และราวกับแค่นั้นยังน่าสะพรึงไม่พอ จางเซวียนยังมีผู้นั้นเป็นอสูรของเขา แถมคนรักก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์!
พวกคุณเรียกสิ่งนี้ว่าธรรมดาและเก็บเนื้อเก็บตัวหรือ?
เขาไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำจำกัดความเหล่านั้นสักนิด! ไม่มีนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนจะเหนือชั้นและอวดเนื้ออวดตัวยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว!
ที่สำคัญกว่านั้น…
เหตุผลที่ฉันถามพวกคุณเรื่องชื่อของเขาก็เพื่อจะได้ตามหาตัวและดึงเขามาเป็นสมัครพรรคพวก แต่หลังจากเหตุการณ์ไม่น่าประทับใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ฉันจะทำแบบนั้นได้อย่างไร?
เทพธิดาหลิงหลงตั้งต้นขบคิดไม่หยุดขณะพยายามหาทางออกว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้
ต่อให้เมื่อครู่นี้เราไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ด้วยอสูรและคนรักของเขา การชักนำอีกฝ่ายมาเป็นพรรคพวกก็คงไม่ง่ายอยู่ดี หรือว่า…เราควรมอบตำแหน่งทรงเกียรติให้เขาเพื่อการนี้และปิดข่าวให้เงียบไว้ เพราะหากจอมราชันย์คนอื่นๆรู้เรื่องนี้ คงไม่ดีแน่
…..
จางเซวียนออกจากเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงโดยไม่มีปัญหาใด เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
โชคดีที่ไก่น้อยเข้ามาคุ้มกันได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น คงตกที่นั่งลำบาก
จางเซวียนไม่ค่อยกังวลว่าจะมีใครเล่นงานเขา โดยเฉพาะหลังจากสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อครู่ก่อน ดังนั้น ระหว่างที่เดินทางไปยังค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ เขาก็ชำเลืองมองสาวน้อยที่อยู่ด้านหลังและตั้งคำถาม “คุณมาถึงที่นี่ได้อย่างไร? แล้วเกิดอะไรขึ้นถึงได้รู้จักเทพธิดาหลิงหลง?”
“หลังจากที่ฉันออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์…”
หลัวฉีฉีตั้งต้นทบทวนเรื่องราวของเธอ
เธอแปรสภาพเป็นเครื่องเก็บงำมิติและฝ่าปราการแห่งมิติออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ด้วยความโชคร้ายที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ลงท้ายเธอก็ติดแหง็กอยู่ภายในคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติ แต่จากนั้น เทพธิดาหลิงหลงก็พบตัวเธอและช่วยชีวิตเธอไว้ แล้วอีกฝ่ายก็นำเธอกลับมายังสรวงสวรรค์
แต่เดิม เครื่องเก็บงำมิติคือของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่อยู่ในสรวงสวรรค์ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ในภายหลังมันร่วงหล่นลงสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้กลับมาที่นี่ วรยุทธของเธอก็พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพียง 1 เดือน เธอก็ยกระดับวรยุทธจนได้เป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด
ซึ่งเมื่อประกอบกับความสามารถของเธอในฐานะผู้เก็บงำมิติ ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไปก็รับมือกับเธอได้ยาก
ส่วนจางเซวียนก็คิดไม่ถึงว่าหลัวฉีฉีจะต้องพบเจอความยากลำบากมากมายขนาดนี้ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้เธอฟังว่าตระกูลหลัวเป็นอย่างไรบ้างเมื่อตอนที่เขาได้กลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อไม่นานมานี้
“ฉันทำให้ตระกูลของฉันตกต่ำ…” หลัวฉีฉีพึมพำด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
กระแสกาลเวลาในสรวงสวรรค์ไหลเร็วกว่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ถึงหมื่นเท่า, 1 เดือนของที่นี่เท่ากับ 10,000 เดือนของทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งก็หมายความว่าเวลาที่นั่นผ่านไป 800 ปีแล้ว
ป่านนี้ ญาติสนิทมิตรสหายส่วนใหญ่ของเธอคงแก่ตัวกันไปหมด
หลังจากมาถึงที่นี่ หลัวฉีฉีก็รู้ตัวว่าคงไม่อาจฝ่าปราการแห่งมิติได้อย่างง่ายดายเหมือนเดิมอีกแล้ว และบางที ชั่วชีวิตนี้ก็อาจไม่มีโอกาสได้พบสมาชิกในครอบครัวของเธออีก
จางเซวียนลูบหลังของเธอเบาๆเพื่อปลอบใจก่อนจะพูดต่อ “ตอนที่คุณอยู่กับเทพธิดาหลิงหลง ได้พบศิษย์สายตรง 2 คนของผมบ้างไหม? หวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียน?”
