พละกำลังที่มันสำแดงออกมาคราวนี้หนักหน่วงกว่าคราวก่อนๆ กระตุกเอาลมหายใจเฮือกสุดท้ายของทุกชีวิตที่อยู่ในทะเลท่วมท้นไป มิติโดยรอบพังทลาย แรงกดดันถาโถมเข้าใส่ทั้งจางเซวียนและยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ
นี่คือการโจมตีที่ชี้ชะตาความเป็นความตายของทั้งคู่
ถ้าจางเซวียนต้านทานการโจมตีครั้งนี้ไม่ไหว ก็หมายถึงความตายของเขา
แต่หากเขารับมือได้ ก็จะเป็นความตายของยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ
“ท่านอาจารย์…” จ้าวหย่ากับคนอื่นๆเฝ้าดูด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
ทุกคนอยากเข้าไปช่วยจางเซวียน แต่ยังไม่ทันรู้ตัว ก็ถูกกีดกันให้ออกห่าง
สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในสมรภูมิก็คือคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย เว้นเสียแต่จอมราชันย์ ไม่มีใครเข้าไปได้
“ดูเหมือนเราจะทำความเข้าใจมันไม่สำเร็จ ที่จริงก็รู้ตั้งแต่แรกแล้ว เวลากระชั้นชิดเกินไป การทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบขั้นจอมราชันย์ภายในเวลาเพียงครู่เดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คงต้องภาวนาให้เกิดปาฏิหาริย์เท่านั้น” จางเซวียนพึมพำกับตัวเอง
ที่ผ่านมา ดูเหมือนเขาจะรอดพ้นจากอันตรายต่างๆนานาได้ด้วยความโชคดีและการใช้ไหวพริบชั่วแล่น จางเซวียนได้แต่หวังว่าคราวนี้เหตุการณ์แบบเดิมจะเกิดขึ้นอีก แต่เขาคงมองโลกในแง่ดีเกินไป
มีบางอย่างในโลกนี้ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงเพราะเขาตั้งความปรารถนาอย่างสุดหัวใจให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางทำสำเร็จ จางเซวียนเงยหน้าและเฝ้ามองเศษเสี้ยวของมิติที่ระเบิดอยู่ทุกหนแห่งราวกับดอกไม้ไฟ ก่อนจะค่อยๆสลายกลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต
ในชั่วพริบตานั้น เวลาดูจะเดินช้าลง
จางเซวียนหวนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เขายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตอนที่เปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจาง
ความทรงจำนับไม่ถ้วนที่มีนับตั้งแต่ทะลุมิติมาเมื่อ 2 ปีก่อนค่อยๆปรากฏเป็นภาพช้าในหัวสมองของเขา
เพื่อไม่ให้ถูกไล่ออกจากโรงเรียน เขาตั้งใจทำงานหนักเพื่อให้เป็นครูที่มีคุณภาพดีกว่าเดิม จากนั้นก็ค่อยๆก้าวหน้าไปทีละขั้น มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นบรรดาลูกศิษย์ ครอบครัว คนรัก หรือมิตรสหายของเขา…
เมื่อมองย้อนไป ดูเหมือนที่ผ่านมาเขาต่อสู้มาตลอดโดยไม่เคยหยุด
บางที ที่นี่อาจเป็นที่ที่เขาสมควรจบการเดินทางเสียที
จางเซวียนคิดว่าชะตากรรมของเขาคงสิ้นสุดเพราะคมดาบของหลัวลั่วชิงขณะที่เขากับเธอต่อสู้กันด้วยเศษเสี้ยวสวรรค์ แต่ดูเหมือนเขาจะรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ทำให้ต้องลำบากใจแบบนั้นแล้ว
จางเซวียนยิ้มอย่างขมขื่นขณะนึกถึงหลัวลั่วชิง
“ถ้าเราตายและไม่อาจฟื้นคืนชีพได้อีก เธอคงจะรู้สึกแย่ ใช่ไหม?”
