ตอนที่ 2324 ใครบางคนเร็วกว่าพวกเรา!
“เอาเถอะ ถ้าอยู่ได้อีกสักเดือนสองเดือนก็คงดี” จางเซวียนพึมพำ
เขาหันหลังกลับโดยไม่เด็ดหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ จากนั้นก็
เดินไปหาเครื่องเก็บงำมิติที่ลอยอยู่และพูดว่า “ไปกันเถอะ”
“ฉันยังไหว เร็วเข้า รีบนำหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ออกมาก่อน”
หลัวฉีฉีตอบอย่างร้อนใจ
เป้าหมายของพวกเขาคือนำหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์มาให้ได้
แล้วทำไมจางเซวียนถึงไม่เด็ดมา?
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” จางเซวียนตอบขณะคว้าลูกทรงกลมที่ลอยอยู่
กลางอากาศและฉุดเธอออกจากรอยแยกแห่งมิติ จากนั้นมิติที่อยู่
ด้านหลังก็แตกสลาย ลำแสง 7 สีระเบิดออกมา
“เพราะอะไร?” หลัวฉีฉีไม่เข้าใจเหตุผลที่จางเซวียนทำแบบนี้
“ยังมีของล้ำค่าอีกมากมายที่ผมนำมาใช้ยกระดับวรยุทธได้ แต่สรวง
สวรรค์มีเพียงหนึ่งเดียว” จางเซวียนตอบ
หากเขาได้หญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์มาก็คงดี แต่ก็ไม่ถือว่าเป็น
สิ่งจำเป็น
มีสมุนไพรอีกมากที่จางเซวียนใช้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์
ได้ เขาไม่ควรใช้ทะเลท่วมท้นกับสรวงสวรรค์เป็นเครื่องสังเวย
ในฐานะนักรบคนหนึ่งที่มาถึงสรวงสวรรค์ได้เพียง 1 เดือน เขายังไม่
มีความรู้สึกผูกพันล้ำลึกกับที่นี่ อีกทั้งไม่ได้สูงส่งอย่างปรมาจารย์ขง
ที่มีความเมตตาปรานีมากมายให้กับทั้งโลก
แต่อย่างน้อยที่สุด ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง จางเซวียนไม่อาจทนเห็น
โลกทั้งใบแตกสลาย และผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิต
เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงรู้สึกอย่างไร
ทั้งคู่แบกภาระและความรับผิดชอบหนักอึ้งไว้เต็มบ่า สองมือก็ถูก
พันธนาการไว้ ไม่มีอิสระที่จะทำอะไรตามอำเภอใจได้เลย
“แต่เราจะหาสมุนไพรอื่นที่มีประสิทธิภาพเหมือนหญ้าจิตวิญญาณ
จอมราชันย์ได้ที่ไหน?” หลัวฉีฉีถามอย่างกระวนกระวาย “คุณจำเป็น
ต้องยกระดับวรยุทธโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ”
หลัวฉีฉีไม่ใช่คนช่างพูด แต่ใส่ใจทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แม้จะไม่รู้เรื่อง
สงครามสวรรค์ แต่เธอก็ดูออกว่าชายหนุ่มกำลังรีบ เขากระตือรือร้น
ที่จะยกระดับวรยุทธของตัวเองมาตลอดก็จริง แต่คราวนี้ดูจะร้อนอก
ร้อนใจกว่าที่เคย
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้ว่าจางเซวียนน่าจะกำลังเผชิญกับสถานการณ์บีบบังคับ
บางอย่าง
แต่ในเมื่อชายหนุ่มไม่ปริปาก เธอก็ไม่ถาม เธอตัดสินใจแล้วว่าเพียง
แค่ทำอะไรก็ตามที่จะช่วยเขาได้ในยามจำเป็นก็พอ
“ไม่เป็นไรน่ะ เดี๋ยวเราก็หาทางออกได้เอง” จางเซวียนตอบยิ้ม ๆ
ขณะนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดเม็ดหนึ่งที่ได้จากแหวนเก็บ
สมบัติของหูเสี่ยวออกมา เขาถ่ายทอดพลังปราณจากเวทนาสวรรค์
เข้าไปก่อนจะยื่นให้หลัวฉีฉี
เมื่อครู่นี้สาวน้อยใช้พละกำลังเกินพิกัดเพื่อรักษาความเสถียรของ
รอยแยกแห่งมิติไว้ ทำให้ได้รับความบอบช้ำภายในบางอย่าง
“ผมพอรู้จักสถานที่ที่มีสมุนไพรซึ่งช่วยยกระดับวรยุทธของจอม
ราชันย์ได้ ผมพาคุณไปที่นั่นได้นะ” อ้าวเฟิงเสนอ
จางเซวียนพยักหน้า
เพราะเคยเผชิญกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมาแล้วถึง 3 ครั้ง
แม้ทรัพย์สมบัติที่อ้าวเฟิงหามาได้จะยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่บรรดา
ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงได้รับ แต่เขาก็รู้แหล่งทรัพย์สมบัติอยู่
ไม่น้อย
คงจะดีกว่ามากหากให้อีกฝ่ายนำทาง
ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็มาถึงอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่
“ดอกไม้เที่ยงคืน มันคือดอกไม้ที่จะเบ่งบานในเวลาเที่ยงคืนของคืน
วันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น ดอกไม้นี้ซึมซับน้ำทิพย์จากพระจันทร์
มากว่าพันปีถึงจะแก่จัด แม้สภาวะต่าง ๆ ในทะเลท่วมท้นออกจะ
พิสดารอยู่สักหน่อย…แต่ดอกไม้เที่ยงคืนก็บานที่นี่ทุก ๆ 10 ปี ครั้ง
ล่าสุดที่ผมมา ก็เห็นมันอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาตรงนั้น” อ้าวเฟิงพูด
ขณะชี้นิ้วไป
จางเซวียนมองตาม เห็นหุบเขาเขียวชอุ่มที่ถูกห้อมล้อมด้วยฝูงจิต
วิญญาณหลอกหลอนซึ่งมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้า
“ผมจะเข้าไปดู!”
เขาเปิดใช้งานเครื่องรางแห่งการปลอมตัวก่อนจะลัดเลาะเข้าไปใน
หุบเขา เพียงครู่เดียวก็หน้านิ่วคิ้วขมวดกลับมา “มีใครคนหนึ่งเด็ด
มันไปแล้ว”
จางเซวียนดูออกว่าดอกไม้เที่ยงคืนเคยขึ้นอยู่ตรงนั้น แต่มีบางคนเด็ด
มันตัดหน้าเขาไป
“มีคนพาพรรคพวกมาเด็ดดอกไม้เที่ยงคืนไปแล้วหรือ?” อ้าวเฟิง
ชะงัก
ดอกไม้เที่ยงคืนก็เหมือนกับน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น คือมีจิตวิญญาณ
หลอกหลอนอารักขาอยู่ ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่นักรบสักคนจะ
เข้าไปเด็ดดอกไม้เที่ยงคืนด้วยตัวเอง หรือต่อให้มาเป็นกลุ่ม โอกาส
ประสบความสำเร็จก็มีไม่มากอยู่ดี
ดังนั้น จึงออกจะทำใจให้เชื่อได้ยากว่ามีคนเด็ดมันไปแล้ว แปลว่า
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจำนวนหนึ่งร่วมมือกัน หรืออะไรทำนอง
นั้นหรือเปล่า?
เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพละกำลังล้ำลึกเกินหยั่งเหมือน
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา
“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น จากการแกะรอยของผม มีใครคนหนึ่งลอบ
เข้าไปในพื้นที่แล้วเด็ดดอกไม้เที่ยงคืนไปด้วย ดูเหมือนฝูงจิตวิญญาณ
หลอกหลอนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหายไป” จางเซวียนตอบ
เขาย่อมดูออกหากมีร่องรอยการต่อสู้ แต่ก็ไม่มีให้เห็น ชัดเจนว่านักรบ
ปริศนาผู้นั้นคงไม่ต่างจากเขา คือแอบเข้าไปยังบริเวณที่ดอกไม้เที่ยง
คืนขึ้นอยู่ แล้วเด็ดมันก่อนจะจากไปโดยไม่สร้างความแตกตื่นใด ๆ
เลย
ซึ่งเหตุผลที่จางเซวียนทำแบบนั้นได้ก็เพราะมีเครื่องรางแห่งการ
ปลอมตัว แล้วอีกฝ่ายทำได้อย่างไร?
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น ไปอีกที่หนึ่งกันเถอะ ผมรู้จักที่อยู่ของเหล็กโดด
เดี่ยว โลหะชนิดนี้ใช้หลอมเป็นของล้ำค่าระดับจอมราชันย์ได้ มันถูก
ฝังอยู่ในลาวาใต้ดิน ไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่…”
ในเมื่อดอกไม้เที่ยงคืนถูกเด็ดไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรีรออยู่ตรงนี้
“ไปกันเถอะ!” จางเซวียนพยักหน้า
เขามีอาวุธคู่มือแล้วก็จริง แต่ก็อาจนำเหล็กโดดเดี่ยวไปขายให้จอม
ราชันย์คนอื่น ๆ เพื่อแลกเป็นทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธได้
ทั้ง 3 บินไปอย่างรวดเร็ว ราวสิบอึดใจก็มาถึงแอ่งลาวา
จางเซวียนใช้พลังปราณห่อหุ้มร่างของเขาไว้ก่อนจะดำดิ่งลงไปใน
แอ่งลาวา ไม่ช้าก็กลับขึ้นมาด้วยสีหน้าท้อแท้ “เหล็กโดดเดี่ยวที่คุณ
พูดถึงน่ะ หายไปแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” อ้าวเฟิงส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
อุณหภูมิในแอ่งลาวาที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นสูงจนแม้ของล้ำค่า
ระดับราชันย์เทพเจ้าก็หลอมละลายในชั่วพริบตา ต่อให้นักรบที่
แข็งแกร่งระดับอ้าวเฟิงก็ยังไม่กล้าลงไป แล้วใครกันที่ดำดิ่งลงสู่แอ่ง
ลาวาและแอบนำเหล็กโดดเดี่ยวออกไปได้?
“คุณยังรู้แหล่งที่อยู่ของทรัพย์สมบัติชนิดอื่น ๆ อีกไหม?”
รู้ดีว่ามีเวลาจำกัด จางเซวียนเร่งอ้าวเฟิง
“ผมรู้จักสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีอุกกาบาตจากโลกอื่น ในครั้งนั้น
จอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของ
เขาอีก 3 คนพยายามนำมันออกมา แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ครั้งสุดท้ายที่ผม
ไปที่นั่น อุกกาบาตจากโลกอื่นก้อนนี้ก็ยังอยู่” อ้าวเฟิงพูด
เขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจหลังจากชวดของล้ำค่าไปแล้วถึง 2 ครั้ง
“พาผมไปที่นั่น” จางเซวียนสั่งการ
ทั้ง 3 รีบออกเดินทาง คราวนี้ที่หมายของพวกเขาคือภูเขาน้ำแข็งลูก
หนึ่ง มันแผ่ความเย็นเยือกออกมา หนาวเย็นขนาดที่อาจทำให้พลัง
ปราณของนักรบระดับราชันย์เทพเจ้ากลายเป็นน้ำแข็งได้
“ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาที่นี่หรอก” หลัวฉีฉีพูด
น้ำแข็งในบริเวณนี้มีมากมายเสียจนแม้ตัวเธอก็ยังเข้าไปได้ยาก
นับประสาอะไรกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่น ๆ
“พวกคุณรอตรงนี้ก็แล้วกัน ผมจะเข้าไปดู” จางเซวียนพูด
เขาขับเคลื่อนพลังปราณของเวทนาสวรรค์ จากนั้นก็รีบทำตัวให้คุ้น
ชินกับความหนาวเย็นก่อนจะเดินหน้าเข้าไป
ราวสิบนาทีให้หลัง จางเซวียนก็กลับมาด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ “เรามาช้า
ไปอีกแล้ว…”
ภูเขาน้ำแข็งลูกนี้หนาวยะเยือกขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสำรวจลึกเข้าไป แม้
จางเซวียนก็ยังต้านทานแทบไม่ไหว แต่เขาก็ไม่พบอุกกาบาตจาก
โลกอื่นที่อ้าวเฟิงพูดถึง เท่าที่ดูจากร่องรอยในบริเวณนั้น ดูเหมือน
ใครสักคนคว้ามันตัดหน้าพวกเขาไปแล้ว
ทั้ง 3 คนไปมาแล้วถึง 3 แห่ง แต่ของล้ำค่าก็ถูกใครคนหนึ่งปาดหน้า
เค้กไป ทั้งที่การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเพิ่งเริ่มได้เพียงไม่กี่
ชั่วโมง แต่ดูเหมือนทั่วทั้งพื้นที่จะถูกกวาดจนเกลี้ยง
ใครกันที่คว้าของล้ำค่าทุกชิ้นไปได้รวดเร็วขนาดนั้น?
จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับอ้าวเฟิงด้วยความงุนงง “ในช่วง 10 ปี
ที่ผ่านมา มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่เก่งกาจไร้เทียมทานปรากฏ
ตัวในสรวงสวรรค์บ้างหรือเปล่า?”
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้เที่ยงคืน เหล็กโดดเดี่ยว หรืออุกกาบาตจากโลก
อื่น สภาพแวดล้อมที่พวกมันอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่ที่ที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรง
เกียรติส่วนใหญ่จะเข้าไปได้ง่าย ไม่อย่างนั้น อ้าวเฟิงคงฉกฉวยของ
ล้ำค่าเหล่านั้นไปเป็นของตัวเองแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีใครคนหนึ่งตัดหน้าพวกเขาไปได้ตลอด
อีกฝ่ายจะต้องไร้เทียมทานขนาดไหน?
อ้าวเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “การปรากฏตัวของจอมราชันพิชิตสวรรค์ทำ
ให้จอมราชันย์ทุกคนเริ่มหันมาสนใจการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ
พวกเขาทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อบ่มเพาะนักรบที่เก่งกาจขึ้นมา
กลุ่มหนึ่ง…”
“เท่าที่ผมรู้ น่านฟ้ามังกรเมฆของเราบ่มเพาะนักรบขึ้นมาสามคน
ด้วยการใช้กระจกเงาแห่งมิติและเวลาเพื่อบิดเบี้ยวกฎเกณฑ์แห่ง
กาลเวลาให้ผิดเพี้ยนไป พวกเขาผ่านบททดสอบและได้รับตำแหน่ง
ทรงเกียรติจากจอมราชันย์มังกรเมฆตั้งแต่ก่อนที่การไหลบ่าของพลัง
จิตวิญญาณจะมาถึง ผมยังไม่เคยพบพวกเขา แต่ดูเหมือนทั้งสามจะมี
พละกำลังเหนือชั้นกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่น ๆ”
“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
หรือว่าจอมราชันย์ทั้ง 9 รู้ดีว่านี่คือการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ
ครั้งสุดท้าย จึงทุ่มสุดตัวเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีชีวิตรอด?
จางเซวียนถามต่ออย่างข้องใจ “คุณรู้ชื่อของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรง
เกียรติ 3 คนนั้นไหม?”
“ชื่อของพวกเขาคือขงซือเหยา, หลิวหยาง…และผมคิดว่าอีกคนหนึ่ง
ชื่อ…จางจิ่วเซี่ยว” อ้าวเฟิงตอบ
“เป็นพวกนั้นหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย
เขานึกกังวลตลอดมาตั้งแต่บรรดาศิษย์สายตรงของเขาถูกเหล่าจอม
ราชันย์นำตัวไป แต่ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งหลังจากได้รู้ว่าหวังหยิ่ง
กับเว่ยหรูเหยียนสุขสบายดีที่น่านฟ้าหลิงหลง แต่จากข้อมูลที่ได้
ตอนนี้ ก็ดูเหมือนเกือบทุกคนจะไต่เต้าไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรง
เกียรติได้สำเร็จแล้ว
จางเซวียนรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
แต่พูดก็พูดเถอะ…ระดับวรยุทธของเจ้าพวกนั้นจะพัฒนาเร็วไป
หน่อยไหม?
โชคดีที่ตัวเขามีวรยุทธระดับเดียวกันแล้ว ไม่อย่างนั้น จะน่าอับอาย
แค่ไหนหากได้พบกันอีกครั้งแล้วพบว่าเทียบชั้นกับศิษย์สายตรงของ
ตัวเองไม่ได้?