มนุษย์ 2 คนกับไก่ตัวหนึ่งเดินหน้าลึกเข้าไปในคลื่นพลังงานวนแห่งมิติโดยใช้เวลาอีกราว 2 ชั่วโมง แต่เพราะต้องการทำตัวให้คุ้นชินกับมิติที่บิดเบี้ยว พวกเขาจึงไปได้ไกลเพียง 500 เมตรทั้งที่ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง
คลื่นพลังงานวนแห่งมิติที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา อาจยาวได้หลายร้อยหรือหลายพันลี้ หากรุดหน้าไปได้เพียง 500 เมตรโดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง ต้องนานแค่ไหนกว่าจะไปถึงปลายสุดอีกด้านหนึ่งของมัน?
เป็นไปได้ว่าพวกเขาคงยังงมโข่งอยู่ที่นี่แม้เมื่อหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงเสร็จสิ้นการดวลไปแล้ว!
“แบบนี้ไม่เข้าท่า!” จางเซวียนโพล่งออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขาพยายามใช้ตราสุดยอดจอมราชันย์มาตลอดทาง แต่ก็ไม่อาจสร้างความเชื่อมโยงกับมิติเบื้องบนได้ ปราการแห่งมิติแข็งแกร่งเกินไป
“ฉันจะนำทางให้ ตามฉันมาติดๆนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองรั้งท้าย” หลัวฉีฉีพูด
“ฮะ?” จางเซวียนประหลาดใจ
เขากำลังจะถามว่าเธอคิดจะทำอะไร ก็พอดีกับที่เธอแปรสภาพกลายเป็นลูกทรงกลมของเครื่องเก็บงำมิติ
หลัวฉีฉีปล่อยรังสีชนิดหนึ่งออกมา ทำให้มิติที่บิดเบี้ยวแข็งทื่อไปทันที ราวกับใครสักคนตรึงมันไว้ให้อยู่กับที่
“ไปกันเถอะ!” เธอสั่งการ
จางเซวียนกับไก่น้อยตามหลัวฉีฉีไปติดๆ
เมื่อมีเครื่องเก็บงำมิติที่ช่วยสร้างความเสถียรให้กับมิติโดยรอบ ทุกคนก็รุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
4 ชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินทางมาได้หลายหมื่นลี้ บรรยากาศสีเทาเข้มก็ปรากฏตรงหน้า
คลื่นบรรยากาศนั้นกระเพื่อมตลอดเวลา มันแผ่แรงกดดันที่ทำให้ผู้พบเห็นแทบหายใจหายคอไม่ออก
หลัวฉีฉีกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิมขณะอ้าปากหอบหายใจ สีหน้าของเธอซีดเผือดจากการใช้พลังเกินขนาด เห็นได้ชัดว่าการเดินทางเมื่อครู่นี้กลืนกินพลังงานของเธอไปมาก
จางเซวียนรีบยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดเม็ดหนึ่งให้เธอเพื่อเรียกพละกำลังกลับคืนมา ราว 1 ชั่วโมงให้หลัง สีหน้าของหลัวฉีฉีก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
“คลื่นพลังงานสีเทานั่นมีบางอย่างแปลกๆ” หลัวฉีฉีตั้งข้อสังเกตขณะสำรวจตรวจตราสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอ
“มันแปลกจริงๆ…” จางเซวียนพยักหน้า
คลื่นพลังงานสีเทานี้คือสิ่งที่ฝงจิ่วเกอซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเขาในคราวก่อน จางเซวียนเคยคิดว่าทั่วทั้งหลุมดำคงมีพลังงานสีเทาอยู่ไม่มาก ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเดินลึกเข้ามาด้านใน มันจะก่อตัวกันหนาแน่นถึงขนาดที่เกิดเป็นกำแพงขนาดใหญ่?