“ฉันไม่ได้พบหรอก แต่เท่าที่รู้มา ดูเหมือนพวกเธอจะได้ฝึกฝนวรยุทธภายในกระจกเงาแห่งมิติและเวลาของฝ่าบาท ตอนนี้วรยุทธของทั้งคู่คงไม่อ่อนด้อยกว่าฉันแล้วล่ะ” หลัวฉีฉีตอบ
เมื่อรู้ว่าเทพธิดาหลิงหลงดูแลศิษย์สายตรงของเขาอย่างดี จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
ขณะที่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปอีกเล็กน้อย ทั้งคู่ก็มาถึงค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่
“คุณมีตราสัญลักษณ์เพื่อเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
ตราสัญลักษณ์ของจางเซวียนอนุญาตการทะลุมิติให้เฉพาะตัวเขาและอสูรของเขาเท่านั้น จึงไม่อาจพาหลัวฉีฉีไปด้วยได้ แต่หากทั้งคู่พยายามบินไปยังเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ก็คงกินเวลาหลายปีกว่าจะถึงที่หมาย
หลัวฉีฉีหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ฉันไม่ต้องใช้สิ่งนั้นหรอก…”
เดิมที ตราสัญลักษณ์มีไว้เพื่อปกป้องนักรบไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ในฐานะผู้เก็บงำมิติ เธอมีอำนาจควบคุมกฎเกณฑ์ต่างๆของมิติในโลกใบนี้ คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่เกิดขึ้นระหว่างการทะลุมิติจึงทำอันตรายเธอไม่ได้
อันที่จริง เกิดความเสียหายเล็กน้อยระหว่างเดินทาง แต่หลัวฉีฉีก็สามารถฉีกกระชากมิติและเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้โดยอิสระ
ทั้งคู่ตรงเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ เกิดลำแสงเจิดจ้า ร่างของพวกเขาหายวับไปทันที พริบตาต่อมาก็มาอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด
จางเซวียนรีบหันไปมองหลัวฉีฉี ซึ่งก็โชคดีที่เธอไม่ได้รับบาดเจ็บ
ทั้งคู่รีบเข้าสู่เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดและมุ่งหน้าสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ
…..
ขณะที่จางเซวียนเดินเข้าประตูคฤหาสน์ ฝงจิ่วเกอที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วและกำลังรอเขาอยู่ก็รีบเข้ามาหา “ท่านอาจารย์!”
“มีอะไร?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ไม่นานหลังจากที่คุณจากไป เราก็ได้รับประกาศที่แจ้งว่าการประลองจะถูกเลื่อนเข้ามาให้เร็วขึ้น ผมส่งข้อความไปที่ตราหยกสื่อสารของคุณหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบ” ฝงจิ่วเกอรายงานอย่างกระวนกระวาย
แต่เดิม สามตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดกำหนดเวลาเริ่มประลองไว้ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า แต่จากข่าวที่เขาได้มา ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ทำให้มันเรืองแสงและส่องสว่างตลอดเวลา
เพราะมองว่านั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจึงตัดสินใจเร่งการประลองให้เริ่มและจบเร็วกว่าเดิม เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาแก้ไขสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
พูดอีกอย่างก็คือ…
ในช่วงเวลาที่จางเซวียนไม่อยู่ การคัดเลือกผู้ที่จะได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว!
เมื่อรู้ว่าการประลองสิ้นสุด จางเซวียนได้แต่ขมวดคิ้ว เขาเองก็รีบมาตลอดทาง แต่สุดท้ายก็สายไป
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตราหยกสื่อสารที่เขาใช้มีอาณาเขตจำกัด และมันจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อผู้ส่งกับผู้รับอยู่ในน่านฟ้าเดียวกันเท่านั้น ในเมื่อเขาไปไกลถึงน่านฟ้าหลิงหลง ก็ไม่มีทางที่จะได้รับข้อความของฝงจิ่วเกอ
เขาได้แต่หวังว่าศิษย์สายตรงของเขาจะคว้าที่ 1 เพราะหากเป็นอย่างนั้น เขาก็อาจปลอมตัวเป็นฝงจิ่วเกอและแอบเข้าไปที่นั่นได้
จางเซวียนรีบหันไปถามฝงจิ่วเกอ “แล้วคุณได้อันดับที่เท่าไหร่?”
“ผม…” ฝงจิ่วเกอหน้าแดงก่ำ เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับ “ผมทำให้คุณผิดหวัง! ผมได้เพียงอันดับ 2 เท่านั้น…”
ท่านอาจารย์อุตส่าห์ฝ่าฟันปัญหามากมายเพื่อคลี่คลายความลึกลับให้เขา ทำให้เขาเอาชนะค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้ แต่ลงท้าย เขาก็ยังถูกนักรบคนอื่นเอาชนะในรอบสุดท้ายจนได้แค่ที่ 2
“คุณได้ที่ 2?” จางเซวียนประหลาดใจ “แล้วใครได้ที่ 1?”