“บางทีเธออาจรู้อยู่แล้วว่านี่คือชะตากรรมของเราสองคน ตอนที่ตอบตกลงเดินร่วมทางกับเรา…”
เมื่อคิดอีกที การที่เขาไม่รู้อะไรเลยตลอดมาก็อาจเรียกว่าโชคดี เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการต้องเฝ้ารอให้ชะตากรรมโหดร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เข้ามาถึงตัว
เธอคงทุกข์ทรมานใจไม่น้อยตั้งแต่ได้พบเขา
“จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบเคยบอกว่าศิลปะเพลงดาบของเรามีความปรารถนามากเกินไป แต่ขาดการปกป้อง ซึ่งนั่นส่งผลให้ขาดเจตจำนงและความมุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันทุกอุปสรรค…นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราล้มเหลวหรือเปล่า?”
การปกป้องหมายถึงการดูแลคนที่เขารักให้รอดพ้นจากอันตราย แต่ลงท้าย ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ปกป้องใครเลย เขาคงไม่เหมาะกับสิ่งนี้จริงๆ
ตัวเขาไม่เหมือนปรมาจารย์ขงที่มีความเมตตากรุณาให้ทุกคน ทั้งยังทุ่มเทหมดหัวใจที่จะทำให้โลกเจริญก้าวหน้า จางเซวียนไม่เคยอยากเป็นผู้กอบกู้โลก
นั่นไม่ใช่เส้นทางที่เขาอยากเดิน ไม่ใช่เส้นทางที่เขาเลือก
“เราก็เป็นเรา ไม่ได้หวังอยากรู้แจ้งหรือแยกตัวจากโลก ทั้งหมดที่เราต้องการก็คือการได้เชื่อมั่นในจิตสำนึกของตัวเอง”
“ถ้าเราสองคนใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้อยู่ด้วยกันภายหลังความตาย!”
“ขอให้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดกำลังเป็นครั้งสุดท้าย!”
“ถ้าผมเอาชีวิตรอดจากการทดสอบครั้งนี้ไปได้ เราอาจได้พบกันอีก ผมจะภาวนาว่าขอให้เราได้อยู่ในหัวใจของกันและกันตลอดไป!”
วิ้งงงงง!
ประกายเจิดจ้าปรากฏในดวงตาของจางเซวียนขณะที่เขาถ่ายทอดกระแสเจตจำนงเพลงดาบเข้าสู่ดาบสวรรค์สีเลือด
บึ้มมมม!
ด้วยการฟันฉับเพียงครั้งเดียว กระแสดาบฉีก็ระเบิดขึ้นสู่สวรรค์ ทำลายการโจมตีของยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
“นี่-นี่มัน…ศิลปะเพลงดาบชนิดไหน? คุณสำแดงกระบวนท่าที่ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?”
เกิดเสียงโหยหวนเย็นเยียบดังก้องขณะที่ยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ ร่างของมันระเบิดและกลายสภาพเป็นพายุพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่พุ่งเข้าหาร่างของจางเซวียน
ด้วยสิ่งนี้ พละกำลังที่ฉุดรั้งจางเซวียนไว้ก็ถูกทำลาย วรยุทธของเขาพุ่งพรวด
จางเซวียนยิ้มร่าอย่างผู้ชนะ เขาจ้องมองท้องฟ้าแล้วตวาดก้องด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจที่ทะลุทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณจำนวนมากมาย “วันนี้, ผมจะเป็นจอมราชันย์!”
เขาก้าวข้ามด่านคอขวดด่านสุดท้าย เข้าสู่ความเป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์
จอมราชันย์ สำเร็จแล้ว!
บึ้มมมมม!
ในที่สุด ทะเลท่วมท้นก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ราวกับดอกไม้ไฟที่เปล่งแสงเจิดจ้า
ครึ่งนาทีก่อนหน้า…
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับทะเลท่วมท้น!”
เห็นทางเข้าดำมืดที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาสั่นสะท้านไม่หยุด จอมราชันย์มังกรเมฆกับคนอื่นๆหน้าถอดสีด้วยความตกใจ
ที่ผ่านมา พวกเขาเข้าใจว่าการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณคือส่วนหนึ่งของวัฏจักรตามธรรมชาติของสรวงสวรรค์ เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นทุกสิบปี เพิ่งรู้วันนี้ว่ามันคือบางสิ่งที่อาจพังทลายและหายสาบสูญได้
เมื่อมันหายไป สรวงสวรรค์จะสูญเสียเสาหลักค้ำจุนไปทันที พลังจิตวิญญาณในสรวงสวรรค์จะรั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนกว่าทุกสิ่งจะเหือดแห้ง เหลือไว้เพียงโลกที่หม่นหมองและท่วมท้นด้วยความตาย
“หยุดมันให้ได้!”
จอมราชันย์ที่อยู่ตรงนั้นต่างยกมือขึ้นและปล่อยพลังเข้าใส่หลุมดำที่อยู่ตรงหน้า หวังจะยับยั้งการพังทลายของทะเลท่วมท้น
แต่หลังจากยื้อได้เพียงครู่เดียว ฉนวนที่อยู่บนรอยแยกแห่งมิติก็ฉีกขาดเป็นแผลใหญ่ ทำให้พลังจิตวิญญาณที่เพิ่งกลับคืนสู่สรวงสวรรค์หมาดๆถูกดูดกลืนเข้าไปอีกครั้ง
รอยฉีกขาดนั้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พาดผ่านทั่วทั้งมิติรอยแล้วรอยเล่า
“พวกเรา พยุงสรวงสวรรค์ให้มั่นคงก่อน!” จอมราชันย์มังกรเมฆตวาดก้อง
พวกเขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาชิงดีชิงเด่นกัน จะต้องปกป้องสรวงสวรรค์และถิ่นฐานบ้านเกิดให้ได้เสียก่อน
ดังนั้น กระแสพลังงาน 7 สายจึงพุ่งเข้าหารอยแยกแห่งมิติพร้อมๆกัน จุดที่พลังจิตวิญญาณกำลังรั่วไหลถูกสมานให้กลายเป็นเนื้อเดียว
การสมานรอยแยกแห่งมิติจะทำให้รักษาความเสถียรของสรวงสวรรค์ไว้ได้ อย่างน้อยก็ในเวลานี้
แต่สภาวะของสรวงสวรรค์ถูกบั่นทอนอย่างรุนแรงไปแล้ว ไม่อาจเรียกพลังจิตวิญญาณที่ถูกดูดเข้าไปในรอยแยกแห่งมิติกลับคืนมา
พื้นโลกสั่นสะท้าน ดวงดาวดารดาษหม่นแสงราวกับพร้อมจะร่วงหล่นได้ทุกขณะ ตึกรามบ้านช่องนับไม่ถ้วนพังทลาย เหลือเพียงเศษซากที่กองอยู่กับพื้น
ดูเหมือนวันสิ้นโลกมาถึงแล้ว
“สรวงสวรรค์กำลังจะถึงจุดจบ…”
“ผมรู้ว่ามันต้องมาถึงสักวัน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้…”
“อย่าเสียเวลาวิ่งหนีเลย หากสรวงสวรรค์พังทลาย หนีไปไหนก็ไม่มีทางปลอดภัย…”
…..
