แต่อย่างน้อยที่สุด จางเซวียนก็รู้ดีว่าอ้าวเฟิงต้องฆ่าเขาตายแน่หากพูดออกไปแบบนั้น จึงได้แต่เกาหัวอย่างลำบากใจแล้วตอบไป “เอ่อ…ผมไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ ไว้จะอธิบายให้คุณฟังทีหลังนะ สำหรับตอนนี้ รีบออกไปก่อนเถอะ ผมเกรงว่าพวกเขาจะต้านทานไม่ไหวแล้ว…”
อ้าวเฟิงหันกลับไป เห็นบรรดาราชันย์เทพเจ้าใกล้จะหมดความอดทน ถ้ารีรออีกเพียงครู่เดียว พวกเขาคงพ่ายแพ้ให้กับจิตวิญญาณหลอกหลอนแน่
การนำน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกไปทำให้บรรดาจิตวิญญาณหลอกหลอนเกรี้ยวกราดหนักกว่าเดิม ส่งผลให้การโจมตีของพวกมันรุนแรงกว่าแต่ก่อน ราชันย์เทพเจ้าทั้ง 11 คนต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้น การตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดในเวลานี้ก็คือล่าถอย
“ฮึ่มมมม!”
รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาตั้งคำถามกับชายหนุ่ม อ้าวเฟิงกัดฟันและกระโจนออกจากปราการแสง ร่างของเขากลายสภาพเป็นมังกรสีทองตัวมหึมาอีกครั้ง เขาใช้ร่างกายคุ้มกันราชันย์เทพเจ้าทั้งหมดไว้ก่อนจะพุ่งออกไป
เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มที่อยู่ในปราการแสงมีพละกำลังเหนือกว่า จึงไม่คิดจะพาชายหนุ่มออกไปด้วย
“ผมจะรอคุณข้างนอกนะ” อ้าวเฟิงส่งโทรจิตบอกจางเซวียน
จางเซวียนส่ายหน้าก่อนจะหันกลับไปเพ่งสมาธิกับการซึมซับน้ำทิพย์แห่งจิตวิญญาณที่อยู่รอบตัว
5 นาทีต่อมา เขาก็ซึมซับน้ำทิพย์แห่งจิตวิญญาณทั้งหมดจนเสร็จสิ้น ตัวโคลนก็ยกระดับวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดได้สำเร็จ นับจากนี้ ตัวโคลนของเขาจะสามารถรับมือกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดาย
แต่ในเวลาเดียวกัน การพังทลายของปราการแสงก็ทำให้จางเซวียนถูกห้อมล้อมด้วยจิตวิญญาณหลอกหลอนกลุ่มหนึ่ง เขากวัดแกว่งดาบสวรรค์สีเลือดในมือเพื่อเปิดทางให้ตัวเองล่าถอย แต่แล้วก็หยุดกึก
“เราควรเข้าไปสำรวจให้ลึกอีกหน่อยดีไหม เผื่อจะยังมีน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นหลงเหลืออยู่?”
ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว หากพบน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นอีก ก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดได้สำเร็จ ทั้งยังได้ใช้หนี้บุญคุณที่ติดค้างต่ออ้าวเฟิงด้วย
จางเซวียนจึงรีบเปิดใช้งานเครื่องรางแห่งการปลอมตัวเพื่อปรับเปลี่ยนรังสีของเขาให้เหมือนบรรดาจิตวิญญาณหลอกหลอนที่อยู่โดยรอบ
ตอนแรก ฝูงจิตวิญญาณหลอกหลอนพากันโจมตีเขาอย่างไม่ลดละ แต่แล้วการเคลื่อนไหวของพวกมันก็ค่อยๆสงบลงขณะสำรวจบริเวณโดยรอบด้วยความสับสน
จิตวิญญาณของพืชมีชีวิตจิตใจขั้นพื้นฐานเท่านั้น จึงไม่อาจทำความเข้าใจสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ ซึ่งการปลอมตัวของจางเซวียนเรียกได้ว่าแทบไม่มีที่ติ ดังนั้น แม้แต่พวกมันก็ไม่อาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างตัวเขากับเผ่าพันธุ์ของพวกมันเอง
“เครื่องรางแห่งการปลอมตัวนี่ไร้เทียมทานจริงๆ” จางเซวียนพึมพำขณะรีบเดินท่องไปตามลำธารที่อยู่ในหุบเขา
จะต้องมีบางอย่างบริเวณสองฝั่งลำธารสายนี้ที่ทำให้ดินแดนส่วนอื่นๆที่เหลือไม่มีความสามารถในการผลิตน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น
จางเซวียนสำรวจลึกเข้าไป จำนวนจิตวิญญาณหลอกหลอนก็ค่อยๆลดลง ครู่ต่อมา เขาหยุดชะงักขณะตรวจสอบพื้นที่ตรงหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างหวาดระแวง
ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง จางเซวียนสัมผัสได้ถึงรังสีอันแสนคุ้นเคยจากบริเวณนี้
มันให้ความรู้สึกแบบเดียวกับรังสีที่เขาได้รับจากกลุ่มพลังงานสีเทาในหลุมดำใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ซึ่งมีอานุภาพทำลายพลังปราณเทียบฟ้าของเขา
“ประหลาดจริงๆ…”
ยิ่งจางเซวียนเดินลึกเข้าไป รังสีนั้นก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็มาถึงจุดที่แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ไม่อาจต้านทานได้
จางเซวียนต้องใช้พลังปราณจากเวทนาสวรรค์ห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ
เขารุดหน้าต่อไปอีกราว 10 นาที ก่อนในที่สุดจะมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของลำธารสายนั้น เมื่อมองลงไปก็ถึงกับใจเต้นตึกตัก
ที่ปลายสุดของลำธารคือดินแดนรกร้างว่างเปล่าขนาดใหญ่ที่กินอาณาบริเวณหลายหมื่นหมู่ ไม่มีพืชพันธุ์หรือสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ มีแต่รอยยุบขนาดใหญ่อยู่ในพื้นดิน
จางเซวียนมองอะไรไม่เห็นเมื่อยืนอยู่บนพื้น จึงโผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อมองจากมุมสูง
เขาเห็นทันทีว่าแท้ที่จริงแล้วรอยยุบที่อยู่ในพื้นดินคือรอยฝ่ามือขนาดใหญ่!
“นี่เป็นฝีมือของจอมราชันย์หรือเปล่า?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
แม้ด้วยพละกำลังของเขาตอนนี้ เขาก็ไม่อาจสำแดงพลังฝ่ามือที่รุนแรงขนาดนั้นได้ นั่นหมายความได้อย่างเดียวว่ารอยประทับของฝ่ามือที่เห็นจะต้องเป็นฝีมือของจอมราชันย์
มีปัญหาเพียงข้อเดียวสำหรับเรื่องนี้ คือจอมราชันย์ไม่อาจเข้ามาที่นี่ได้
แล้วถ้าอย่างนั้น ใครคือผู้ทิ้งรอยฝ่ามืออันนี้เอาไว้?
จางเซวียนจ้องดูรอยประทับของฝ่ามือขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “หรือว่ารอยแยกบนท้องฟ้าของสรวงสวรรค์เกิดขึ้นจากการต่อสู้?”
ทะเลท่วมท้นดูเหมือนจะเป็นชิ้นส่วนหนึ่งที่หายไปจากท้องฟ้าของสรวงสวรรค์ ซึ่งเมื่อลองคิดดู หลุมดำที่อยู่ใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็มีลักษณะคล้ายรอยประทับของฝ่ามือเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่าทั้งรอยแยกบนท้องฟ้าและหลุมดำเกิดจากการปะทะกันของ 2 จอมราชันย์?
บางทีการต่อสู้นั้นอาจเลยเถิด ส่งผลให้ในที่สุดไก่น้อยต้องเสียชีวิต
แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ในฐานะจอมราชันย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ หลัวลั่วชิงก็น่าจะเข้ามาขัดขวางและระงับการต่อสู้ไว้ โดยเฉพาะเมื่อมันนำมาซึ่งความเสียหายครั้งใหญ่ต่อโลกใบนี้…แล้วทำไมเธอถึงไม่ทำ?
เกิดอะไรขึ้นกับสรวงสวรรค์ในช่วง 4-5 ทศวรรษที่ผ่านมา?
ทำไมสรวงสวรรค์ถึงแตกฉานซ่านเซ็นออกเป็นชิ้นส่วนมากมาย ร่วงลงไปยังทวีปแห่งปรมาจารย์ แถมยังเข้าสู่ร่างกายของตัวเขากับปรมาจารย์ขง?
จางเซวียนมีคำถามมากมายในหัวสมอง ทั้งยังรู้สึกสับสนงุนงงขึ้นเรื่อยๆ
เขาเดินวนรอบรอยประทับของฝ่ามือนั้นและไม่พบน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ทั้งยังไม่มีอะไรที่ดูแปลกตาหรือผิดปกติ จางเซวียนได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และมุ่งหน้ากลับสู่บริเวณที่อ้าวเฟิงกับคนอื่นๆรออยู่
ถึงเขาจะยังไม่ได้ยกระดับวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุด แต่อย่างน้อยก็ก้าวข้ามด่านคอขวดของราชันย์เทพเจ้าได้แล้ว แถมจิตวิญญาณก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
ตอนนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาไม่ได้ห่างไกลจากการก้าวสู่ตำแหน่งจอมราชันย์
โดยรวมก็ถือว่าได้ประโยชน์มากจากการเดินทางครั้งนี้
แต่ปัญหาเดียวก็คือ…เขาไม่รู้จะมองหน้าอ้าวเฟิงอย่างไร
อีกฝ่ายรวมทีมเพื่อตั้งใจจะนำน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมาให้ได้ แต่ลงท้ายตัวเขาก็ซึมซับมันไปเกินกว่า 90% เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนละอายใจมาก
“ช่างมันเถอะ! ถ้าทำอะไรไม่ได้ เราก็จะรับเขาเป็นศิษย์ตรง ถึงจะพูดได้เลยว่าเขาดูไม่ค่อยจะฉลาดเฉลียวสักเท่าไหร่…” จางเซวียนพึมพำกับตัวเองอย่างลังเล
นี่คือการประนีประนอมที่ดีที่สุดที่เขาพอจะทำได้
เมื่อตัดสินใจแล้ว จางเซวียนรีบกลับไปหาอ้าวเฟิงกับคนอื่นๆ
เพราะการปลอมตัวที่แนบเนียน จิตวิญญาณหลอกหลอนที่ยังคงโกรธเกรี้ยวจึงจดจำเขาไม่ได้และไม่ได้เข้ามาโจมตี
ไม่ช้าจางเซวียนก็มาถึงชายป่า
เขากำลังคิดอยู่ว่าอ้าวเฟิงจะดีใจแค่ไหนถ้าเขาบอกสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้อีกฝ่ายรับรู้ ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่แผ่ซ่านออกจากพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้า
จางเซวียนพุ่งเข้าไป เห็นอ้าวเฟิงที่อยู่ในร่างมังกรสีทองกำลังปะทะกับเสือร้ายเกรี้ยวกราดตัวหนึ่ง
“อ้าวเฟิง ครั้งล่าสุดที่เราพบกันก็เมื่อ 2-3 วันก่อนนี่เอง วันนี้ทำไมคุณถึงดูอ่อนแอนัก? ถ้าใครต่อใครเห็นคุณในสภาพแบบนี้ล่ะก็ คงได้หัวเราะจนฟันร่วงหมดปากแน่!” เสือตัวนั้นคำรามและหัวเราะลั่น
ทั้งสองปะทะกันอย่างไม่ลดละราวกับดอกไม้ไฟที่ปะทุขึ้นกลางอากาศ เกิดแสงสว่างวาบทุกหนแห่ง
“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้า?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
เสือร้ายเกรี้ยวกราดตัวนั้นน่าจะเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้า แต่ก็ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อยที่จู่ๆทั้งคู่ก็ปะทะกัน
“คุณมันชั่วช้า!” อ้าวเฟิงคำรามพร้อมกับสำแดงศาสตร์ลับที่ทำให้ทั้งร่างของเขาเรืองแสงสีแดงก่ำออกมา
เขาพุ่งเข้าใส่เสือร้ายตัวนั้นอย่างเกรี้ยวกราด
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
การปะทะของทั้งคู่ทำให้รอยแยกแห่งมิติปรากฏทั่วพื้นที่บริเวณนั้น
“ปรมาจารย์จาง…” หลัวฉีฉีเรียกขณะเดินมาอยู่ข้างจางเซวียน
เธอรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้จางเซวียนมีบางอย่างต้องทำ จึงตัดสินใจออกจากลำธารในหุบเขามาพร้อมกับอ้าวเฟิงเพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วง
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆพวกเขาถึงต่อสู้กัน?” จางเซวียนถาม
“หลังจากพวกเราออกมาได้ไม่นาน ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติหูเสี่ยวแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้าก็เข้ามาหยุดพวกเราไว้ ฉันเชื่อว่าเขาคงรู้เรื่องน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น จึงตั้งใจดักรออยู่ด้านนอกเพื่อปล้นมันจากอ้าวเฟิงที่กำลังบาดเจ็บ” หลัวฉีฉีบอก
“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า
สิ่งที่นักรบหวาดระแวงมากที่สุดในทะเลท่วมท้นไม่ใช่กับดักตามธรรมชาติหรือคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ แต่เป็น…บรรดานักรบด้วยกัน!
มีนักรบมากมายที่ซุ่มรอให้ผู้กล้าสักคนที่ได้สมบัติล้ำค่าที่พวกเขาต้องการปรากฏตัว ก่อนจะเข้าโจมตีและขโมยผลงานที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของคนเหล่านั้นไป
สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติหูเสี่ยวกำลังทำอยู่
“ถ้าไม่ใช่เพราะอ้าวเฟิงได้รับบาดเจ็บ เขาคงรับมือกับหูเสี่ยวได้ดีกว่านี้ แต่ในสภาพนี้ ดูจะมองในแง่ดีไม่ได้…” หลัวฉีฉีส่ายหน้า
ถ้าไม่ใช่เพราะอ้าวเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีอย่างไม่ลดละของจิตวิญญาณหลอกหลอนเมื่อครู่ก่อน ต่อให้หูเสี่ยวจะไร้เทียมทานแค่ไหน อย่างมากที่สุดทั้งคู่ก็คงเสมอกัน แต่โชคร้ายที่อ้าวเฟิงอยู่ในสภาพย่ำแย่ จึงพอคาดเดาผลการต่อสู้ได้ตั้งแต่เริ่ม
บึ้มมมม!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นกลางอากาศ อ้าวเฟิงร่วงลงมากระแทกพื้น เกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ใต้ร่างของเขา เลือดสีทองทะลักออกมา
จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเก็บเลือดสีทองที่ไหลนองไปทั่วบริเวณนั้น
หยดเลือดของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่เป็นมังกรเลือดบริสุทธิ์น่าจะขายได้ในราคาสูงลิ่ว
หูเสี่ยวกลายร่างกลับเป็นชายวัยกลางคนขณะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่งน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมา!”
อ้าวเฟิงกัดฟันกรอด
“รู้หรือเปล่าว่ามีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกี่คนที่ต้องตายในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งก่อน อย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า!” หูเสี่ยวคำรามขณะย่างสามขุมเข้าหาอ้าวเฟิง
รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องเล่นงานเขาอย่างหนักเพื่อให้ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น อ้าวเฟิงจำต้องยื่นกล่องหยกให้อย่างไม่เต็มใจ