หลัวฉีฉีเดินเข้าหากำแพงสีเทาและกำลังจะแตะมัน
เห็นภาพนั้น จางเซวียนร้องออกมาด้วยสีหน้าพรั่นพรึง “อย่านะ…”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ สาวน้อยก็ได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังงานสีเทาแล้ว
ด้วยอานุภาพการดูดกลืนพลังงานของมัน ระดับวรยุทธของหลัวฉีฉีร่วงลงจากราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นต้นภายในเวลาเพียง 2-3 อึดใจ จากนั้นก็ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ
“อย่าใช้พลังปราณของคุณกำจัดพลังงานสีเทานั่นนะ!”
หลังจากมีประสบการณ์จากฝงจิ่วเกอ จางเซวียนรู้ว่าพลังงานสีเทามีอานุภาพดูดกลืนพลังปราณในร่างของนักรบได้ เขารีบเข้าประชิดตัวหลัวฉีฉีแล้วใช้ฝ่ามือทาบแผ่นหลังของเธอ
ขนาดพลังปราณเทียบฟ้าของเขาก็ยังยับยั้งพลังงานสีเทานั้นไม่ได้ นับประสาอะไรกับพลังปราณของหลัวฉีฉี นักรบคนไหนก็ตามที่พยายามใช้พลังปราณกำจัดพลังงานสีเทาออกไป ก็มีแต่จะสูญเสียพลังปราณของตัวเองไปจนหมด
จางเซวียนถ่ายทอดพลังปราณที่ได้จากเวทนาสวรรค์เข้าสู่ร่างของหลัวฉีฉีและผลักดันให้มันไหลเวียนไปทั่วทางเดินพลังปราณ กำจัดพลังงานสีเทาที่เพิ่งซึมซาบเข้าสู่ร่างของเธอออกไปได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็จัดการให้หลัวฉีฉีกลืนยาเม็ดลงไปเพื่อฟื้นคืนพลังชีวิตให้กลับมาดังเดิม ในเวลาเดียวกัน ก็รีบสำแดงเคล็ดวิชาเทียบฟ้าเพื่อสร้างพลังปราณเทียบฟ้าและถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย
การปะทะกันของพลังปราณเทียบฟ้ากับคลื่นพลังงานสีเทาทำให้เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้า มันคงสภาพอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายพลังงานสีเทาก็ถูกกำจัดออกไปจนหมด
วรยุทธของหลัวฉีฉีค่อยๆฟื้นคืนสู่ระดับเดิม แต่สีหน้าของเธอยังคงซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง เมื่อครู่นี้ เธอคิดว่าเธอจะต้องตายเสียแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะการแก้ปัญหาอย่างว่องไวของจางเซวียน เธอรู้สึกว่าพลังงานสีเทานั่นคงเล่นงานจิตวิญญาณของเธอจนแหลกสลาย เธออาจกลายเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจเหมือนนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนอื่นๆของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ได้
ในครั้งนั้น ฝงจิ่วเกอถูกคลื่นพลังงานสีเทาเล่นงานขณะที่อยู่ห่างจากมิติที่บิดเบี้ยวเป็นระยะทางไม่น้อย แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานถึง 2 ปีก่อนจะถูกขับไล่ออกจากตระกูล
แต่คราวนี้ คลื่นพลังงานสีเทาที่กำลังกระเพื่อมมีความเข้มข้นกว่านั้นอย่างน้อยก็พันเท่า ทำให้น่าสะพรึงกว่ากันมาก
“อย่าฝึกฝนวรยุทธหรือพยายามซึมซับสิ่งใดก็ตามที่อยู่ที่นี่ หากพลังงานสีเทาซึมซาบเข้าสู่ร่างของพวกคุณแล้ว การแก้ไขจะทำได้ยากมาก!” จางเซวียนกำชับ
หลัวฉีฉีกับไก่น้อยรีบพยักหน้า
หลังจากผ่านพ้นความฉุกละหุกเมื่อครู่ก่อน ทั้งคู่ก็รู้แล้วว่าพลังงานสีเทาน่าสะพรึงแค่ไหน
แม้ด้วยประสิทธิภาพการฟื้นคืนพละกำลังอันน่าทึ่งของไก่น้อย ก็ยังคงรับมือกับมันได้ยากหากปะทะกับพลังงานนั้นตรงๆ
“พลังปราณของเวทนาสวรรค์ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากคลื่นพลังงานสีเทา ผมจึงใช้มันกำจัดพลังงานสีเทาออกไปได้”
เท่าที่เห็น ดูเหมือนพลังงานชนิดใดก็ตามที่อยู่ในระดับขั้นต่ำกว่าสรวงสวรรค์จะไม่อาจกำจัดพลังงานสีเทาได้ แต่พลังปราณจากเวทนาสวรรค์ของจางเซวียนอยู่เหนือระดับของสรวงสวรรค์แล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พลังงานสีเทาทำอะไรมันไม่ได้
มีความเป็นไปได้สูงว่าทุกคนอาจต้องพึ่งพาพลังปราณของเขาเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคครั้งนี้
จางเซวียนนึกอยากทดสอบทฤษฎีที่เขาคิดค้น จึงรวบรวมพลังปราณของเวทนาสวรรค์แล้วยืดแขนออกไปแตะกำแพงพลังงานสีเทา
คลื่นพลังงานสีเทาที่หมุนวนอยู่บริเวณนั้นถูกผลักดันออกไป และแขนของเขาก็ไม่ได้รับอันตราย
“ได้ผลจริงๆ…” จางเซวียนระบายลมหายใจยาว
เขายิ้มอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปพูดกับหลัวฉีฉีและไก่น้อย “อยู่ใกล้ผมไว้นะ เราจะเดินทะลุกำแพงสีเทาเดี๋ยวนี้แหละ”
หลัวฉีฉีกับไก่น้อยรีบขยับเข้ามา จางเซวียนปล่อยพลังปราณจากเวทนาสวรรค์ออกมาโอบล้อมทั้งคู่ไว้ แล้วพวกเขาก็ทะลุกำแพงสีเทาเข้าไป
ฟิ้ววววว!
คลื่นพลังงานสีเทายังหมุนติ้วอย่างไม่ลดละ พยายามจะเล่นงานผู้บุกรุกทั้งสามให้ได้ เกิดการพังทลายครั้งใหญ่อยู่รอบตัวพวกเขา แต่ก็ไม่อาจฝ่าการคุ้มกันของพลังปราณจากเวทนาสวรรค์
หลังจากเดินไปได้ 2-3 ก้าว จางเซวียนหันกลับมาตรวจสอบอาการของหลัวฉีฉีกับไก่น้อย ซึ่งทั้งคู่ก็ดูจะยังสบายดี เขาจึงรุดหน้าต่อไป
แต่เพียงไม่ถึง 1 นาทีหลังจากนั้น จางเซวียนก็หยุดกึกและเริ่มถอยหลัง
“มีอะไร?” หลัวฉีฉีถาม
หลังจากที่ออกจากกำแพงสีเทา จางเซวียนปล่อยพลังงานจากเวทนาสวรรค์ออกมาปกป้องทุกคนไว้และอ้าปากหอบหายใจ
ซึ่งในเวลาสั้นๆเพียง 3 นาที เขาก็ใช้พลังปราณจากเวทนาสวรรค์ที่มีอยู่จนหมดเกลี้ยง!
