ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกมากหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ แต่เพราะสภาพภายในร่างกายที่ยังคงไม่กลมกลืนสัมพันธ์กัน ฝงจิ่วเกอจึงยังอ่อนแอกว่าราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป
“วรยุทธของจิตวิญญาณน่ะคือสิ่งที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด” ฝงฮั่นชิวตั้งข้อสังเกต
หากนักรบคนหนึ่งอ่อนด้อยเรื่องพลังปราณ ก็ยังมีทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอีกมากที่บ่มเพาะพลังจิตวิญญาณให้ผู้นั้นได้ แต่หากเป็นการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ ก็มีสิ่งที่ทำได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
ยกตัวอย่าง แม้ฝงฮั่นชิวจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้แล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากการเข้าถึงอำนาจเต็มพิกัดของราชันย์เทพเจ้า เพราะวรยุทธของจิตวิญญาณของเขายังคงอ่อนแออยู่
“ก็จริง” จางเซวียนพูด “นี่คือปัญหาใหญ่…”
แม้เขาจะสร้างความอึกทึกครึกโครมไว้มากมายจากการเปิดตัวยาเม็ดเพิ่มความงามและยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ แต่ก็เพิ่งยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปถึงเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงสุดเท่านั้น จากสิ่งนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของนักรบคนหนึ่งเป็นเรื่องยากมาก
หลังจากที่จางเซวียนพูดไปได้เพียงครึ่งทาง ก็พลันรู้สึกถึงกระแสจิตปรารถนาปริมาณมหาศาลที่พวยพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ทำให้จิตวิญญาณที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
จางเซวียนชะงัก
คราวนี้ กระแสจิตปรารถนาที่เขาได้รับมีมากกว่าคราวก่อนหลายร้อยเท่า หรืออาจจะเป็นพันเท่าเลยทีเดียว!
มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรตินึกถึงเรา? สิบกว่าคนเลยหรือนี่?
จางเซวียนแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
กระแสจิตปรารถนาที่มีความบริสุทธิ์อย่างน่าทึ่งพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับมีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกว่าสิบคนตั้งต้นนึกถึงเขา
ฟิ้วววว!
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้พูดอะไร วรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็ก้าวข้ามด่านคอขวด ทำให้รังสีทรงพลังระเบิดออกจากจิตวิญญาณ
ด้วยสิ่งนี้ วรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนก็เข้าถึงขั้นราชันย์เทพเจ้า!
“….” ฝงฮั่นชิวแทบคลุ้มคลั่งอีกครั้ง
การฝึกฝนวรยุทธจะเหมือนเด็กเล่นขายของได้มากกว่านี้อีกไหม?
แม้จะน่าอัศจรรย์ใจที่ได้เห็นฝงจิ่วเกอฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้อย่างฉับพลัน แต่ก็ยังพอมีเหตุมีผลให้รับได้ เพราะตัวเขาก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในระหว่างการต่อสู้เช่นกัน
แต่การที่ใครคนหนึ่งฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จด้วยความเร็วน่าทึ่งขนาดนี้…
จะบ้าหรือไง!
ถ้าคุณทำได้แบบนี้ตั้งแต่แรก ทำไมถึงเห็นด้วยกับผมตอนที่ผมพูดว่าการฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณเป็นเรื่องยาก?
พยายามจะทำให้ผมเสียสติให้ได้ใช่ไหม?
หยุดได้แล้ว!
ฝงฮั่นชิวเวียนหัวจากการต้องเผชิญกับความตกตะลึงอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างของเขาโงนเงนไปมา
แต่โชคร้ายที่เรื่องเลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง
เมื่อเขาเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
แม้อีกฝ่ายจะสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว แต่การเพิ่มขึ้นของวรยุทธก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ราชันย์เทพเจ้า ขั้นต้น!
ราชันย์เทพเจ้า ขั้นกลาง!
…..
ด้วยความเร็วที่โดดเด่นเห็นชัด ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของอีกฝ่ายพุ่งขึ้นไปจนถึงราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด
ในตอนนั้นเองที่ทุกอย่างค่อยๆสงบลง
“….”
ภาพนี้ทำให้ฝงฮั่นชิวน้ำตาคลอ เขาอยากปล่อยโฮเต็มที
เมื่อกี้นี้เขายังรู้สึกดีกับตัวเองอยู่เลยที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จระหว่างการต่อสู้ คิดว่าในที่สุดช่วงเวลาของเขาก็มาถึงแล้ว และคงได้ฝากตำนานไว้กับโลกใบนี้
ก็เพราะความมั่นอกมั่นใจจากเหตุการณ์นั้นที่ทำให้เขากล้าเดินเข้าสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเพื่อท้าทายอัจฉริยะหมายเลข 1 ของที่นี่
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เขาช้ำใจซ้ำแล้วซ้ำอีก!
การยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณยากกว่าการยกระดับวรยุทธของพลังปราณมาก แต่หมอนั่นก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ขึ้นไปจนถึงระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดได้ในรวดเดียว
ทั้งหมดนี้ทำให้ฝงฮั่นชิวช้ำใจจนสุดจะบรรยาย
“น่าเสียดาย เราไม่มีเทคนิควรยุทธที่จะช่วยให้ฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้า” จางเซวียนพึมพำ
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าทำไมราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจำนวนมากมายพากันนึกถึงเขา แต่ก็ยิ่งกว่าเต็มใจที่จะยอมรับกระแสจิตปรารถนาเหล่านั้นไว้
จางเซวียนออกจะกังวลใจ เพราะระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาดูจะไม่พัฒนาเลยตลอด 5 วันที่ผ่านมา แต่การฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้จะทำให้เขาไม่ต้องกังวลไปอีกพักใหญ่ มันจะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับวรยุทธของพลังปราณและทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าได้ในอนาคตอันใกล้
“ขอลองหน่อย…”
จางเซวียนรวบรวมพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเข้าด้วยกัน จากนั้นก็รู้สึกได้ทันทีว่ามิติที่อยู่รอบตัวสั่นสะท้านเป็นการตอบสนองพละกำลังของเขา
“นี่คือความแข็งแกร่งของราชันย์เทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนถึงกับอัศจรรย์ใจ
ตอนที่เขาต่อสู้กับเหล่าราชันย์เทพเจ้า ยังเคยคิดว่าพละกำลังของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้น่าทึ่งเท่าไหร่ แต่เมื่อฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยตัวเอง ก็เห็นทันทีว่ามีช่องว่างมากมายระหว่างนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างกับราชันย์เทพเจ้า
ลำพังแค่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณก็เกินพอที่จะยับยั้งการไหลเวียนพลังปราณของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนก็ได้
ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ตอนนี้ ต่อให้ไม่ต้องใช้หน้าหนังสือสีทองหรือไก่น้อย ก็สามารถต้านทานได้แม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างไป๋เย่ฉิงหง
ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าจะได้ชัยชนะ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
“ถ้าเราฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณได้เมื่อไหร่ คงเอาชนะนักรบที่เก่งกาจระดับไป๋เย่ฉิงหงได้…”
แม้จะยังคงมีช่องว่างห่างไกลระหว่างราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่ด้วยเวทนาสวรรค์-เทคนิควรยุทธที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์เสียอีก ประกอบกับความแข็งแกร่งเหนือระดับของจิตวิญญาณของเขา จางเซวียนก็มั่นใจว่าจะสู้กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้สบาย และอาจสังหารพวกนั้นได้ด้วยหากเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเต็มขั้น!
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะเข้าใกล้หลัวลั่วชิงได้อีกก้าวหนึ่ง
หลังจากสำรวจพละกำลังที่ได้มาใหม่ จางเซวียนระบายลมหายใจยาวก่อนจะลืมตาอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืน และขณะที่กำลังจะตรวจสอบว่ามีผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการฝ่าด่านวรยุทธของฝงจิ่วเกอหรือไม่ ก็รู้สึกได้ว่ามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาในห้องและจ้องหน้าเขาอย่างตื่นเต้น
“คุณเป็นใคร?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ผมคือหัวหน้าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ” ชายวัยกลางคนตอบ
“หัวหน้าตระกูล?” จางเซวียนชะงัก
เมื่อนึกทบทวน เขาเคยพบผู้อาวุโสที่ 1 กับผู้อาวุโสที่ 2 แล้ว แต่ยังไม่เคยพบหัวหน้าตระกูลสักครั้ง
“ศิษย์น้องฝงเซวียนคารวะหัวหน้าตระกูล!” จางเซวียนประสานมือและโค้งคำนับ
“เอ่อ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นหรอก ถึงคุณจะฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จแทนที่จะเป็นวรยุทธของพลังปราณ แต่ก็เป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าอยู่ดี นั่นทำให้เรามีสถานภาพเท่าเทียมกัน” หัวหน้าตระกูลพูดขณะรีบพยุงจางเซวียนให้ลุกขึ้น
สำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟที่มีผู้เชี่ยวชาญมากมายซึ่งมีอายุขัยยาวนาน ถือเป็นเรื่องวุ่นวายและน่ารำคาญมากหากจะใช้ความสัมพันธ์เป็นเครื่องแยกแยะอาวุโส
ด้วยเหตุนี้ หากสมาชิกในตระกูล 2 คนที่ไม่ใช่ญาติสายตรงมีวรยุทธระดับเดียวกัน ก็ถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่น
เมื่อรู้กฎเกณฑ์นี้ จางเซวียนพยักหน้าและสลัดความเป็นทางการต่างๆทิ้งไป
เขากำลังจะถามเหตุผลที่อีกฝ่ายพรวดพราดเข้ามา แต่ชายวัยกลางคนตั้งต้นพึมพำกับตัวเองอย่างตื่นเต้น “เขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว ด้วยความปราดเปรื่องของเขา เราคิดว่าเขาน่าจะผ่านการทดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติและก้าวไปสู่ความรุ่งโรจน์กว่านี้ได้…”
จู่ๆ หัวหน้าตระกูลก็เงยหน้าและตั้งคำถามด้วยแววตาเปี่ยมความคาดหวัง “ก่อนจะพูดเรื่องอื่น ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟของผมหรือไม่?”