ในเมืองใหญ่หลายเมืองทั่วทั้งสรวงสวรรค์ นักรบมากมายพากันจับจ้องท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่ดูสิ้นหวังและหม่นหมอง
นับตั้งแต่เกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณเมื่อ 40 ปีก่อน ลึกลงไปในใจ พวกเขารู้แล้วว่าไม่ช้าไม่นานสถานการณ์จะต้องบานปลายจนกลายเป็นบางสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
“รอดูก่อนเถอะ ถ้า 9 จอมราชันย์รักษาสรวงสวรรค์ไว้ได้ พวกเราก็อาจยังมีโอกาส แต่ถ้าไม่ ชะตากรรมเดียวที่รอคอยอยู่ก็คือความตาย ไม่จำเป็นต้องตีตนไปก่อนไข้…” นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงคนหนึ่งเปรยขณะเฝ้ามองฝูงชนที่กำลังตื่นตระหนก
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ ราวกับเจตจำนงของโลกได้ซึมซาบเข้าสู่ร่างของเขา “วันนี้, ผมจะเป็นจอมราชันย์!”
“จอมราชันย์? ใครคนหนึ่งฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว…จะต้องเป็นจอมราชันย์จางเซวียน!”
“จางเซวียนคนนั้นที่เป็นนักปรุงยาน่ะหรือ? เขากลายเป็นจอมราชันย์ได้อย่างไร?”
“ใช่ เขานั่นแหละ! เมื่อสมัยที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้เป็นจอมราชันย์ ผมก็ได้ยินเสียงแบบนี้เหมือนกัน…”
…..
ทุกคนอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ
ที่เมืองตะวันรอน หลังจากได้ยินเสียงที่ก้องเข้าไปในหัวใจ อาจารย์โม่หย่วนอ้าปากค้างขณะพึมพำอย่างตกตะลึง “จอมราชันย์จางเซวียน…”
ตอนที่พบกันครั้งแรกเมื่อ 1 เดือนก่อน อีกฝ่ายยังอ่อนแอมาก เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต้นเท่านั้น ใครจะคิดว่าเขาจะขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์ กลายเป็นจอมราชันย์ภายในเวลาเพียงเดือนเดียว?
…..
“เขาได้เป็นจอมราชันย์?”
กาน้ำชาที่ฉีหลิงเอ๋อถืออยู่ร่วงลงกับพื้น แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกตัว
เธอรู้มาตลอดว่าจางเซวียนไม่ใช่คนธรรมดา และมั่นใจว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่งของสรวงสวรรค์ แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะเป็นถึงจอมราชันย์ แถมยังรวดเร็วขนาดนี้…
…..
“สมกับที่เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในทะเลท่วมท้น เหมือนจอมราชันย์พิชิตสวรรค์” เทพธิดาหลิงหลงพูดด้วยสีหน้าที่ดูจะบรรยายความรู้สึกได้ยาก
ทะเลท่วมท้นพังทลายไม่เหลือซากแล้ว แต่ลึกเข้าไปในความมืดมิด ชายหนุ่มยังคงยืนจังก้าอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความสูงส่งและสง่างามตามแบบของผู้ที่ผงาดเหนือคนทั้งโลก
นั่นคือชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอได้เห็นเมื่อครั้งอยู่บนดวงจันทร์
ตอนที่เธอพบจางเซวียนเป็นครั้งแรกในน่านฟ้าหลิงหลง ก็ตั้งใจจะสังหารเขาเพื่อชดเชยเรื่องที่เกิดขึ้นกับไป๋เย่ฉิงหง ในครั้งนั้น เธอไม่คิดเลยว่าอีกเพียงไม่กี่วันให้หลัง เขาจะเหนือชั้นไปกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติและกลายเป็นจอมราชันย์เหมือนเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเมื่อเขาได้เป็นจอมราชันย์แล้ว ก็น่าจะมีพละกำลังเหนือกว่าจอมราชันย์คนอื่นๆ
“ไม่แปลกใจแล้วที่จอมราชันย์อมตะยอมรับเขาเป็นเจ้านาย แถมจอมราชันย์หลินชีก็หลงรัก…เขาไม่ธรรมดาจริงๆ!”