จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์โจวหยาง จอมราชันย์ฟู่เหมิงและคนอื่นๆฉีกกระชากมิติที่อยู่ตรงหน้าเพื่อส่งบรรดาราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของพวกเขาเข้าสู่ทะเลท่วมท้น
…..
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลังจากส่งทุกคนเข้าสู่ทะเลท่วมทนแล้ว ในที่สุดเทพธิดาหลิงหลงก็อดใจไม่ไหว เธอหัวเราะลั่น
“หลิงหลง มีความสุขอะไรนักหนา?” จอมราชันย์มังกรเมฆถาม
“อ๋อ ฉันก็แค่นึกถึงอะไรบางอย่างที่น่าสนใจมาก เลยอดหัวเราะไม่ได้”เทพธิดาหลิงหลงตอบขณะยิ้มจนตาหยี
“คุณนึกถึงอะไร? บอกพวกเราสิ เราจะได้หารือกัน” จอมราชันย์นรกโลกันต์พูด
“พวกคุณแน่ใจนะว่าอยากฟัง?” เทพธิดาหลิงหลงย้อนถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
ฝูงชนพยักหน้า “อยากฟังสิ!”
“ฉันคิดว่าบอกพวกคุณแบบนี้คงจะดีกว่า…” เทพธิดาหลิงหลงพึมพำกับตัวเองก่อนจะหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้า “พวกคุณกังวลใช่ไหมว่าจางเซวียนจะคว้าสมบัติมากมายนับไม่ถ้วนที่มาพร้อมกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณไป และกลายเป็นจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนใหม่?”
“เอ่อ…”
ไม่มีใครตอบคำถามของเทพธิดาหลิงหลง
พวกเขาไม่ยอมรับ แต่แท้ที่จริงก็หวั่นวิตกกับการพัฒนาวรยุทธของจางเซวียน รับมือกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนเดียวก็เกินพอแล้ว พวกเขาไม่อยากเห็นจอมราชันพิชิตสวรรค์ถือกำเนิดอีกคนหนึ่ง
หากต้องสู้ตัวต่อตัวกันอีกครั้งเหมือนที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เคยทำ…ความถือดีในตัวของพวกเขาคงไม่ปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้นแน่!
เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ทุกคนก็เดือดดาล
“พวกคุณหวังว่าบรรดาผู้สืบทอดที่คุณบ่มเพาะจะสามารถเอาชนะจางเซวียนและนำทรัพย์สมบัติล้ำค่าของทะเลท่วมท้นมาให้คุณ คุณจะได้ก้าวข้ามด่านคอขวดที่เผชิญอยู่เสียที ใช่ไหม?”เทพธิดาหลิงหลงถาม
จอมราชันย์โจวหยางคำรามอย่างหมดความอดทน “หลิงหลง คุณพยายามจะบอกอะไร? พวกเราทุกคนก็เห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อนแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่ได้เห็น!”
พวกเขาอาจเป็นถึงจอมราชันย์ แต่ก็มีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่าเดิม
เป็นเพราะเหล่าจอมราชันย์เพิกเฉยกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งก่อน จอมราชันย์พิชิตสวรรค์จึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาไม่อาจยอมรับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนที่สองได้แล้ว ก็เพราะเหตุนี้ จึงต้องบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญในสังกัดของตัวเองไว้เป็นกำลังเสริม
“เข้าเรื่องเสียทีเถอะ!” จอมราชันย์ฟู่เหมิงคำราม
“อ้อมค้อมปั่นหัวพวกเราอยู่แบบนี้แล้วได้อะไร?” จอมราชันย์มังกรเมฆก็หมดความอดทน
“ฉันกำลังจะพูดเดี๋ยวนี้แหละ…”
แค่นึกภาพว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยากับข่าวนี้อย่างไร ก็ทำให้เทพธิดาหลิงหลงหัวเราะออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ายั่วให้ทุกคนอยากรู้ถึงขีดสุดแล้ว ก็กระแอมและพูดว่า “คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าท่านอาจารย์ของจ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆเป็นใคร พอดีว่าฉันรู้!”
“เขาคือ…” พูดไปได้ครึ่งประโยค ใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏในสมองของจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น เขาตัวแข็งขึ้นมาทันทีขณะเอ่ยถามอย่างระแวง “หรือว่า…”
“ใช่ เขาคือคนที่พวกคุณกังวลมาตลอดนั่นแหละ…จางเซวียน!” เทพธิดาหลิงหลงตอบอย่างสะใจ
หลังจากได้เป็นจอมราชันย์ มีเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้พวกเขาจังงังได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นบรรดาเพื่อนเก่ามีสีหน้าแบบนั้น
และทุกอย่างก็เป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่อจางเซวียน….
แถมชายหนุ่มคนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรลงไป!
ไม่มีอะไรจะย่ำแย่ไปกว่าการมีปัญหากับคนอื่น แต่อีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาทำให้เกิดอะไรขึ้น!
“คือ…”
5 จอมราชันย์สบตากันขณะเกิดแรงบันดาลใจบางอย่าง บทกวีเก่าแก่มากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของพวกเขา
ในเมืองใหญ่ที่เราไม่ได้ครอบครองแม้ดินแดนสักตารางนิ้ว แล้วเราทำงานหนักเพื่อใคร?
บุปผชาตินับร้อยที่เราหว่านเพาะเพื่อหยดน้ำหวาน เพียงเพื่อจะถูกฉกฉวยไปหมด!
ถักทอเส้นด้ายสีทองอยู่หลายปี แต่แล้วก็ต้องมอบเสื้อคลุมให้คุณ!
…..
จอมราชันย์หลินชีเป็นคนรักของคุณ จอมราชันย์อมตะคืออสูรของคุณ และคุณก็เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า…และราวกับเท่านั้นยังไม่พอ บรรดาผู้สืบทอดที่พวกเราบ่มเพาะมาด้วยความเหนื่อยยากก็เป็นศิษย์สายตรงของคุณเสียอีก!
จอมราชันย์ทั้ง 5 ยกมือกุมหน้าอกด้วยความท้อใจอย่างหนัก ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างทิ่มแทง
พวกเขาหวังว่าจะใช้ประโยชน์จากการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเพื่อยกระดับวรยุทธและกลายเป็นผู้ทรงพลังเทียบเท่ากับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ แต่แล้วความหวังทั้งมวลก็พังทลาย
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลยหรือ?
“ที่นี่มีของดีๆเยอะแยะเลย!”
จางเซวียนบินไปพร้อมกับหลัวฉีฉี ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง ทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่เขารวบรวมได้ก็มีมูลค่าพอๆกับเงินที่เขาหาได้ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่อยู่ในสรวงสวรรค์
เขาต้องขายยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธโดยไม่หยุดพักเพื่อให้ได้เงินมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับได้ทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่าพอๆกันภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง….
นี่คือความล้ำค่าของทรัพย์สมบัติต่างๆนานาในทะเลท่วมท้น
จิตวิญญาณอันทรงพลังของจางเซวียนมีส่วนช่วยอย่างมากในภารกิจนี้ เพราะจิตวิญญาณของเขา เขาจึงรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบได้แม่นยำกว่าเดิม และอาณาบริเวณที่ประสาทสัมผัสของเขาครอบคลุมก็กว้างใหญ่กว่านักรบคนอื่นๆ
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไปย่อมไม่อาจเสาะหาทรัพย์สมบัติได้มากมายอย่างที่เขาทำ
ท่ามกลางดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่มีแต่โขดหินกระจัดกระจาย มีสมุนไพรล้ำค่าหลายชนิดเติบโตอยู่ แต่ละต้นมีมูลค่าสูงในตลาดของสรวงสวรรค์ ทั้งยังมีสินแร่ โลหะต่างๆ…
หากนำของเหล่านี้ไปขัดเกลา ก็จะได้ยาเม็ดและอาวุธระดับราชันย์เทพเจ้าอีกจำนวนมาก
“แต่ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว…” จางเซวียนส่ายหน้า
จริงอยู่ว่าสมุนไพรที่เห็นล้วนเป็นของล้ำค่า แต่ขนาดยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดก็ไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว หากไม่ได้บางอย่างที่มีระดับขั้นสูงกว่านั้น ก็คงไม่อาจยกระดับวรยุทธของพลังปราณได้
“มีเกาะอยู่ตรงนั้น…”
เมื่อบินไปได้สักพัก ทั้งคู่ก็เห็นดินแดนหนึ่งอยู่ตรงหน้า
จะเรียกมันว่าเกาะก็พอได้ แต่ดินแดนนี้ดูจะครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่เสียจนมองไม่เห็นปลายสุดของมัน
เรื่องสำคัญก็คือที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น พืชพรรณนานาชนิดขึ้นเขียวชอุ่ม
“เป็นไปได้ว่าตอนที่รอยแยกสีดำปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดินแดนบางส่วนของสรวงสวรรค์คงถูกกวาดเข้าไปในนั้นด้วย” จางเซวียนคาดเดา
ความใหญ่โตของรอยแยกสีดำทำให้พลังจิตวิญญาณหลุดรอดออกมาได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกหากจะมีดินแดนบางส่วนถูกกวาดเข้าไปในนั้น
ทั้งคู่ร่อนลงสู่พื้น จางเซวียนรีบปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณออกไปรอบตัว เขาสัมผัสได้ว่ามีทรัพย์สมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนอยู่ในบริเวณโดยรอบ สินแร่ที่หาได้ยากในสรวงสวรรค์มีอยู่ทั่วไป แม้แต่แม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆก็เปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น
“ดูเหมือนจะมีคนอยู่ตรงนั้น” จางเซวียนสังเกต
จะต้องมีคนรู้เรื่องสถานที่แห่งนี้และตั้งใจมาที่นี่เช่นกัน
ไม่ไกลจากทั้งคู่ มีนักรบอยู่ 12 คน, เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งกับราชันย์เทพเจ้าอีก 11 คน พวกเขารวมหัวกัน ดูเหมือนกำลังหารือบางเรื่องอย่างเคร่งเครียด
อีกฝ่ายสังเกตเห็นจางเซวียนกับหลัวฉีฉีและเอ่ยปาก “สหาย อยากรวมกลุ่มกับพวกเราไหม?”
“ปรมาจารย์จาง…” หลัวฉีฉีสบตา
“ไปเถอะ” จางเซวียนพยักหน้า
พวกเขามาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง
ขณะเดินเข้าไป จางเซวียนสังเกตเห็นว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่มีอยู่เพียงคนเดียวในกลุ่มติดตราสัญลักษณ์ของน่านฟ้ามังกรเมฆ
“สหาย, ผมคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอ้าวเฟิงแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ” ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติผู้นั้นแนะนำตัวพร้อมกับประสานมือ
จางเซวียนประสานมือตอบรับการทักทาย
“พวกเรามาที่นี่เพื่อเสาะหาทรัพย์สมบัติ แต่การอยู่ตามลำพังคงทำอะไรไม่ได้มาก ย่อมเสียเปรียบแน่หากต้องเผชิญกับอันตราย ถ้าเรารวมพลังและคอยดูแลซึ่งกันและกัน ก็น่าจะทำอะไรได้มากกว่า” อ้าวเฟิงพูด
ฝูงชนพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าที่เดินทางตามลำพังถือว่าอันตรายมาก เพราะที่นี่มีรอยแยกแห่งมิติกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป อีกทั้งกับดักต่างๆที่ต้องรับมือ ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความตาย
อีกอย่าง นักรบที่มาที่นี่ก็มักไม่ทันระมัดระวังกับดักจากธรรมชาติ มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกับราชันย์เทพเจ้ามากมายที่ต้องตกเป็นเป้านิ่ง การพบเจอทรัพย์สมบัติก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การจะนำมันออกไปได้อย่างปลอดภัยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ราชันย์เทพเจ้าและราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกว่าครึ่งที่เข้าสู่ทะเลท่วมท้นจึงลงเอยด้วยการเอาชีวิตมาทิ้ง
“อย่างที่พวกคุณรู้ ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งจะต้องได้การยอมรับจากจอมราชันย์และผ่านบททดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติ หากไม่เป็นอย่างนั้น ต่อให้พวกเขาฝึกฝนวรยุทธหนักแค่ไหน ก็ไม่มีทางยกระดับวรยุทธได้อีก อายุขัยของพวกเขาจะหยุดอยู่ที่หมื่นปี และเมื่อเวลาสิ้นสุดลง ก็ต้องจบชีวิต” อ้าวเฟิงพูด
ราชันย์เทพเจ้าทั้ง 11 คนที่อยู่ตรงนี้ย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี
อุปสรรคของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่ใช่สิ่งที่จะก้าวข้ามไปได้ด้วยการหมั่นฝึกฝนวรยุทธเพียงอย่างเดียว มีราชันย์เทพเจ้ามากมายในสรวงสวรรค์ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างหมดหวังหลังจากรู้แน่แก่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่มีโอกาสยกระดับวรยุทธได้อีก
“พวกคุณทุกคนคงได้ทรัพย์สมบัติจากทะเลท่วมท้นมาบ้างแล้ว บางทีอาจมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดด้วยซ้ำ แต่คุณคิดบ้างไหมว่ายังมีอะไรที่มากกว่านั้น? อายุขัยของคุณจะไม่ยืนยาวขึ้นเพียงเพราะคุณได้เป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดหรอกนะ”
อ้าวเฟิงพูดขณะจับจ้องราชันย์เทพเจ้าที่อยู่รอบตัวเขาทีละคน “สิ่งเดียวที่คุณต้องคว้ามาให้ได้ก็คือการยอมรับจากจอมราชันย์!”
“พวกเราก็รู้ว่าหากได้การยอมรับจากจอมราชันย์และได้รับคำชี้แนะของพวกเขา เราก็จะผ่านบททดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติไปได้อย่างง่ายดายและกลายเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่คนอย่างพวกเราไม่มีโอกาสแม้จะได้พบจอมราชันย์ด้วยซ้ำ แล้วจะได้การยอมรับจากพวกเขาได้อย่างไร?” ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งโพล่งออกมาด้วยสีหน้าถอดใจ
มีใครบ้างไม่อยากได้การยอมรับจากจอมราชันย์, บุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดของสรวงสวรรค์?