จางเซวียนส่ายหน้า “ผมคุ้นชินกับชีวิตเรียบง่ายตามใจเสียแล้ว ต้องบอกว่าไม่สะดวกใจที่จะแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบหนักอึ้งแบบนั้น…”
เหตุผลเดียวที่เขาดั้นด้นมาถึงน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดและปลอมตัวเป็นฝงเซวียนก็เพื่อให้ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไม่มีทางหาภาระของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟมาใส่ตัวแน่!
นึกไม่ถึงว่า ‘ฝงเซวียน’ จะปฏิเสธข้อเสนอ หัวหน้าตระกูลไม่รู้จะพูดอย่างไร ขณะที่เขากำลังจะถามเหตุผล จางเซวียนก็ตั้งคำถามใหม่ “เมื่อครู่นี้คุณพูดถึงการทดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติ…มีบททดสอบที่ราชันย์เทพเจ้าจะต้องผ่านไปเพื่อให้ได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติด้วยหรือ?”
ที่ผ่านมา เขาคิดว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้รับเลือกจากจอมราชันย์โดยพิจารณาจากความดีความชอบของพวกเขา ซึ่งจากนั้นก็จะได้อำนาจเป็นเครื่องตอบแทนการทำคุณงามความดี จึงออกจะแปลกใจอยู่สักหน่อยที่ได้รู้ว่ามีบททดสอบด้วย
“ตำแหน่งทรงเกียรติคือการที่จอมราชันย์มอบอำนาจการปกครองดินแดนใดดินแดนหนึ่งให้นักรบสักคน ทำให้ผู้นั้นมีสิทธิ์เข้าถึงกระแสจิตปรารถนาของประชากรที่อยู่ในพื้นที่ แต่กระแสจิตปรารถนาคือพลังตามธรรมชาติที่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน ดังนั้น กระแสจิตปรารถนาในดินแดนหนึ่งๆจึงมักจะวุ่นวายปั่นป่วนมาก การจะควบคุมพละกำลังเหล่านั้นต้องใช้จิตวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งมากทีเดียว”
“ด้วยเหตุนี้ เงื่อนไขเบื้องต้นของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็คือวรยุทธของจิตวิญญาณของผู้นั้นจะต้องเข้าถึงระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับความเชื่อของคนทั่วไป แท้ที่จริงแล้ว ระดับวรยุทธของพลังปราณนั้นมีความสำคัญเป็นรอง ซึ่งคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จมากทีเดียวนะ เพราะฉะนั้น อยากลองดูสักหน่อยไหม?” หัวหน้าตระกูลตั้งคำถาม
แต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัว มีความเชื่อ อารมณ์ และความรู้สึกในรูปแบบของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ผสมผสานปนเปกันกลายเป็นกระแสจิตปรารถนา ซึ่งการนำกระแสจิตปรารถนามาใช้ก็หมายถึงการแบกรับความคิดและจิตใจของคนเหล่านั้นด้วย
หากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมีจิตวิญญาณที่ไม่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์พอ ก็อาจถูกอารมณ์และความรู้สึกในแง่ลบที่ได้จากกระแสจิตปรารถนาชักนำไปในทางที่ผิด อาจตกอยู่ในสภาวะของความสับสนได้