหน้าขณะรับหินสะท้อนฟีนิกซ์จากมือของผู้อาวุโสที่ 1
ในการทดสอบครั้งล่าสุด เขาพบว่าสายเลือดของเขาเหือดแห้งไปหมดแล้ว จึงถูกขับออกจากตระกูล ซึ่งก็อดกังวลไม่ได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
ฝงจิ่วเกอสูดหายใจลึกเพื่อระงับสติอารมณ์ ก่อนจะกัดนิ้วแล้วหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนหินสะท้อนฟีนิกซ์
วิ้งงงง!
เสียงกู่ร้องสดใสของนกฟีนิกซ์ไฟดังก้องไปทั่ว โครงร่างของนกฟีนิกซ์ไฟตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนก้อนหินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคมชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ทุกคนก็เห็นมันกระพือปีกขณะบินไปรอบๆผิวหน้าของหินก้อนนั้น มันดูสมจริงเสียจนดูพร้อมจะโผขึ้นสู่กลางอากาศได้ทุกขณะ
“ค่ายกลฟีนิกซ์, การหลอมรวมของเปลวไฟ…ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของคุณอยู่ในระดับ 8! ไม่เพียงแต่คุณจะได้สายเลือดกลับคืนมา ยังบริสุทธิ์กว่าเดิมด้วย!” ฝงตั้นชิงตกตะลึง
โดยรวมแล้ว สายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟมีทั้งหมด 10 ระดับ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา สายเลือดของพวกเขาเบาบางลงเรื่อยๆจนถึงขนาดที่แม้ผู้ที่มีสายเลือดเข้มข้นระดับ 3 ก็ถือว่าได้การยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลสายหลักแล้ว
ส่วนตระกูลสาขา เพราะการแต่งงานข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับอสูรเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ จึงมีสมาชิกตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟบางส่วนที่อยากจะใช้หินสะท้อนฟีนิกซ์ตรวจสอบสภาวะของพวกเขา
ฝงจิ่วเกอได้รับการทดสอบสายเลือดครั้งแรกตั้งแต่เขาถือกำเนิดได้ไม่นาน ในครั้งนั้น ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของเขาอยู่ในระดับ 6 ซึ่งนั่นก็เกินพอจะทำให้เขากลายเป็นสมาชิกแถวหน้าของตระกูลแล้ว
ใครจะไปรู้ว่าเขาจะทำลายสถิติทั้งหมดที่ผ่านมา และพุ่งพรวดไปได้ถึงระดับ 8?
ด้วยความบริสุทธิ์ระดับนี้ ถือว่าเขาคือผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นราชันย์เทพเจ้าในอนาคต!
“คือ…” ฝงจิ่วเกอก็ตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ได้
สายเลือดของเขาบริสุทธิ์กว่าเดิมเสียอีกหลังจากที่เขาได้มันกลับมา