แม้พลังงานสีเทาจะไม่อาจทำอันตรายพลังปราณจากเวทนาสวรรค์ได้ แต่การหมุนวนของพลังงานก็มีอยู่มากเกินไป นั่นทำให้จางเซวียนต้องออกแรงหนัก พลังปราณของเขาจึงถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว
ปัญหาใหญ่ก็คือเขาไม่อาจเรียกพลังปราณให้กลับคืนสู่ระดับเดิมได้ ในสภาวะแบบนี้ การจะผ่านพื้นที่บริเวณนี้ไปจึงทำได้ยาก
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งและฝึกฝนวรยุทธอยู่ราว 1 ชั่วโมงกว่าจะเรียกคืนพลังปราณกลับมาได้ทั้งหมด
“เราต้องหาทางเติมจุดตันเถียนให้เต็ม ถ้ายกระดับวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้ก็ยิ่งดี…”
จางเซวียนนวดหว่างคิ้วอย่างท้อใจ
แต่เดิม จุดตันเถียนของเขาเคยปริ่มด้วยมหาสมุทรของกระแสพลังปราณ แต่มันเหือดแห้งไปหมดหลังจากที่แสงสีเขียวปะทะกับคลื่นพลังงานสีเทา ทุกอย่างจึงว่างเปล่า หากเขาอยากผ่านกำแพงสีเทาไปให้ได้ ก็ต้องเพิ่มปริมาณพลังปราณในจุดตันเถียน หรือไม่ก็หาทางเติมพลังปราณเข้าไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้มันหมด
ไม่อย่างนั้น หากพลังปราณของเขาเหือดแห้งกลางทาง ทุกคนคงแย่แน่
ปัญหาเดียวก็คือเขาได้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดจากฟู่เจียงเฉินมาเพียง 3 เม็ดเท่านั้น แถมยังมอบเม็ดสุดท้ายให้หลัวฉีฉีไปแล้ว แต่นั่นแหละ ต่อให้เขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดในปริมาณไม่จำกัด ก็ยังไม่น่าจะเรียกพลังปราณกลับคืนมาได้ทันกับปริมาณพลังปราณที่เสียไป
ถึงขนาดนี้แล้ว เราคงต้องกินราชายาเม็ด!
ในเวลานี้ ยาเม็ดที่มีศักยภาพสูงสุดที่เขามีอยู่กับตัวคือราชายาเม็ด มันคือสมบัติล้ำค่าที่เข้าตาแม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ จางเซวียนจะเรียกพลังปราณกลับคืนสู่จุดตันเถียนของเขาได้หากกินมันเข้าไป แถมยังมีโอกาสสูงที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จด้วย
แต่ปัญหาก็ยังมี…
เพราะเขายังไม่ได้ทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเลย!
ราชายาเม็ดคือไม้ตายสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของเขา และคงจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หากต้องใช้ยาที่มีมูลค่าสูงขนาดนี้เพียงเพื่อฟื้นคืนระดับพลังปราณ
สำหรับเวทนาสวรรค์ เราทำความเข้าใจบทบาทของลูกน้องกับเจ้านาย, สายสัมพันธ์ของพี่น้อง และความผูกพันของอาจารย์กับลูกศิษย์ไปแล้ว…ถ้าสัญชาตญาณของเราไม่ผิดพลาด ขั้นต่อไปก็น่าจะเป็นพันธะหน้าที่ของพ่อแม่…
จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วตั้งต้นใคร่ครวญ
ในชีวิตเก่าของเขา เขาเป็นเด็กกำพร้า และไม่เคยมีใครที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นพ่อแม่ ส่วนชีวิตปัจจุบัน เขามีโอกาสได้พบพ่อแม่ที่แท้จริง แต่ระยะเวลาที่ได้ใช้กับทั้งคู่ก็สั้นมาก
การที่เขาไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องความผูกพันของคนในครอบครัวได้อย่างถ่องแท้ทำให้เกิดความลังเลว่าควรทำอย่างไรต่อไป ซึ่งก็ลงเอยด้วยการสลัดความคิดนั้นทิ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่คราวนี้เขาทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องไปต่อให้ได้
จางเซวียนหลับตา เขาตั้งต้นระลึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเซียนดาบชิงเหมิง
เพื่อตามหาเขา ท่านพ่อท่านแม่ต้องลงทุนลงแรงมากมาย แม้ทั้งโลกจะบอกทั้งคู่ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาตายไปแล้ว เซียนดาบชิงเหมิงก็ยังเชื่อมั่นในความเป็นไปได้อันน้อยนิดที่ว่าเขาอาจยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้
เพื่อเขา ทั้งคู่ยินดีแม้ต้องสละชีวิต
พันธะและความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อเขาสูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลกใบนี้
เพียงแต่…ถึงจางเซวียนจะเข้าใจที่มาที่ไปของมันแล้ว ก็ยังไม่อาจเรียงร้อยความรู้สึกเหล่านั้นเข้าด้วยกันได้