ฝงจิ่วเกอสู้กับบรรดาอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟและเอาชนะคนเหล่านั้นได้สบาย ดังนั้น หากคู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่จางเซวียน เขาก็น่าจะเอาชนะนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนก็ได้
แล้วทำไมถึงลงเอยด้วยการได้ที่ 2?
อีกสองตระกูลที่เหลือมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกหรือ?
“ผมคือผู้รั้งอันดับ 1!”
ยังไม่ทันที่ฝงจิ่วเกอจะได้ตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง จากนั้น ชายหนุ่มหลายคนก็ก้าวยาวๆเข้ามาในลานบ้าน
ผู้ที่เดินนำหน้าดูจะมีอายุราว 30 ปี ดวงตาของเขาเปล่งประกายของอำนาจและความสง่างาม
“ท่านอาจารย์ เขาคือผู้รั้งอันดับ 1, เป็น ผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลนกฟีนิกซ์น้ำแข็ง, ฝงฮั่นชิว”
ฝงจิ่วเกออธิบายให้จางเซวียนฟังผ่านทางโทรจิต
“ฝงฮั่นชิว?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ราชันย์เทพเจ้า?”
เมื่อมองแวบแรก ชายหนุ่มดูจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่หากพิจารณาให้ดี ก็จะรู้ทันทีว่ามีพลังงานปริมาณมหาศาลไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา เหมือนภูเขาหิมะขนาดใหญ่ที่พร้อมจะเกิดหิมะถล่มอันน่าสะพรึงได้ตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว
ว่าแต่…การประลองมีไว้สำหรับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีราชันย์เทพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง?
อีกอย่าง ราชันย์เทพเจ้าจะเข้าไปในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเพื่ออะไร?
“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จขณะที่กำลังสู้กับผม” ฝงจิ่วเกอพูด
ตอนแรก ตัวเขายังถือไพ่เหนือกว่าฝงฮั่นชิว แต่บางที อาจเป็นเพราะแรงกดดันบางอย่างที่ถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด ฝงฮั่นชิวจึงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเดี๋ยวนั้นและกลายเป็นราชันย์เทพเจ้า ส่งผลให้ทั้งคู่มีพละกำลังแตกต่างกันมาก และสุดท้าย ฝงจิ่วเกอก็แพ้
ในที่สุดจางเซวียนก็เข้าใจ
ถึงเขาจะถ่ายทอดทักษะการต่อสู้ให้ฝงจิ่วเกอ แต่อีกฝ่ายยังไม่อาจเข้าถึงหัวใจและแก่นสารของมัน จึงเป็นธรรมดาที่จะสู้กับนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าไม่ได้
“ผมรู้มาว่าคุณคือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักรบรุ่นเยาว์ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ คุณกล้าสู้กับผมไหม?” ฝงฮั่นชิวท้า
แม้เขาจะเอาชนะฝงจิ่วเกอได้ แต่ก็ยังไม่เคยต่อสู้กับอาจารย์ของอีกฝ่าย ดังนั้น อันดับหนึ่งที่เขาได้มาจากการประลองจึงยังไม่ ‘สง่างาม’ เสียทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่เสร็จสิ้นการประลอง ฝงฮั่นชิวก็เดินทางมาที่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เฝ้ารอให้ ‘ฝงเซวียน’ กลับมาและจะได้ท้าทายเขา
“ถ้าผมเอาชนะคุณได้ คุณจะมอบโอกาสการเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของคุณให้ผมหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
“ถ้าคุณเอาชนะผมได้ สิทธินั้นย่อมตกเป็นของคุณอยู่แล้ว” ฝงฮั่นชิวตอบ
ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมีของล้ำค่าที่จอมราชันย์อมตะทิ้งไว้ ด้วยการศึกษาบรรดาของล้ำค่าของจอมราชันย์อมตะ นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างจะมีโอกาสของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก
แต่ฝงฮั่นชิวเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว การที่เขาจะได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
ในอดีต เมื่อครั้งที่แอ่งลาวาอมตะยังใช้การได้ ฝงฮั่นชิวก็ยังคงสนอกสนใจที่จะได้เข้าไปที่นั่นเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อ และบางทีอาจทำความเข้าใจแก่นสารอมตะได้สำเร็จด้วย แต่ในเมื่อแอ่งลาวาอมตะเหือดแห้งไปแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตารอคอยมันอีก